บะจ่าง จากอาหารทำแล้วโยนลงแม่น้ำ สู่ของกินเล่นอิ่มท้อง ที่กลายเป็นเทศกาลไหว้บะจ่าง
‘บะจ่าง’ (粽子) คำนี้อ่านตามสำเนียงฮกเกี้ยน แต่ถ้าอ่านตามสำเนียงจีนกลาง จะออกเสียงเป็น ‘จงจื่อ’ (Zòngzi) นับเป็นของกินที่เราชาวไทยทั้งลูกจีนลูกไทยคุ้นเคยกันดีกับอาหารคาวที่ห่อเป็นรูปทรงสามเหลี่ยม ข้างในเป็นข้าวเหนียวผัดเครื่องปรุงมีไส้ที่ประกอบไปด้วย เผือก เม็ดบัว แปะก๊วย เนื้อหมูหรือกุนเชียง กุ้งแห้ง เห็ดหอม ไข่แดงเค็ม (และอื่นๆ) จากนั้นจึงนำมาห่อด้วยใบไผ่ ใบบัว ใบข้าวโพด บางที่ใช้ใบตอง มัดด้วยเชือกกล้วยหรือเชือกปอแล้วนำไปนึ่ง
แต่เนื่องจากจีนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ทำให้สูตรและวัตถุดิบของ ‘บะจ่าง’ จึงแตกต่างกันไปตามภูมิประเทศ ยกตัวอย่างเช่น ในภาคใต้ของจีนจะนิยมบะจ่างรสชาติเผ็ด การทำไส้จึงเน้นใช้วัตถุดิบที่มีรสเผ็ด ต่างจากทางตอนเหนือของจีนที่ชื่นชอบบะจ่างรสชาติหวาน จึงมักใส่วัตถุดิบอย่าง พุทรา ผลไม้ดอง ถั่วลิสงหรือส่วนผสมที่ให้ความหวานแทน แถมยังนิยมห่อเป็นทรงกรวยแทนสามเหลี่ยมอีกด้วย นอกจากนี้บะจ่างยังมีกรรมวิธีที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการนำข้าวเหนียวห่อกับใบไผ่แล้วโปะด้วยไส้ด้านบนก่อนนำไปนึ่ง หรือการนำไส้ไปผัดรวมกับข้าวเหนียวเพื่อรสชาติที่กลมกล่อมก่อนนำมาห่ออีกที
บะจ่างนั้นเป็นอาหารที่อยู่คู่วัฒนธรรมจีนมาช้านาน ชาวจีนที่อพยพไปยังดินแดนอื่นๆ ก็นำการทำอาหารชนิดนี้ติดตัวไปด้วย เราจึงเห็นบะจ่างในที่อื่นๆ เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย ประเทศไทย และอีกหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แม้จะมีหลายสูตร แต่ต้นกำเนิดของบะจ่างก็นับว่ามาจากตำนานเดียวกันนั่นก็คือ เรื่องราวของ ‘ชวีหยวน’ ขุ่นนางและกวีเอกผู้ซื่อสัตย์แห่งแคว้นฉู่ เกิดขึ้นเมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว
ย้อนกลับไปยังยุครณรัฐ จ้านกว๋อ ประมาณปี 475-221 ก่อนคริสตกาล อันเป็นยุคที่มีการรบรากันระหว่าง 7 รัฐชั้นนำ ประกอบไปด้วย ฉิน, ฉู่, ฉี, เยียน, จ้าว, เว่ย์, หาน เพื่อชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ‘ชวีหยวน’ เป็นขุนนางในรัชสมัยพระเจ้าฉู่หวายแห่งเมืองฉู่ ความจงรักภักดีของเขาที่มีต่อแคว้นฉู่ทำให้พระองค์เกิดความไว้วางใจ เขาเป็นคนที่เสนอให้เมืองฉู่จับมือเป็นพัมธมิตรกับแคว้นฉีเพื่อต่อต้านการรุกรานของแคว้นฉิน
แต่ด้วยความต้องการจะปฏิรูปเพื่อความก้าวหน้าของเมืองฉู่ กลับกลายเป็นการตัดโอกาสผลประโยชน์ส่วนตัวของเหล่าขุนนางเก่าในแคว้นเดียวกัน ขุนนางเหล่านั้นจึงได้เป่าหูทูลความเท็จเกี่ยวกับชวีหยวนต่อฉู่หวายอ๋อง ทำให้พระองค์ค่อยๆ เกิดความบาดหมางกับชวีหยวน กระทั่งขุนนางผู้ซื่อสัตย์ผู้นี้ถูกเนรเทศออกจากเมืองในที่สุด
