โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมากมาย และมันก็มากระดับที่คนรับไม่หมดและสามารถจะสร้างโลกของตัวเองและคนกลุ่มตัวเองภายใต้ข้อมูลข่าวสารชุดหนึ่งในแบบที่คนนอกคงจะงงที่มีคนเชื่ออะไรแบบนี้อยู่ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเป็นปกติ แต่เมื่อใดที่มันเริ่มนำไปสู่ความรุนแรง มันก็เป็นอีกเรื่อง
เรากำลังพูดถึงเหตุกราดยิงในโลกตะวันตก ไม่ว่าที่นอร์เวย์ในปี 2011 หรือที่นิวซีแลนด์ในปี 2019 ซึ่งนี่เป็นเรื่องช็อคโลกพอสมควร เพราะสองประเทศนี้มีภาพลักษณ์ว่ามีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความ “ซ้าย” ในวิถีชีวิต ซึ่งทำให้คนงงว่า ประเทศเหล่านี้มีคนขวาจัดระดับบ้าคลั่งซุกซ่อนอยู่ได้ยังไง
แต่ที่น่าสนใจคือ ทั้งสองกรณีทางมือปืนได้มี “คำประกาศ” ทั้งคู่ว่าตัวเองทำไปทำไม
ซึ่งสื่อก็มักจะไม่นำเสนอคำประกาศพวกนี้ เพราะยิ่งเป็นการทำให้มือปืนได้ใจ แต่เอาจริงๆ ถ้าเรามีโอกาสได้รู้เนื้อหา มันอาจทำให้เรามองคนกลุ่มนี้ต่างออกไปเลย
แน่นอน โดยปกติเราจะมองคนพวกนี้เป็น “คนบ้า” แต่ในความเป็นจริง คนพวกนี้ไม่ใช่คนบ้า พวกเขามีวิธีคิดที่เป็นระบบ เพียงแต่พวกเขารับรู้ “ข้อเท็จจริง” เกี่ยวกับความเป็นไปในโลกต่างจากเราโดยสิ้นเชิง และเรียกได้ว่าพวกเขาอยู่ใน “จักรวาลความคิด” ของกลุ่มขวาจัด
สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่เราน่าจะรู้อยู่แล้ว และสิ่งที่เราคิดกันก็คือคนพวกนี้คือ “คนขาวเหยียดผิว” ธรรมดา แต่ถ้าเราคิดดีๆ ลำพังความเกลียดหรือ “รังเกียจ” เพียงพอจริงเหรอที่จะทำให้คน “มีเหตุผล” ออกมายิงคน?
ถ้าเราขุดไปในความคิดของคนพวกนี้ เราจะพบว่าจริงๆ พวกนี้ไม่ได้ถูกผลักดันด้วย “ความเกลียด” แต่จริงๆ ถูกผลักดันด้วย “ความกลัว” คนพวกนี้จะมี “ความเชื่อ” ชุดหนึ่งที่เหมือนกันก็คือเชื่อว่า “คนขาว” กำลังจะถูก “ล้างเผ่าพันธุ์” ไปจากโลกจริงๆ
และความน่ากลัวคือแนวคิดแบบนี้มีประวัติเป็นร้อยปี และมีการสร้าง “ข้อเท็จจริงปลอม” ซ้อนทับกันขึ้นไปเรื่อยๆ จนเกิด “ความจริง” อีกชุดที่ต่างจากความจริงที่คนทั่วไปรับรู้
จุดเริ่มต้นของความกลัว
ความหวาดกลัวว่าคนขาวจะเป็นสายพันธุ์ที่สูญหายไปนั้นเกิดมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แล้ว เพราะในยุคนั้นมีการอพยพคนมากมายมหาศาลทั่วโลก และคนในประเทศต่างๆ ก็เริ่มหวาดกลัวผู้อพยพกันตั้งแต่ตอนนั้น ซึ่งในยุคนั้นเป็นเพียงความรู้สึกลอยๆ ไม่ได้เป็นระบบความคิดหรืออะไรที่เป็นระบบ
