We listen, We don’t judge คลาสเรียน 101 กับ ‘ดุจดาว วัฒนปกรณ์’ ปูพื้นฐานก่อนจะ ON EMPATHY ไปด้วยกัน

8 Min
139 Views
02 Apr 2025

“เรื่องแค่นี้เอง ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”
“เพราะทำตัวแบบนี้ไง ถึงได้…”
“แกอะ คิดมาก”

รู้สึกอย่างไรบ้าง เวลามีคนมาพูดแบบนี้?

บางคนอาจรู้สึกถูกตัดบท บางคนอาจรู้สึกเหมือนตัวเองไร้น้ำหนัก ไร้ค่า หรือแม้แต่รู้สึกเหมือนความรู้สึกของตัวเองไม่มีความหมาย เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะคุ้นเคยกับประโยคเหล่านี้ดี และที่เหมือนกันคือ ความรู้สึกแย่ๆ ที่ตามมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะคำพูดเหล่านี้มักถูกพูดออกมาโดยปราศจากสิ่งที่เรียกว่า Empathy

หากสังเกตดู เราจะเห็นว่าคำว่า ‘Empathy’ เริ่มถูกพูดถึงบ่อยขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเวลาที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งในสังคม เรามักได้ยินประโยคที่ว่า “เพราะเราไม่มี Empathy ให้กันมากพอ” หรือ “คนเราไม่ค่อยเข้าใจกันเลย” อยู่เสมอ

อย่างเช่น เมื่อลูกน้องพูดว่า “ช่วงนี้รู้สึกเหนื่อยมากเลยค่ะ” แต่หัวหน้ากลับตอบว่า “อย่าบ่นเลย ทุกคนก็เหนื่อยเหมือนกัน” หรือเมื่อเพื่อนกล้าระบายเรื่องเศร้าใจให้ฟัง แล้วเราเผลอตอบไปว่า “เอาน่า อย่างน้อยเธอก็ยังโชคดีกว่าคนอื่นอีกเยอะ” แม้แต่ในโซเชียลมีเดีย ที่เมื่อมีใครออกมาเล่าเรื่องความสูญเสียหรือความไม่เท่าเทียม กลับเจอคอมเมนต์ว่า “ก็แค่เรื่องส่วนตัว จะเรียกร้องอะไรนักหนา”

ประโยคเหล่านี้อาจฟังดูธรรมดา แต่แท้จริงแล้วมันคือตัวอย่างของการขาด Empathy ที่ค่อยๆ ทำลายความสัมพันธ์ ทำให้คนรู้สึกว่า “ความรู้สึกของฉันไม่มีความหมาย” และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของคำถามที่ว่า

Empathy คืออะไร?
ทำไมเราถึงควรมีมัน?
มันคือความเมตตาเหรอ? หรือว่าแค่ความห่วงใยกัน? 

แล้วการมี Empathy นี่มันยากไหม?

หลายคนอาจเข้าใจว่า Empathy คือ ความเข้าอกเข้าใจคนอื่น ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่ในเชิงลึกแล้ว Empathy ยังมีรายละเอียดที่ซับซ้อนมากกว่านั้น และนั่นเองที่ทำให้หลายคนยังเข้าใจมันคลาดเคลื่อนไป

ด้วยเหตุนี้ BrandThink จึงถือโอกาสชวน ‘ดุจดาว วัฒนปกรณ์’ นักจิตบำบัดด้วยศิลปะการเคลื่อนไหว ผู้ก่อตั้ง Empathy Sauce และ SOULSMITH by Empathy Sauce มาพูดคุยเพื่อไขข้อสงสัยนี้ 

แม้ดุจดาวจะเคยคิดว่าตัวเองเข้าใจเรื่อง Empathy ดีแล้วจากการเรียนจิตบำบัดที่ต่างประเทศ แต่พอกลับมาทำงานในไทย กลับพบว่า Empathy เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก 

“ตอนแรกดาวก็ไม่รู้หรอกว่าเรื่อง Empathy มันยาก แต่พอเริ่มพูดคุยมากขึ้น ก็พบว่ามันมีความยากจริงๆ ความยากข้อแรกคือมันไม่มีคำภาษาไทยที่ชัดเจน ข้อสองคือคนส่วนใหญ่มักเข้าใจคลาดเคลื่อน ดาวจึงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการอธิบายให้ชัด”

จุดนี้เองที่ทำให้เธอต้องกลับมาเน้นเรื่อง Empathy เป็นหลัก โดยใช้ทั้งประสบการณ์ตรงและการวิจัยเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเป็นหลักสูตรที่เข้าถึงคนได้ง่ายขึ้น และใช้เวลาอย่างจริงจังนับสิบปีเพื่อขยายความเข้าใจนี้ออกไปอย่างต่อเนื่อง

“Empathy คือการเข้าใจอีกคนจากจุดที่เขายืนอยู่จริงๆ โดยที่เราไม่เอามาตรวัด ไม่เอาเกณฑ์ หรือหลักการส่วนตัวของเราไปตัดสินหรือประมวลผลแทนเขา เพราะหัวใจของ Empathy คือ การเอาเขาเป็นที่ตั้ง โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรต่อเลยก็ได้ คือเราเข้าใจ แต่ไม่จำเป็นต้องอ่อนโยนหรือแสดงออกอะไร

หากสังคมเราที่เต็มไปด้วยคนที่มี Empathy จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร 

Empathy จะช่วยให้เราสามารถอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัยขึ้น และอาจนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย แม้ว่าบางครั้งเราอาจต้องเผชิญหน้าหรือโต้เถียงกันบ้าง เพราะ Empathy ไม่ได้แปลว่าเราต้องเป็นคนใจดีเสมอไป หรือเป็นคนที่ไม่เคยโกรธเลย เราสามารถมีพื้นที่ให้กับทุกอารมณ์ได้โดยไม่จำเป็นต้องเลือกแค่ทางใดทางหนึ่ง

และการมี Empathy ต่อกัน มันจะเป็นการขัดแย้งที่ยังเคารพในตัวตนของอีกฝ่าย ซึ่งความรู้สึกของการถูกเข้าใจ ถูกเคารพในสิ่งที่เราคิดหรือมองเห็น มันคือความรู้สึกที่เราได้รับเกียรติ รู้สึกว่าเราเป็นมนุษย์ที่ถูกมองเห็นจริงๆ

แล้วจริงไหมที่ Empathy สอนกันไม่ได้

ดาวก็สอนเรื่อง Empathy มาสักพักแล้วนะ (หัวเราะ) แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราสอนอย่างไร แต่อยู่ที่อีกฝ่ายเปิดใจที่จะเรียนรู้หรือเปล่า เพราะ Empathy เป็นทักษะที่เราเรียนรู้ได้จากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นโดยตรง ถ้าเราโตมาในครอบครัวที่มี Empathy ใช้อยู่เป็นประจำ สม่ำเสมอ มันก็จะกลายเป็นธรรมชาติของเราไปเอง 

สิ่งที่เราควรทำคือ ‘ออกแบบประสบการณ์’ ให้ผู้เรียนได้รับ Empathy ก่อน เมื่อเขาได้รับแล้วรู้สึกว่ามันเป็นแบบนี้นี่เอง เขาจะค่อยๆ เข้าใจและเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น จากนั้นเราก็สร้างสภาพแวดล้อมให้เขาได้ฝึกฝนทักษะ Empathy อย่างสม่ำเสมอ 

สำคัญคือเขาต้องอยากฝึกด้วยตัวเองก่อน เราไม่ได้ไปสั่งสอนเขา แต่เราให้โอกาสในการเรียนรู้และเสริมสร้างทักษะนี้ได้ และเราสามารถช่วยให้เขาปรับทัศนคติให้มี Empathy มากขึ้นได้เช่นกัน

