20 ปี ‘แหยมยโสธร’ อะไรที่ทำให้ภาพยนตร์สไตล์จัดจ้าน กลายเป็น ‘ตำนานของวงการหนังไทย’
ปี 2548 ถือได้ว่าเป็นปีที่มีภาพยนตร์อันน่าจดจำมากมายออกสู่สายตาผู้คนและหลายเรื่องขึ้นแท่นเป็นตำนานของวงการหนังไทย หนึ่งในนั้นคือภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดีธีมย้อนยุคที่หาญกล้าใช้ภาษาถิ่นอีสานทั้งเรื่องอย่าง ‘แหยมยโสธร’
เรื่องราวว่าด้วยความรักของคน 2 คู่ ‘ทอง’ และ ‘สร้อย’ ชายหนุ่มหญิงสาวต่างฐานะ แต่มีสัมพันธ์รักหวานปานจะกลืนกิน กับ ‘แหยม’ น้าชายของทองที่ถูกพี่เลี้ยงของสร้อย ‘เจ้ย’ ตามจีบตามตื๊ออยู่ไม่ห่าง ทำให้เกิดเรื่องราวความรักที่ต้องพบทั้งความหฤหรรษ์และอุปสรรคกว่าจะได้ลงเอยความรักแบบ Happy Ending นำแสดงและกำกับโดยสุดยอดตลกชื่อดัง ‘เพ็ชรทาย วงศ์คำเหลา’ หรือ ‘หม่ำ จ๊กมก’ ที่เคยฝากฝีมือเอาไว้ใน ‘บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยม’ มาแล้ว
แล้วอะไรที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ขึ้นหิ้งและยังคงเป็นที่ถูกพูดถึงอยู่ในปัจจุบัน
[ความฮา=บริบทที่คนไทยเข้าใจ+การจัดวางจังหวะคาดไม่ถึงอย่างเหมาะสม]
การหยิบจับธีมเรื่องและความย้อนยุค (retro) แบบ ‘มนต์รักลูกทุ่ง’ ที่ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์และละครออกฉายสู่สายตาคนไทยอยู่บ่อยครั้ง หรือภาพยนตร์ไทยช่วงยุค 70s-80s ที่มักจะนำเพลงลูกทุ่งมาเป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ เช่น มนต์รักแม่น้ำมูล เป็นต้น มาต่อยอดเป็นภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ทำให้ผู้ชมที่คุ้นชินกับสไตล์ดังกล่าวอยู่แล้วสามารถ ‘เข้าใจ’ และ ‘เข้าถึง’ ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยาก
บวกกับการจัดวาง ‘จังหวะคาดไม่ถึง’ หรือจัดวางจังหวะขัดแย้งจากความคาดหวังที่สอดคล้องกับบริบทที่คนไทยเข้าใจ ณ เวลาดังกล่าวอย่างเหมาะสม (แม้ว่าบางอย่างอาจจะไม่เหมาะสมที่จะใช้ในยุคนี้ก็ตามที)
เช่น หนึ่งในฉากที่ถูกตัดมาลงในช่องยูทูบของค่ายหนังสหมงคลฟิล์มและมียอดผู้ชมกว่า 6 ล้านอย่างฉากที่ ‘แหยม’ รอคอยจดหมายของ ‘เจ้ย’ แต่กลับได้จดหมายร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่าสามัคคี ซึ่งความขบขันเกิดขึ้นเมื่อตัวละครระหว่าง ‘แหยม’ กับ ‘บุรุษไปรษณีย์’ ต่างผลักดันวาระของตนเอง
ฝั่งหนึ่งไม่ยอมที่จะรับจดหมายทอดผ้าป่าด้วยการบอกว่ามีความเชื่อที่ต่างไป แต่อีกฝั่งก็ดันมีจดหมายร่วมทำบุญของความเชื่อเหล่านั้น ซึ่งก็เป็นสิ่งคาดไม่ถึงที่ผู้ชมในประเทศสามารถจินตนาการถึงได้ไม่ยาก เช่น การซื้อไม้กางเขนให้พระเยซูและการซื้อม้าตัวใหม่ถวายพระถังซัมจั๋ง เป็นต้น
ฉากดังกล่าวยังมีส่วนเชื่อมไปยังหนึ่งในปมของเรื่อง นั่นคือความพยายามในการกีดกันความรักของคนสองคู่โดยฝีมือคุณนายดอกท้ออีกด้วย
[ตีความอีสานใหม่ กลายเป็น ‘แหยมสไตล์’]