ในปี 1916 นักเขียนอเมริกันชื่อ เมดิสัน แกรนท์ ได้เขียนหนังสือชื่อ The Passing of The Great Race ที่เล่าอย่างเป็นตุเป็นตะว่าคนขาวแห่งโลกตะวันตกอาจกำลังจะสูญพันธุ์ เพราะมีการรับผู้อพยพจากชาติต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะชาวยิวที่ทำให้เกิด “คนสายพันธุ์ไม่บริสุทธิ์” มามากมายจากการแต่งงานข้ามเชื้อชาติ และสิ่งนี้จะทำให้อารยธรรมตะวันตกเสื่อมสลายหายไปในที่สุด

เมดิสัน แกรนท์ | Wikipedia
นี่เป็นหนังสือเล่มแรกๆ ที่แสดงความกลัวว่าคนขาวจะสูญพันธุ์อย่างเป็นระบบ และเรียกได้ว่ากลายมาเป็น “คัมภีร์” ยุคแรกของพวกขวาจัด และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ จอมเผด็จการชาวเยอรมันถึงกับเรียกหนังสือเล่มนี้ว่าเป็น “ไบเบิล” ของเขาเลย
ต้องเข้าใจก่อนว่าในครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 แม้แต่ความรู้ในวง “วิชาการ” เองยังมีการพูดแยกมนุษย์เป็นเชื้อชาติต่างๆ อย่างแยกขาดกันชัดๆ เลย และมีนัยยะของลำดับสูงต่ำด้วย หรือพูดอีกแบบ คนทั่วไปยุคนั้นเชื่อจริงๆ ว่าคนขาวเป็นชาติพันธุ์สูงส่งกว่าในเชิงอารยธรรม อันเป็นแนวคิดแบบอาณานิคมแท้ๆ เพียงแต่ยุคนั้นไม่มีใครคิดว่าชนชาติที่ยิ่งใหญ่กว่าชนชาติอื่นอย่างคนขาวจะถูก “ล้างเผ่าพันธุ์” จะมีก็แต่ คนอย่างแกรนท์เท่านั้นที่จะกลัวจริงๆ และก็มีคนอย่างฮิตเลอร์เอาแนวคิดนี้ไปต่อยอดใช้ในทางการเมืองจนเกิดลัทธินาซีเยอรมนีในที่สุด
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แน่นอนว่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับลัทธินาซีถูกแบนหมด และแนวคิดต่างๆ ที่เชื่อว่าคนขาวเป็นเชื้อชาติที่สูงส่งกว่าเชื้อชาติอื่นๆ ก็เสื่อมถอยไปพร้อมๆ กับกระแสต้านอาณานิคมทั่วโลก ซึ่งในโลกวิชาการแนวคิดแบบนี้และทุกอย่างที่เกี่ยวข้องสูญพันธุ์ไปแทบจะสิ้นเชิงในปัจจุบัน
แต่ก็อย่างที่เล่า แนวคิดที่เชื่อว่า “คนขาวจะถูกล้างเผ่าพันธุ์” นั้นเก่าแก่ยิ่งกว่านาซี และมันก็ไม่หายไปไหน และยังมีกลุ่มที่ยังเชื่อในแนวคิดแบบเก่าที่เชื่อว่าชาวยิวมีอำนาจในการควบคุมโลก และเชื่อว่าพวกชาวยิวกำลังใช้แนวคิดพวกนี้ ค่อยๆ บ่อนทำลายอารยธรรมตะวันตก ทำให้เชื้อสายและวัฒนธรรมคนขาวค่อยๆ จืดจางไปจนหายไปในที่สุดผ่านการอพยพคนที่ไม่ใช่คนขาวเข้ามาในประเทศเรื่อยๆ คนที่เชื่อในแนวคิดนี้มีอยู่มาตลอดและถูกเรียกว่า “นีโอนาซี” จนถึงทุกวันนี้