ขณะนั้นแคว้นฉู่แยกตัวออกจากแคว้นฉีเนื่องด้วยเหตุผลทางการเมืองที่มีแคว้นฉินเข้าแทรกแซง ทำให้ในท้ายที่สุดแคว้นฉู่ล่มสลาย และหลังจากพระเจ้าฉู่หวายสิ้นพระชน ‘ฉูฉิ่งเซียงหวาง’ รัชทายาทของพระองค์ขึ้นครองราชย์ต่อ อย่างไรก็ตาม ชวีหยวนมีความผูกพันกับแคว้นฉู่มาก ความพ่ายแพ้อันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ทำให้เขาเขียนบทกวีหลายบทเพื่อพรรณนาความโศกเศร้าต่อชะตากรรมตัวเองและชะตากรรมของเมือง ก่อนตัดสินใจจบชีวิตด้วยการอุ้มก้อนหินกระโดดลงแม่น้ำมี่หลัวเจียงในวันที่ 5 เดือน 5
ความรักที่มีต่อเมืองฉู่ของชวีหยวน สร้างความเลื่อมใสศรัทธาแก่ชาวบ้าน พวกเขาให้ความเคารพนับถือ หลังจากที่กวีผู้นี้จบชีวิตลงชาวบ้านก็ประดิษฐ์เรือเป็นรูปมังกรเพื่อไล่สัตว์น้ำ ก่อนออกตามหาศพในแม่น้ำแห่งนี้ (อันเป็นที่มาของประเพณีแข่งขันเรือมังกรประจำเทศกาลไหว้บะจ่างในภายหลัง)
แต่ด้วยความกังวลว่าจะหาร่างของชวีหยวนไม่เจอ เพราะอาจถูกปลาและสัตว์น้ำแทะกินศพจนหมดเสียก่อน ชาวบ้านจึงได้ทำข้าวเหนียวใส่ในกระบอกไม่ไผ่ รวมถึงนำข้าวเหนียวมาห่อในใบไผ่มัดเชือกเป็นทรงสามเหลี่ยม เพื่อโยนลงแม่น้ำล่อให้สัตว์น้ำมากัดกินแทนที่จะแหวกว่ายไปกินศพของกวีเอกผู้นี้แทน และนั่นจึงกลายมาเป็นจุดเริ่มต้นของการทำบะจ่างในปัจจุบัน
การตายของชวีหยวนกลายมาเป็นเครื่องหมายเตือนใจที่ทำให้เมื่อถึงวันครบรอบวันเสียชีวิตของเขา ทุกๆ วันที่ 5 ค่ำ เดือน 5 ตามจันทรคติของปฏิทินจีน จะมีการจัด ‘เทศกาลไหว้บะจ่าง’ หรือ ‘เทศกาลตวนอู่เจี๋ย’ (端午节) ในภาษาจีนกลาง ซึ่งนอกจากจะมีการจัดการแข่งขันเรือมังกรแล้ว ชาวบ้านจะรวมตัวกันทำบะจ่างเพื่อโรยลงแม่น้ำและแบ่งกันกินในวันเทศกาลด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของชวีหยวน กวีผู้รักชาติในประวัติศาสตร์ของจีนนั่นเอง
นอกจากจะกลายเป็นอาหารประจำเทศกาลไหว้บะจ่าง (ซึ่งปีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 31 พฤษภาคม 2568) บะจ่างยังได้รับการขึ้นทะเบียนจากทางองค์กรยูเนสโก (UNESCO) ให้เป็น ‘มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ’ (Intangible Cultural Heritage of Humanity) ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมาอีกด้วย
จริงอยู่ที่ว่าบะจ่างสามารถทำเองคนเดียวได้ แต่เมนูนี้มีขั้นตอนการทำยุ่งยาก พึ่งพาทั้งความเชี่ยวชาญในการห่อ มัด และแรงมือของคนทำอย่างพิถีพิถัน บะจ่างจึงจัดเป็นอาหารที่สะท้อนความใส่ใจและแสดงถึงมิตรภาพระหว่างผู้คนที่อยู่เบื้องหลังอาหารชนิดนี้ได้ดี เพราะเมื่อไหร่ที่ต้องทำ ไม่ว่าจะด้วยทำกินกันเอง หรือทำตามวาระพิธี และวันสำคัญต่างๆ ก็มักจะเกิดการรวมตัวกันของคนในครอบครัว เครือญาติ หรือเพื่อนฝูงที่จะมาช่วยกันเตรียมวัตถุดิบ นึ่ง ผัด ห่อ และมัดบะจ่างมาจนถึงมือผู้รับประทาน
ความสนุกของการกินบะจ่างจึงไม่เพียงแต่ทำให้เราได้สัมผัสรสชาติของความหอม หวาน เผ็ด เค็ม ของแต่ละบ้าน แต่ยังได้สัมผัสถึงความสุขที่ส่งผ่านการทำมือ และยังได้เรียนรู้วัตถุดิบมากมายที่แต่ละพื้นที่นำมาเป็นส่วนประกอบของไส้บะจ่างอีกด้วย
อ้างอิง
https://tenochtitlan.omeka.net/exhibits/show/zongzi