ช่วงแรกที่เริ่มให้ความรู้เรื่อง Empathy ผู้คนมีปฏิกิริยาอย่างไร

ตอนแรกที่เริ่มสอนเรื่อง Empathy ทุกคนมักจะบอกว่า ‘รู้อยู่แล้ว ทำเป็นอยู่แล้ว’ แต่ดาวก็จะค่อยๆ บอกให้ทุกคนใจเย็นก่อน ฟังก่อน และลองเปิดใจดูสักนิด เพราะหลายคนอาจไม่รู้ตัวว่า ที่ผ่านมาเราเผลอคิดแทนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา หรือเอาความคิดของเราไปครอบชีวิตของคนอื่น แล้วตีความไปเองจนได้ข้อสรุป 

ในช่วงแรกๆ จึงมีแรงต้านเยอะมาก แต่ความจริง ดาวไม่ได้อยากให้ใครเปลี่ยนตัวตนของตัวเองเลย เพียงแต่อยากเสนอว่า Empathy เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสื่อสาร (Empathetic Communication)

อย่างยุคนี้คือยุคของดิจิทัลและโซเชียลมีเดีย คิดว่าความ Toxic ในโซเชียลมีเดียทำให้เราเห็นความเป็นมนุษย์กันน้อยลงไหม

ในโซเชียลมีเดีย คนไม่ได้ตั้ง mindset ตั้งแต่แรกว่าเรากำลังพูดคุยกับเพื่อนมนุษย์อยู่จริงๆ มันเป็นพื้นที่เสมือนที่เราไม่ได้มองเห็นกันและกันอย่างชัดเจน ทำให้ mentality หรือจิตใจของเราเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบหนึ่ง คนในนั้นกลายเป็นแค่ตัวแทนหรือพื้นที่ตรงกลาง ที่ใครก็สามารถพูดหรือคอมเมนต์อะไรก็ได้ 

โดยไม่ได้ตระหนักว่าคนที่เราพูดด้วยนั้นเป็นมนุษย์จริงๆ รูปที่เห็นบางครั้งก็ไม่ใช่ตัวตนจริง มันคือพื้นที่จำลองที่แต่ละคนเข้ามาใช้งานเพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่พื้นที่สำหรับใช้ชีวิตที่แท้จริง หลายคนเข้ามาแค่เพื่อทิ้งความคิดเห็นไว้สั้นๆ แล้วก็จากไป

แล้วเราจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่ทำให้โลกออนไลน์มี Empathy ได้อย่างไรบ้าง

ดาวชอบคำว่า ‘สร้าง’ นะ เพราะถ้าเรารอให้ Empathy หรือพื้นที่ปลอดภัยเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ก็คงคาดหวังโลกในอุดมคติมากเกินไป เราไม่สามารถคาดหวังให้ทุกคนคิดเหมือนกันได้ 

แต่ถ้ามองในเชิงปฏิบัติ (practical) พื้นที่แต่ละที่ เช่น เพจหรือเว็บบอร์ด มันจะมีเจ้าของหรือผู้ดูแลอยู่แล้ว ถ้าเรากำหนดข้อตกลง (set agreement) ร่วมกันในการใช้พื้นที่ ตั้งกติการ่วมกัน เช่น วิธีการสื่อสารแบบไหนที่เหมาะสม คนที่เข้ามาก็จะเรียนรู้และปรับตัวตามกติกานั้นได้ 

ตรงข้ามกัน ถ้าเราไม่สื่อสารหรือไม่สร้างข้อตกลงอะไรเลย แล้วมานั่งเสียใจหรือบ่นว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ มันก็ไม่มีทางดีขึ้นแน่ๆ เราจึงควรมีส่วนช่วยในการสร้างพื้นที่และข้อตกลงนั้นด้วยตัวเอง

สมมติถ้ามีคนอยากเริ่มเรียนรู้เรื่อง Empathy จะแนะนำให้เริ่มต้นอย่างไร

การฝึก Empathy ต้องเริ่มจากความอยากก่อน ถ้าเราอยากจะเข้าใจผู้อื่น ก็ต้องเริ่มที่ทักษะการรับรู้ก่อน เช่น การสังเกต การมอง การฟัง ซึ่งเป็นทักษะที่ละเอียดอ่อน และต้องค่อยๆ ฝึกฝนให้ละเอียดขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญควบคู่กันไป คือในขณะที่เรารับรู้เรื่องราวของคนอื่นนั้น อย่าเพิ่งรีบด่วนสรุปหรือตัดสินอะไรจากมุมมองของเราเอง 

ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นเพื่อนวิ่งรีบร้อนเข้ามาทำงานสาย 10 นาที แทนที่จะรีบตัดสินว่าเขาไปทำอะไรมาจึงสาย เราต้องพยายามอยู่กับความ ‘ไม่รู้’ นั้นให้ได้ก่อน เพราะความรีบร้อนในการสรุปคำตอบจะทำให้เราเอาความคิดของเราไปตัดสินเขา ทั้งๆ ที่ความจริงเรายังไม่รู้เรื่องของเขาเลย 

เราต้องฝึกที่จะอยู่กับความไม่รู้จริงๆ อย่าเพิ่งเติมคำตอบเอง อย่าเพิ่งตัดสิน เพราะเมื่อไหร่ที่เราตัดสิน เราจะสูญเสีย Empathy ไปทันที

เราควรมี Empathy ถึงระดับไหนถึงจะรู้สึกว่ามันเพียงพอแล้ว

ตอบยากเหมือนกันว่าแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอ แต่ดาวมองว่าจุดที่เราน่าจะกลับมาตั้งคำถามนี้ คือเวลาที่เราเริ่มรู้สึกขุ่นมัวหรือทุกข์จากการไม่เข้าใจใครบางคน เวลาที่เราสงสัยในตัวคนอื่นว่าเขาทำแบบนี้ทำไม หรือทำอะไรแปลกๆ จนเรางงหรือหงุดหงิด นั่นแหละคือสัญญาณที่ดีมากๆ ว่าเรากำลังต้องการ Empathy เพิ่มขึ้น

พอเราเริ่มทุกข์ เราจะมีทางเลือกอยู่สองทาง คือปล่อยตัวเองไปในความคิดลบๆ กับอีกทางหนึ่งคือการสลับเลนส์มองด้วย Empathy ซึ่งถ้าเราเลือกทางนี้ เราจะไม่รีบตัดสิน ไม่รีบสรุป ไม่รีบโกรธ เพราะเราเผื่อใจไว้ว่าเขาอาจมีเหตุผลที่เราไม่รู้ก็ได้ พอคิดแบบนี้ ใจเราจะเริ่มสบายขึ้นทันที 

คุณบอกว่า Empathy ทำให้เราเข้าใจคนอื่น แล้วกับตัวเราเองมันดีอย่างไร

คนที่ได้ประโยชน์ที่สุดจากการฝึก Empathy คือเราเองนี่แหละ ไม่ใช่คนอื่น เพราะเมื่อเรายังไม่รีบสรุปหรือยังไม่ด่วนตัดสินใจ ใจเราก็ยังไม่ทุกข์ ไม่ขุ่นมัวเร็วเกินไป ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่ามีคนเดินมาด่าเรา ถ้าเรารีบสรุปทันทีว่าเขาเกลียดเรา เราก็คงด่ากลับทันที และสุดท้ายเราเองจะทุกข์ 

แต่ถ้าเรามี Empathy สักหน่อย ยังรู้สึกงงๆ ว่า ‘เอ๊ะ ทำไมเขาด่าเรา หรือเขาไปเจออะไรมา หรือเราไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจรึเปล่า’ แค่เรายังมีคำถามแบบนี้อยู่ เราก็จะยังไม่โกรธเลย เพราะใจเรายังไม่รีบตกไปในความทุกข์จากการตัดสินเขาเร็วเกินไป

แล้วความสัมพันธ์ประเภทไหนที่ทำให้เรามี Empathy ยากที่สุด?