แต่ถามว่ากลุ่มขวาจัดหัวรุนแรงสมัยใหม่เชื่อในแนว “นีโอนาซี” มั้ย? คำตอบคือส่วนใหญ่น่าจะไม่ได้ชัดแบบนั้น แต่พวกเขามี “คัมภีร์” อีกเล่ม และมีคำอธิบายอีกแบบว่าทำไมคนขาวจะถูกล้างเผ่าพันธุ์
ความกลัวสมัยใหม่
ถ้าจะพูดถึงคนคนหนึ่งที่เขียน “คัมภีร์” ให้ฝ่ายขวาจัดสมัยใหม่ คนคนนั้นคงเป็นนักเขียนฝรั่งเศสที่มีนามว่า เรโนลด์ กามูส์ ที่เขียนหนังสือชื่อ The Great Replacement ออกมาในปี 2011

เรโนลด์ กามูส์ | Wikipedia
ความเด่นของกามูส์ก็คือ เขาพูดถึงภาวะที่คนยุโรป “กำลังจะสูญพันธุ์” จากการรับผู้อพยพเข้ามามากมาย ซึ่งเขาน่าจะเป็นคนแรกๆ ที่พูดถึงประเด็นนี้โดยไม่ต้องพูดผ่าน “ทฤษฎีสมคบคิด” เก่าสไตล์นาซีและนีโอนาซีที่เชื่อว่าชาวยิวอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง สิ่งที่เขาพูดดูจะเป็นการตัดสิ่งที่ “ไม่สมเหตุสมผล” ที่สุดในแนวคิดขวาจัดแบบเก่า และทำให้เขาได้รับความนิยมสูงมากในกลุ่ม “ขวาจัด” แบบใหม่ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ มือปืนสังหารหมู่ทุกคนอ่านงานเขาและอ้างถึงงานเขา
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ก็มี “ข้อเท็จจริง” ชุดหนึ่งที่ถูกผลักดันมากๆ ก็คือเรื่อง “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนขาว” ในแอฟริกาใต้ ซึ่งพล็อตเรื่องก็คือ พวกชาวนาคนขาวในแอฟริกาใต้จะถูกคนดำเข้าไปลอบฆ่า นอกจากรัฐบาลปล่อยเกียร์ว่างไม่พอ รัฐบาลยังร่ำๆ จะประกาศยึดที่ดินจากคนขาวโดยไม่จ่ายค่าชดเชยใดๆ เพื่อเป็นการเอาคืนสิ่งที่คนขาวทำไว้ในยุคอาณานิคมด้วย
ประเด็นนี้เป็นที่โต้เถียงพอควร เพราะมี “เค้าความจริง” อยู่ กล่าวคือ มีชาวนาคนขาวโดนฆ่าจริงๆ และรัฐบาลก็ไม่ทำอะไรจริงๆ แต่ปัญหาคือ จริงๆ แล้ว แอฟริกาใต้เป็นประเทศที่มีอาชญากรรมและเหตุฆาตกรรมสูงมากๆ และรัฐบาลนั้นไม่ได้แค่ปล่อยเกียร์ว่าง แต่ไม่มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายอย่างรุนแรงทั้งหมด คือไม่ว่าคุณจะขาวจะดำ คุณมีโอกาสตายหมด เพราะรัฐปราบโจรไม่ได้ และเอาจริงๆ ถ้าไปดูตัวเลขดีๆ อัตราการตายของคนขาวน้อยกว่าคนดำด้วยซ้ำ
ดังนั้น เรื่องนี้ ไม่ใช่ “ไม่จริง” แต่เป็นการ “เลือกพูดความจริงไม่หมด เพื่อผลทางการเมือง”
