ประวัติศาสตร์การล่าวาฬของญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นกลับมาล่าวาฬอีกครั้ง แต่การกลับมาครั้งนี้ เรื่องราวอาจไม่ได้เป็นแบบเดิม

4 Min
2158 Views
14 Dec 2020

เมื่อปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการล่าวาฬของญี่ปุ่นได้กลับมาเดินหน้าออกไล่ล่าวาฬในรูปแบบ ‘เชิงพาณิชย์’ อีกครั้ง หลังหยุดล่าไปนานถึง 30 ปี

โดยญี่ปุ่นได้ขอถอนตัว ‘อย่างเป็นทางการ’ จากการเป็นสมาชิก ‘คณะกรรมการล่าวาฬระหว่างประเทศ’ (International Whaling Commission) หรือ IWC ที่ตั้งขึ้นเพื่อจำกัดการล่าวาฬ

การ ‘กลับลำ’ ของญี่ปุ่น ทำให้หลายฝ่ายไม่พอใจ (โดยเฉพาะบรรดานักอนุรักษ์) เพราะสถานะของวาฬเกือบทุกชนิดสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อย่างน่าเป็นห่วง

แต่ถึงแม้จะมีเสียงคัดค้านเพียงไร ญี่ปุ่นกลับเมินเฉย พร้อมอ้างว่า การล่าวาฬเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมอาหาร มีความผูกพันกับวิถีชีวิต และเปรียบได้กับวัฒนธรรมชุมชนของประเทศ จะลาเลิกไปคงทำไม่ได้เสียหรอก

Whaling | scx1.b-cdn.net

ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้นั้น บ่งบอกว่าคนญี่ปุ่นล่าวาฬมานานนับพันปี มีเขียนไว้ใน ‘โคจิกิ’ บันทึกเก่าแก่ของประเทศว่าปฐมกษัตริย์แห่งญี่ปุ่นทรงเสวยเนื้อวาฬ ทั้งมีบันทึกการล่าปรากฏในหนังสือโบราณอีกหลายเล่ม

นักล่าวาฬในอดีตจะไม่ล่าวาฬแม่ลูกอ่อน จะสวดมนต์ จัดพิธีศพ ตั้งศาลเจ้า และตั้งชื่อทางศาสนาพุทธให้วาฬตัวที่ถูกล่า

แต่การล่าวาฬของญี่ปุ่นเริ่มเปลี่ยนไปในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่นักเดินเรือชาวยุโรปและอเมริกาออกเดินหน้าล่าวาฬเอาไขมันหรือน้ำมันวาฬมาขายกันเป็นล่ำเป็นสัน

แม้จะเริ่มช้ากว่าใคร แต่ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็ว มีการตั้งสมาคมล่าวาฬขึ้นเป็นกิจจะลักษณะ จ้างชาวนอร์เวย์ที่ขึ้นชื่อในการล่ามาเป็นลูกเรือในตำแหน่งนักแทงฉมวก นำเข้าเรือเครื่องจักร ปืนใหญ่ ระเบิดเข้ามาพร้อมสรรพ จนพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมเชิงพาณิชย์ในที่สุด

ในช่วงสิบปีแรก ญี่ปุ่นล่าวาฬเฉลี่ยปีละประมาณ 1,500 ตัว โดยมีเรือเพียง 28 ลำ

จนช่วงทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นยุคที่ผืนทะเลแทบทุกแห่งแดงฉานด้วยเลือดวาฬ ญี่ปุ่นสามารถสร้างกำไรจากการขายน้ำมันได้มหาศาล และทุนรอนสำคัญให้ญี่ปุ่นรุกรานดินแดนแมนจูเรียของจีน ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 สำเร็จ

แต่การล่าวาฬของญี่ปุ่นต้องชงักลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่นเดียวกับทุกประเทศ

ขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่มนุษย์เราเริ่มตระหนักว่าจำนวนวาฬได้ลดลงเป็นอย่างมาก

เวลานั้นได้เกิดอนุสัญญาเจนีวาเพื่อควบคุมการล่าวาฬขึ้น แต่ญี่ปุ่นปฏิเสธการเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา พวกเขายืนยันว่าจะล่าวาฬต่อไปโดยไม่สนคำคัดค้านของใคร

จนเมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศได้รับความเสียหายนัก ญี่ปุ่นต้องการล่าวาฬอีกหน และอาศัยเนื้อวาฬในการยังชีพ

ประมาณว่า เวลานั้นชาวญี่ปุ่นบริโภคเนื้อวาฬมากถึงปีละ 226,000 ตัน

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นที่อยู่ภายใต้การดูแล จอมพลดักลาส แมกอาร์เธอร์ – แม้เขาสนับสนุนให้ญี่ปุ่นล่าวาฬ พร้อมอนุญาตให้ออกเรือได้ไกลกว่าเดิม แต่นั่นก็เป็นเรื่องผลประโยชน์ต่างตอบแทน