ความยากไม่ได้ขึ้นอยู่กับประเภทของความสัมพันธ์ แต่ขึ้นอยู่กับความใกล้ชิดที่เรามีต่อกัน ยิ่งใกล้กันมากเท่าไหร่ เรายิ่งมีข้อมูล มีสถิติเกี่ยวกับเขาเก็บไว้ในหัวมากขึ้นเท่านั้น ทำให้เรามักจะเผลอไปตัดสิน (pre-judge) เขาได้ง่ายๆ จากข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา 

ในขณะที่คนไกลตัว เรากลับ Empathy ได้ง่ายกว่า เพราะเราแทบไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเขาเลย จึงเปิดพื้นที่การรับฟังได้กว้างมาก แต่กับคนที่เราเจอบ่อยๆ มีความคาดหวังสูง เช่น ครอบครัว หัวหน้า หรือลูกน้อง เรามักจะมีคำถามเต็มไปหมดว่า เขาทำได้ดีพอหรือยัง ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี ซึ่งการตัดสินแบบนี้เองทำให้เรามี Empathy กับเขาได้ยาก 

จริงๆ แล้วถ้าเรามี Empathy มากพอ เราจะไม่มีคำถามแบบว่า ‘ทำไมเขาทำงานไม่เสร็จ ทำไมเขาทำแบบนี้’ แต่เราจะมีเพียงคำถามเดียวคือ ‘เกิดอะไรขึ้นกับเขา’ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องเริ่มต้นจาก mindset ก่อนเสมอ อย่ารีบไปที่คำพูดหรือการตัดสิน เพราะถ้าเราไม่ปรับ mindset ให้เข้าใจว่าเรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาจริงๆ เลย เราก็จะพุ่งตรงไปตัดสินหรือด่วนสรุปเร็วเกินไปนั่นเอง

ทำไมมนุษย์เราจึงชอบรีบด่วนสรุปหรือคาดเดาเหตุผลของผู้อื่น

เรามักชอบใช้คำว่า ‘แน่ๆ’ เวลาที่เราพยายามสรุปหรือคาดเดาอะไรบางอย่าง เช่น ‘ปัญหานี้เกิดเพราะแบบนี้แน่ๆ’ ซึ่งจริงๆ แล้ว มันมีจุดเล็กๆ ที่เราไม่สามารถรู้ได้ และจุดที่เราไม่รู้นี่แหละคือจุดสำคัญมากที่ทำให้เกิดการตัดสินใจต่างๆ 

แต่ปัญหาคือ มนุษย์เราเกลียดความไม่รู้ (unknown) มากที่สุด ตามหลักจิตวิทยาแล้ว มนุษย์ไม่สามารถทนอยู่กับความไม่รู้ได้ เพราะมันทำให้เราไม่สบายใจ เราจึงสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่ออธิบายสิ่งที่เราไม่รู้ เช่น ตำนาน เทพนิยายต่างๆ เพราะเราทนอยู่กับภาวะที่ไม่รู้อะไรไม่ได้ 

เช่นเดียวกันกับเวลาเราไม่เข้าใจการกระทำของคนอื่น ถ้าเราอยู่กับความไม่รู้ได้ เราก็จะสามารถรอคำตอบที่แท้จริงได้ แต่ที่เรารีบด่วนสรุปหรือ pre-judge คนอื่นนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย มันแค่ช่วยให้ใจเราสบายขึ้นเท่านั้น 

เพราะพอเราคิดว่าเรา ‘รู้แน่ๆ’ แล้ว ใจเราก็สบายแล้ว ทั้งที่ความจริงอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น การที่เราจะฝึก Empathy ให้เก่ง เราต้องฝึกที่จะอยู่กับความไม่รู้ให้ได้มากขึ้น และอดทนรอคำตอบที่แท้จริง โดยไม่รีบสรุปไปก่อน

คุณให้ความรู้เรื่อง Empathy มาเป็นสิบปี ทำไมจึงเพิ่งเขียนเป็นหนังสือออกมา

สำหรับดาว Empathy มันเหมือนเป็นเครื่องมือที่เราใช้ทำมาหากิน คล้ายกับผลิตภัณฑ์ที่เรานำเสนอออกไป ยิ่งพูดถึงมันก็ยิ่งแปลกใจ เพราะตอนแรกคิดว่าจะพูดไม่นาน พูดแล้วก็จบไป แต่กลับพบว่ามันสามารถพูดได้กว้างและมีมิติอย่างไม่น่าเชื่อ 

Empathy มันคือฐานสำคัญในการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ เป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนต้องการ และมันสามารถขยายต่อไปได้ไม่รู้จบ กลายเป็นเจตจำนงของดาวที่อยากให้มันซึมซับกว้างขึ้นไปเรื่อยๆ 

หนังสือที่ดาวเขียนเลยกลายเป็นจุดขยายความรู้ชุดนี้ เพราะจริงๆ Empathy ไม่ใช่ของเรา แต่เป็นสิ่งที่เราอยากชวนคนอื่นมาเห็นคุณค่าของมัน ว่าถ้าเรามีสิ่งนี้ จะช่วยให้ความสัมพันธ์แข็งแรงขึ้น คุณภาพชีวิตดีขึ้น และช่วยผลักดันสิ่งที่ทุกคนอยากได้ เช่น ครอบครัวที่อบอุ่น หรือองค์กรที่มีทีมแข็งแรง 

มีความคาดหวังอะไรกับหนังสือที่ชื่อว่า ‘ON EMPATHY’ ไหม

ถ้าคนอ่านเปิดมาแล้วเจอ Empathy อย่างน้อยเขาจะเห็นได้ว่า สิ่งนี้สามารถนำไปใช้ให้ชีวิตเขาดีขึ้นได้จริง โดยไม่เพิ่มความทุกข์ให้กับตัวเอง และในเล่มดาวก็ยังใส่ประเด็นเรื่อง Self-Empathy เข้าไปด้วย 

เพราะในยุคที่ทรัพยากรมีจำกัดอย่างทุกวันนี้ Empathy คือทรัพยากรที่เราไม่ต้องแย่งชิงกับใคร เราสามารถสร้างมันขึ้นมาเองได้ เพื่อให้ใจเราดีขึ้น ชีวิตเราดีขึ้น และความสัมพันธ์ของเรา healthy ขึ้น ซึ่งดาวก็อยากให้มันทำหน้าที่แบบนั้นจริงๆ

สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนที่สนใจเรื่อง Empathy

Empathy มันอาจไม่ได้เป็นเรื่องที่ใหญ่โตหรือสำคัญที่สุดในชีวิตของทุกคน แต่มันอาจเป็นเหมือนน็อตตัวเล็กๆ ที่เข้าไปช่วยขันข้อต่อหรือโครงสร้างบางส่วนของชีวิตเราให้แข็งแรงขึ้นได้ ดาวไม่ได้เขียนหรือพูดเรื่องนี้เพื่อให้ใครเชื่อ 

แต่ดาวแค่ชวนคิดว่า ‘มันมีประโยชน์ไหม?’ ถ้ามีประโยชน์ เราก็น่าจะลองเอามาเสริมบางส่วนในชีวิตดู Empathy เป็นทักษะที่ละเอียดอ่อนมาก ละเอียดจนบางทีแค่หายใจแรงๆ เราก็มองข้ามมันไปแล้ว แต่มันกลับเป็นสิ่งสำคัญมากที่กำหนดความเป็นมนุษย์ของเรา และจริงๆ แล้วคนรอบตัวเรา คนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา เขาอาจจะกำลังต้องการ Empathy จากเราอยู่ก็ได้