ความหาญกล้าหนึ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้คือการสื่อสารด้วยภาษาถิ่นอีสานทั้งเรื่อง เพราะภาพยนตร์ในยุค 70s-80s โดยเฉพาะภาพยนตร์ของผู้กำกับอย่าง ‘สุรสีห์ ผาธรรม’ และ ‘พงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา’ ที่ใช้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นฉากหลังของเรื่องส่วนใหญ่ มักจะไม่ใช้ภาษาถิ่นสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่านี่เป็นการเชื่อมโยงประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดของประเทศ
ถึงแม้ว่าภาพยนตร์จะมีส่วนในการสะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่งานออกแบบหรือ Production Design สไตล์เรโทรอันฉูดฉาดจัดจ้านที่ปรากฏตลอดทั้งเรื่อง สะท้อนถึงการตีความที่ไม่ได้ยึดติดกับภาพจำบางประการที่ผู้คนมีต่อภูมิภาคดังกล่าว ซึ่งช่วยขับให้สไตล์แบบ ‘แหยมยโสธร’ เด่นชัด
กลายเป็นว่าเมื่อใดก็ตามที่ได้เห็นใครใส่เสื้อและกางเกงหลากสี ก็รู้ได้ทันทีว่าบริษัทของพวกเขาอาจจะกำลังจัดธีมปาร์ตี้แหยมยโสธรอยู่ก็เป็นได้
[แม้แต่ตัวละครรองก็ยังเป็นที่จดจำ]
นอกจากตัวละครเอกจะเป็นที่จดจำ ตัวละครระดับรองก็เป็นที่น่าจดจำไม่แพ้กัน เพราะทุกตัวละครต่างก็มีคาแรกเตอร์และมีวาระ (agenda) ของตัวเองที่ชัดเจน แม้ว่านักแสดงหลายคนคือเหล่านักแสดงหน้าใหม่ในวงการภาพยนตร์ในเวลานั้น
เช่น ‘ยอดชาย’ ลูกชายของกำนันในพื้นที่ที่รับบทโดย ‘อนุวัฒน์ ทาระพันธ์’ ก็เป็นที่จดจำจากคาแรกเตอร์เสียงหล่อและวลีต่อท้ายคำพูดอย่าง “อะฮึ่ย!” หรือ ‘รัก’ กับ ‘ยม’ ลูกน้องของคุณนายดอกท้อ ที่รับบทโดย ‘ใส เชิญยิ้ม’ และ ‘เขมร ลูกหยี’ ก็เป็นที่จดจำจากการพูดสลับกันคนละคำ หรือ ‘คุณนายดอกท้อ’ ที่รับบทโดย ‘แวว จ๊กมก’ มีคาแรกเตอร์พูดไทยคำ อังกฤษคำ และมีวาระที่ชัดเจนว่าต้องการที่จะให้ ‘สร้อย’ ผู้เป็นหลานได้พบกับชายหนุ่มที่มีฐานะเหมาะสมมาเป็นคู่ครอง เป็นต้น
[เพลงประกอบดังข้ามกาลเวลา]
แค่จังหวะรัวกลองและสำเนียงแบบพิณในอินโทรของเพลง ‘โจ๊ะ จะ จะ’ ก็ชวนให้นึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ไม่ยากนัก เช่นเดียวกับเพลงอื่นๆ ที่ปรากฏตลอดทั้งเรื่อง เช่น คนลวงรัก, ตะวันแดง ฯลฯ ที่หากจะฟังแยกจากภาพยนตร์ ก็สามารถฟังเพื่อความไพเราะเฉกเช่นเพลงลูกทุ่งอื่นๆ
ด้วยการถ่ายทอดของ ‘ทิดเซียง เสียงเสน่ห์’ นักร้องผู้มีร่องเสียงชวนให้นึกถึง ‘สนธิ สมมาตร’ ในภาพยนตร์มนต์รักแม่น้ำมูล (ซึ่งภายหลังเพลงจากภาพยนตร์ดังกล่าวหลายเพลงถูกใช้ในแหยม ยโสธร ภาค 2) บวกกับการเรียบเรียงของนักเรียบเรียงเพลงลูกทุ่งมือฉมังอย่าง ‘กิตติศักดิ์ สายน้ำทิพย์’ ทำให้เพลงเป็นที่จดจำได้ไม่ยาก
โดยเฉพาะเพลง ‘กลับมาทำไม’ ที่ปรากฏในช่วงท้ายเรื่องในฉากที่เจ้ยมาเฉลยตัวตนกับแหยม ถ่ายทอดโดย ‘หม่ำ จ๊กมก’ ต้นฉบับเดิมโดย ‘สังข์ทอง สีใส’ กลายเป็นเพลงที่ดังข้ามกาลเวลาเป็นที่เรียบร้อย