ซึ่งแน่นอน ภาวะแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติของเรื่องการเมือง พูดง่ายๆ ว่าถ้าการกระทำทำนองนี้ผิดกฎหมายแล้ว ไม่ว่านักการเมืองหรือนักกิจกรรมก็คงต้องติดคุกกันหมด เพราะ “งาน” ของคนเหล่านี้ล้วนเป็นการ “พูดความจริงไม่หมด เพื่อรับใช้วาระทางการเมืองของตัวเอง” อยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ปัญหาก็คือ “ความจริงที่ไม่สมบูรณ์” เรื่องการที่ชาวนาคนขาวในแอฟริกาใต้ถูกคนดำฆ่านี้ พอประกอบเข้ากับ “ทฤษฎีว่าคนขาวกำลังโดนล้างเผ่าพันธุ์” มันกลายสภาพเป็น “หลักฐานเชิงประจักษ์” ว่าทฤษฎีที่ว่านั้นมีความจริง และทำให้คนยิ่งเชื่อไปใหญ่
นี่ทำให้ฝ่ายคนขาวขวาจัดทั่วโลกคิดไปในทำนองเดียวกันว่า “ถ้าไม่สู้ ก็อยู่อย่างแอฟริกาใต้” กล่าวคือ ถ้าไม่ลุกขึ้นสู้และต่อต้านกระบวนการล้างเผ่าพันธุ์คนขาว ก็เตรียมจะสูญพันธุ์ได้เลย
ดังนั้นในแง่นี้ เราก็จะเห็นฝ่ายขวาจัดปัจจุบันจำนวนมากบอกว่าตัวเอง “ไม่ใช่นาซี” ซึ่งก็จริงในบางแง่ เพราะคนพวกนี้ไม่ได้เชื่อว่าชาวยิวอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง หลายคนคิดว่าแนวคิดพวกนี้น่าขันด้วยซ้ำ แต่พวกนี้มีจุดร่วมกับนาซีในระดับที่พื้นฐานกว่านั้น ซึ่งก็คือเชื่อว่าคนขาวกำลังถูกทำให้สูญพันธุ์ไปจากโลกจริงๆ ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ซึ่งก็โชคร้ายเหลือเกินสำหรับโลกใบนี้ ที่คนพวกนี้มักจะถือปืนคร่าชีวิตคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่ที่พวกเขาคิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการล้างเผ่าพันธุ์พวกเขา

อานเดอร์ เบรวิค มือปืนสังหารหมู่นอร์เวย์ในปี 2011 ทำท่าสดุดีนาซีในศาล | The Independent
ดังนั้นในแง่นี้ เราจึงมักจะเห็นว่าฝ่ายซ้ายร่วมสมัยมักจะไล่ปฏิเสธข้อมูลทุกชุดที่พยายามจะเล่าว่า “คนขาวกำลังถูกคุกคาม” หรือ “คนขาวกำลังจะสูญพันธุ์” เพราะข้อมูลเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลเท็จที่ถูกสร้างมาเพื่อเลี้ยงเชื้อไฟแห่งความกลัว เพื่อให้ขบวนการฝ่ายขวาจัดยังธำรงอยู่ต่อไป
แต่ในทางกลับกันการไปปิด “ข้อมูลเท็จ” เหล่านี้ก็ยิ่งไปกระตุ้นเชื้อไฟแห่งความกลัวหนักเข้าไปอีก เพราะฝ่ายขวาจัดมักจะเชื่อเช่นกันว่ารัฐบาลประเทศตัวเองจะคอยปิดบังอาชญากรรมของผู้อพยพ โดยเฉพาะข่าวเรื่องการข่มขืนผู้หญิงคนขาวของผู้อพยพชาวมุสลิม
และนี่ก็เรียกได้ว่าเป็นพล็อตคลาสสิค ที่ฝ่ายขวาจัดในยุโรปประเทศที่มีผู้อพยพชาวอาหรับเข้าไปเยอะๆ ใช้กระพือความกลัว
แล้วคนขาวจะสูญพันธุ์จริงหรือ?