ญี่ปุ่นได้แต่เนื้อ ส่วนไขมันเป็นของอเมริกา

แต่ด้วยจำนวนวาฬหลายชนิดได้ลดลงจนเข้าขั้นวิกฤต ญี่ปุ่นก็ต้องจำใจยุติการล่าในปี 1987 เมื่อเกิด IWC ขึ้น

เนื้อวาฬ | abc.net.au

การกลับมาล่าวาฬของญี่ปุ่นหนนี้ แม้จะถูกประณามหนัก แต่ญี่ปุ่นก็พยายามหาทางออก โดยยืนยันว่าการกลับมาล่าอีกครั้ง จะเป็นการล่าอย่าง ‘ยั่งยืน’ เพื่อไม่ให้วาฬสูญพันธุ์อย่างที่ทั่วโลกพากันกังวล

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังอ้างถึงเพื่อรักษาประวัติศาสตร์-วัฒนธรรมการล่าวาฬ และเพื่อความมั่นคงทางอาหารเป็นอีกเหตุผลประกอบ

แถมยังบอกด้วยว่า การบริโภคเนื้อวาฬสร้าง Carbon Footprint น้อยกว่าอุตสาหกรรมปศุสัตว์

อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่หนึ่ง ได้พบถึงความกังวลใจของชุมชนที่สืบทอดวิถีการล่าวาฬมาแต่โบราณ คนกลุ่มนี้ไม่มีทักษะชีวิตด้านอื่น ๆ หากไม่มีการล่าวาฬก็คงไม่รู้ว่าจะออกไปทำมาหากินอะไร

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่ใช่ประเทศเดียวที่ยังเดินหน้าล่าวาฬอย่างไม่สนใจใคร ชาวนอร์เวย์ และไอซ์แลนด์ ก็ล่าในเชิงพาณิชย์ไม่ต่างกัน

หรือในแง่ของการล่า (ลักลอบ) หาเลี้ยงชีพ เพราะความจน ไม่ได้ทำในรูปแบบธุรกิจก็ยังพบเห็นได้ตาม ชนเผ่าพื้นเมืองในอะแลสกา แคนาดา กรีนแลนด์ และรัสเซีย

แม้จะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ แต่ญี่ปุ่นมักถูกเพ่งเล็งและพูดถึงหนักกว่าประเทศอื่น ๆ นั่นเพราะในช่วงที่ญี่ปุ่นให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่ล่า ก็ยังพบการลักลอบล่าอยู่เสมอ (ไม่นับว่าออกล่าโดยเอาเรื่องงานวิจัยมาบังหน้า)

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังออเดอร์เนื้อวาฬจากต่างประเทศอยู่ตลอด ถึงแม้ตัวเองไม่ได้ล่า ก็เป็นการสนับสนุนให้เกิดการล่าอยู่ดี

รวมถึงการอ้างเรื่องความยั่งยืนของสายพันธุ์ที่ต้องการล่า ก็กลับเป็นกลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ที่ควรปล่อยให้มันอยู่อย่างสงบสุขดีกว่า

อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมล่าวาฬของญี่ปุ่นก็กลับต้องพบความอกหัก เพราะจำนวนวาฬที่ล่าได้ไม่เป็นไปตามเป้าสักเท่าไหร่

จากอดีตที่เคยล่าวาฬได้ 20,000 ตัวต่อปี แต่ปัจจุบันล่าได้ไม่ถึง 300 ตัว

นอกจากนี้ ในการสำรวจพฤติกรรมการกิน ยังพบว่า การบริโภคเนื้อวาฬของคนญี่ปุ่นลดลงอย่างมากในรูปกราฟที่ดิ่งลงอย่างเดียว

นักอนุรักษ์และผู้เชี่ยวชาญบางคนตั้งข้อสังเกตว่า นี่คือวาระสุดท้ายของอุตสาหกรรมล่าวาฬในญี่ปุ่น เพราะไม่มีแนวโน้มใด ๆ ในตลาดที่บอกว่าการกินเนื้อวาฬจะฟื้นตัวเป็นเหมือนอดีต

สิ่งที่เกิดสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่า มหาสมุทรทั้งหลายกำลังจะเหลือเพียงเวิ้งน้ำเค็มว่างเปล่า ไม่ได้อุดมด้วยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์อีกต่อไปแล้ว

ขณะที่ค่านิยม (การกิน) ก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

สิ่งที่เกิดขึ้น อาจเป็นบทเรียนให้ญี่ปุ่นต้องกลับมาทำความเข้าใจเรื่องนี้เสียใหม่

เมื่อวันนี้ไม่ได้เป็นเหมือนเช่นวันวาน ประวัติศาสตร์ ก็อาจเหลือเพียงเรื่องเล่าของสิ่งที่เคยมี…

อ้างอิง: