3 Min

‘เพราะตรงข้ามกับแสงก็คือเงา’ เปิดเรื่องราวของภาพระดับมาสเตอร์พีซ ที่อยู่ตรงข้าม ‘โมนาลิซา’ ที่ใครๆ ก็พูดว่า เป็นภาพที่ถูกมองข้ามมากที่สุดในโลก

3 Min
270 Views
09 Apr 2024

หากจะกล่าวถึงรูปภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกแล้ว คงจะหนีไม่พ้น ‘โมนาลิซา’ (Mona Lisa) ภาพวาดสตรีปริศนาของลีโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo Da Vinci) ที่จัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ของประเทศฝรั่งเศส โดยเธอนั้นทำหน้าที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้กว่า 9 ล้านคนในแต่ละปี เราจึงเห็นภาพว่าแต่ละวันนักท่องเที่ยวจำนวนมากจะเบียดเสียดไปยังห้องที่เรียกว่า ‘ซาล เดอ เอตาส์’ (Salle de États) ซึ่งเป็นห้องจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดของพิพิธภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อชมความงดงามและรอยยิ้มลึกลับของเธอที่น่าหลงใหล จนทำให้ผู้คนลืมไปว่า นอกจากเธอแล้ว ภายในห้อง ‘ซาล เด เอตาส์’ แห่งนี้ ยังมีภาพวาดอีกมากมายที่พวกเขาอาจมองข้าม

ว่ากันว่า หนึ่งในภาพที่ถูกมองข้ามมากที่สุด คือภาพ ‘ฉลองงานแต่งงานในคานา’ หรือ The Wedding Feast at Cana ซึ่งถือเป็นภาพวาดที่มีขนาดใหญ่สุดของพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ด้วยขนาดถึง 6.77 × 9.94 เมตร โดยภาพนี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโมนาลิซา แบบหันหน้าเข้าหากันพอดี ทำให้ตำแหน่งนี้กลายเป็นจุดที่ผู้คนอาจมองข้ามได้ง่าย เพราะผู้คนส่วนใหญ่จะหันหลังให้กับมันเพื่อทอดสายตาไปยังโมนาลิซาที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแทน กระนั้นก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงได้ว่า 

ภาพนี้ เป็น ‘มาสเตอร์พีซ’ ชิ้นหนึ่งของยุคเรอเนซองส์ตอนปลาย เนื่องจากถูกวาดขึ้นโดย เปาโล เวโรเนเซ (Paolo Veronese) 1 ใน 3 จิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคฟื้นฟูศิลปะตอนปลายในปี 1562 โดยศิลปินผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องการวาดภาพขนาดใหญ่ดีเทลเยอะ และรายละเอียดแน่นเรื่องราวหนัก ซึ่งภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาก็คือภาพการฉลองงานแต่งงานที่คานานี้เอง ทำให้ภาพนี้เป็นภาพที่ควรค่าแก่การหยุดมองมากที่สุดภาพหนึ่งของโลก โดยภาพดังกล่าวได้หยิบยกเอาเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูถูกเชิญไปงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานา แคว้นกาลิลี มาบอกเล่า ซึ่งงานแต่งนี้มีความพิเศษอยู่ที่ พระเยซูได้ทำอัศจรรย์เปลี่ยนน้ำให้เป็นเหล้าองุ่นที่สามารถเลี้ยงคนทั้งงานให้อิ่มหนำสำราญได้  

