ทำไมคนเราชอบ ชานม เนื้อย่าง และชาบู แม้รู้ว่ามันร้ายนักหนา

2 Min
1285 Views
12 Oct 2020

ถึงแม้ช่วงเวลาผ่านไป แต่ชานม เนื้อย่าง และชาบู ยังเป็นเหมือนเทรนด์ที่ไม่มีวันเลือนหาย 3 เสาหลักแห่งความอร่อยนี้ ยังคอยเคียงข้างสร้างความอร่อยให้ปากและท้องเราได้เสมอ แต่ประเด็นนี้ก็คือ หากมองใน เชิงสุขภาพแล้ว ความอร่อยเหล่านี้กลับเป็นตัวร้ายที่ทำลายสุขภาพเรามาโดยตลอด หากกินน้อย กินแต่พอดี คงไม่เป็นอะไร แต่ที่เศร้าใจก็คือ บางคนเสพติดการรับประทานชานมไข่มุก บางท่านจำเป็นต้องไปกินเนื้อย่างชาบูอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จนทำให้ต้องสูญเสียสุขภาพและเผชิญโรคร้ายกันมากนักต่อนัก จากน้ำตาลที่มากล้น ความไหม้เกรียมคลุกเคล้า หรือไขมันที่มาพร้อมเนื้อสัตว์สารพัดชนิด และอีกมากมาย

ผมเชื่อดีว่าประเด็นด้านบนเป็นประเด็นที่ทุกคนต่างรู้กันอยู่แล้ว และวันนี้เราก็ไม่ได้คิดจะมาพูดถึงแง่ร้ายอะไร ของมันด้วย เนื้อหาที่เราอยากถกกันก็คือ เมื่อเรารู้ว่ามันร้าย แล้วทำไมเราถึงรัก เมื่อกินแล้วมันอ้วนนัก แต่ทำไมเรายังกิน?

คำถามต่อมาก็คือ ความรู้สึกอยากกินมันเกิดมาจากอะไร เรื่องราวนี้เชื่อมโยงกับความรู้สึก ‘อร่อย’ อย่าง ปฏิเสธไม่ได้ครับ ทุกท่านคงทราบดีว่า ความรู้สึกอร่อย นี่แหละเป็นตัวการสำคัญที่เชื้อชวนเราให้ไปซื้อชานมสักแก้ว เชื้อเชิญเราให้ไปซัดปิ้งย่างสักมื้อ ก็มันอร่อยนี่หน่า! แต่ทำไมร่างกายถึงบอกว่ามันอร่อย ทั้งที่มันไม่ดีต่อร่างกาย ทำไมความอร่อยชักจูงเราไปสู่ความตาย ร่างกายไม่รักเราแล้วหรือ?

ขออธิบายแบบนี้ครับว่า ความรู้สึกอร่อยนี่แหละ คือตัวการสำคัญที่ทำให้มนุษย์อยู่รอด ความอร่อยจะชักชวน ให้เราออกไปหาอะไรที่จำเป็นต่อร่างกายทาน ในอดีตความหวานเป็นเหมือนแหล่งสำคัญของพลังงาน แล้วความหวานก็ไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายอะไรนัก เกษตรกรรมก็ยังไม่มี ทำสวนก็ไม่เป็น ผลไม้ป่าก็หายาก กว่าจะหาเจอที่มันสุก แล้วกว่าจะเจอลูกที่สุกแล้วไม่มีแมลงมาทำลายอีก หลายอุปสรรคที่ทำให้ของหวานเป็นของหา ยากในสมัยนั้น

กลไกในร่างกายมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้สนับสนุนเราใช้ชีวิตถูกแล้ว เรารู้สึกเจ็บปวดเพื่อที่จะได้ดูแลและรู้ ความผิดพลาดในร่างกาย เรามีอารมณ์ทางเพศเพื่อล่อให้เราสืบพันธุ์ เราต่อยกันเพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์ของตัวเอง อะไรทำนองนั้น

ความหวานสร้าง ‘ความรู้สึกดี’ จากสารโดพามีน แล้วความรู้สึกดีก็เป็นสิ่งผลักดันที่ทำให้เราออกไปหาความ หวานมาเติมเต็มเพื่อความอยู่รอด แต่มาตรฐานความอร่อย มาตรฐานของรสชาติกลับเปลี่ยนไปตามวัน เวลา และปัญหาที่ตามมาก็เลยเกิดขึ้น

ปัจจุบันมนุษย์สามารถเพาะปลูก ทำเกษตรกรรม ยกระดับความหวานขึ้นไปเรื่อย ๆ หวานมากกว่าที่มนุษย์ เคยต้องการ แล้วความหวานเกินความจำเป็นนี้ก็ย้อนกลับมาทำร้ายเรา โดยที่สัญชาตญาณเราไม่ได้รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ เพราะร่างกายจะบอกเราเพียงว่าเราต้องการความหวานมาทาน แต่ความหวานที่ได้รับในปัจจุบันเป็น ความหวานที่ซูเปอร์หวาน หวานเกินขีดจำกัดและเป็นความหวานที่ก่อเกิดโรคร้ายได้นั่นเอง แต่ครั้นจะให้เลิก ก็ยากเพราะเสพติดความเพลิดเพลินที่ได้มาง่าย ๆ (อย่างการกินขานมไข่มุก) ไปแล้ว

เนื้อสัตว์ก็เป็นเหมือนแหล่งโปรตีนชั้นยอดในยุคสมัยนั้น พอมนุษย์เริ่มทำอาหารเป็น การย่าง การต้ม ทำให้กระบวนการย่อยทำได้ง่ายขึ้น เอาจริง ๆ แล้วเราก็ไม่ได้จำเป็นต้องทานเนื้ออะไรมากขนาดนั้น เพราะแหล่งโปรตีนจากจุดอื่นก็มีเยอะแยะ อารมณ์ใกล้เคียงว่า เรากินมันเพราะเราชอบมันมากกว่าที่เราต้องการมันแล้ว เนื้อสัตว์สมัยก่อนก็ไม่ได้ติดมันเยอะขนาดนี้ ไม่ได้ผ่านการขุน ไม่ได้ผ่านการดัดแปลงอะไรมากมาย เป็นผลลัพธ์จากธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีเนื้อสดนับร้อยถาด หมูย่างนับร้อยตัวมาให้เราเลือกซื้อกินกันได้ ง่ายกันอย่างทุกวันนี้

สรุปคือความหวาน เนื้อสัตว์หรือไขมันในช่วงนั้นมันไม่ได้ทำลายสุขภาพ แต่ความหวานในปัจจุบันต่างหากที่ มันถูกยกระดับจนทำลายสุขภาพ แต่สัญชาตญาณเราก็ยังคุ้นชินว่ามันจำเป็นอยู่ ทำให้ความหวานและมนุษย์ เป็นเพื่อนคู่รักที่คอยทำร้ายกันอยู่ร่ำไปในยุคสมัยที่ผ่านมา

อ้างอิง 

  • 500 ล้ายปีของความรัก (นพ.ชัชพล เกียรติขจรธาดา) The Juicy History of Humans Eating Meat Why are humans so obsessed with eating meat?