อย่างไรก็ดี สุดท้ายถามว่า “คนขาว” กำลังจะสูญพันธุ์ หรือกลายเป็นชนกลุ่มน้อย จริงเหรอ? คำตอบที่น่าจะกระอักกระอ่วนคือ “แนวโน้มดูจะเป็นอย่างนั้น” ถ้าดูจากข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ระดับโลก เราก็จะเห็นเลยว่าคนขาวเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลูกลดลงจริงๆ ในขณะที่กลุ่มคนที่มีลูกมากคือกลุ่มคนดำและคนอาหรับ ซึ่งอันนี้ไปพลิกดูอัตราการเกิดในภูมิภาคต่างๆ ได้เลย ข้อมูลตรงนี้เป็นกลางแน่ๆ ไม่ใช่ข้อมูลเท็จที่ฝ่ายขวาจัดปั้นแต่งมากระตุ้นเชื้อไฟความกลัว
แต่ถามว่านี่คือ “พล็อตล้างเผ่าพันธุ์” คนขาวเหรอ?
คำตอบคือ “ไม่ใช่อีก” เพราะนี่คือปัญหา “สังคมผู้สูงอายุ” เบสิคเลย เศรษฐกิจประเทศพัฒนา คนคุณภาพชีวิตสูงขึ้น มีลูกน้อยลง เรื่องปกติมากๆ เป็นแบบนี้ทุกประเทศ ซึ่งเอาจริงๆ เขามีงานวิจัยจริงจังที่ชี้เลยว่า ปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนมีลูกน้อยลงคือการที่ผู้หญิงมีการศึกษาสูงขึ้น ส่วนคนที่มาจากสังคมที่มาจากวัฒนธรรมที่วางบนฐานของพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่ต่ำกว่า และผู้หญิงไม่ได้มีการศึกษามา ก็มักจะมีลูกมาก ซึ่งนี่ก็ตรงกับแพตเทิร์นของโลกอาหรับและแอฟริกาเป๊ะ เพราะโซนพวกนี้กดขี่ผู้หญิงมากๆ และปิดโอกาสไม่ให้พวกเธอมีการศึกษา
แต่ประเด็นก็คือ คนขาวจะมาโทษคนดำ และคนอาหรับที่มีลูกมากไม่ได้ เพราะก็ไม่มีใครห้ามคนขาวมีลูก
และในทำนองเดียวกัน การแต่งงานข้ามเชื้อชาติ ก็ไม่มีใครบังคับได้ คือคนจะแต่งงานกันในสังคมตะวันตกไม่ได้อยู่ใต้การบงการของใครทั้งนั้น เพราะไม่ได้อยู่ในระบบคลุมถุงชน
นี่ทำให้สุดท้าย ถ้าคนขาวจะสูญพันธุ์ไป ก็คงจะเป็นฝีมือของคนขาวเอง
แต่ถ้าไปพูดแบบนี้ให้พวกที่เชื่อแนวคิดขวาจัดฟัง พวกนี้ก็จะอธิบายว่า อะไรพวกนี้มันเกิดขึ้นเพราะคนอยู่ใต้อิทธิพลของฮอลลีวูดและเน็ตฟลิกซ์ ที่ยุคหลังๆ แคสติ้งตัวละครไม่ว่าจะหนังสือซีรีส์โดยเน้น “ความหลากหลาย” และทำให้คู่รักต่างเชื้อชาติกลายเป็นเรื่องปกติ รวมไปจนถึงการทำให้พฤติกรรมรักร่วมเพศซึ่งไม่ทำให้ก่อเกิดทายาทเป็นเรื่องปกติ
สำหรับฝ่ายขวาจัดแล้ว องค์กรสื่อบันเทิงพวกนี้ถูกควบคุมโดยฝ่ายซ้ายเพื่อสร้างอุดมการณ์มาทำลายฝ่ายขวาจัด
ถ้าจะคิดกันได้ขนาดนี้ คงพูดได้คำเดียวว่า “ก็เอาเถอะครับ…”
อ้างอิง:
- Wikipedia. White genocide conspiracy theory. http://bit.ly/37KNcXS