และแน่นอนว่า ศิลปินผู้รังสรรค์ภาพก็ได้บรรยายฉากงานแต่งนี้แบบจัดหนักจัดเต็ม ด้วยการยกเอางานเลี้ยงอันโอ่อ่าของสังคมเวนิสในช่วงศตวรรษที่ 16 มาเป็นพื้นหลังในการเล่า ผ่านการรังสรรค์ฮอลล์อันหรูหราที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน อาหาร และดนตรีชั้นเลิศมากมายมาไว้ในภาพ ก่อนจะเพิ่มกิมมิกเล็กๆ น้อย อย่าง การยกเอาบุคคลตัวท็อปในประวัติศาสตร์มาซ่อนไว้ในกลุ่มคนที่มาร่วมงาน ไม่ว่าจะเป็น ‘เอเลนอร์แห่งออสเตรีย’ ‘ฟรังซิสที่ 1 แห่งฝรั่งเศส’ หรือแม้แต่ ‘แมรีที่ 1 แห่ง อังกฤษ’ นี่จึงทำให้ภาพนี้ ถูกยกย่องในแง่ของการใส่รายละเอียดที่เข้มข้นในทุกแง่มุมตั้งแต่พื้นจรดเพดาน รวมไปถึงสามารถแสดงสีหน้าอารมณ์ เครื่องแต่งกายของผู้คนแบบประณีตขั้นสุด จนทำให้ภาพนี้ถูกนำมาจัดแสดงใน ‘ซาล เด เอตาส์’ ร่วมกับโมนาลิซา (Mona Lisa) เลยทีเดียว

แต่แม้จะใหญ่โตสวยงามแค่ไหน ภาพนี้ก็ไม่อาจปิดบังบาดแผลใหญ่ของชาวเวนิสที่อยู่เบื้องหลังไปได้ เนื่องจากมันเป็นประจักษ์พยานของการที่เวนิสเคยถูกกองทัพนโปเลียนรุกรานและฉกเอาสิ่งต่างๆ ไป อย่างภาพนี้ที่เดิมทีถูกแขวนไว้ในโรงอาหารของโบสถ์ซาน จอร์โจ มัจโจเร (San Giorgio Maggiore) บริเวณทางเข้าของแกรนด์คาแนลในเมืองเวนิสนานถึง 235 ปี ก็ถูกนโปเลียนตัดออกเป็นชิ้นๆ เพื่อนำไปประกอบกลับเข้าใหม่ในมหานครปารีส ในปี 1797 หลังจากที่เขาพิชิตเวนิสได้สำเร็จ

โดยมันถูกนำมาประดับไว้ที่พระราชวังลูฟวร์ (ที่ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงานแต่งงานระหว่าง ‘นโปเลียน’ กับ ‘มารีย์-หลุยส์ แห่งออสเตรีย’ ที่ในขณะนั้นนโปเลียนได้จัดเตรียมให้พระราชวังแห่งนี้ เป็นสถานที่รองรับแขกประมาณ 6,000 คน โดยมีบันทึกว่า ในการเตรียมสถานที่นี้ คนงานต้องเร่งรีบอย่างมากที่แขวนรูปภาพต่างๆ ขึ้นบนผนัง และจัดเรียงเฟอร์นิเจอร์ให้เข้าที่เข้าทางให้ทันวันงาน ซึ่งระหว่างนั้นเองนโปเลียนก็พบว่า ภาพการฉลองแต่งงานที่คานานี้ใหญ่เทอะทะเกินไปจึงสั่งให้เผาทิ้ง แต่นายทหารที่รับคำสั่งนโปเลียนกลับไม่ยอมทำตาม ทำให้ภาพสามารถอยู่รอดมาได้จนถึงปัจจุบัน

หลังจากเหตุการณ์นี้เป็นต้นมา ก็มีความพยายามจากชาวเวนิสที่เรียกร้องให้ฝรั่งเศสคืนภาพอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ทางฝรั่งเศสก็อ้างว่า การส่งคืนเป็นไปได้ยากเพราะมันใหญ่เกินไป จึงขอเก็บไว้ดูแลเองดีกว่า ซึ่งก็ดูเหมือนว่าการขอเก็บไว้ดูแลเองนี้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่หนัก เนื่องจากต่อมาในปี 1870-1871 ฝรั่งเศสต้องหอบภาพนี้ออกจากกรุงปารีสไปยังเมืองเบรสต์เพื่อหนีภัยสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ก่อนจะเดินทางไปยังส่วนต่างๆ ของประเทศอีกครั้ง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อหลบสายตาจากนาซี ทว่าในการเดินทางครั้งนี้เอง ภาพก็เกิดชำรุดจากการเก็บรักษาที่ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ทำให้ผ้าใบบางส่วนขาดวิ่น ทำเอาชาวเวนิสที่รู้เรื่องเข้าใจหายกันไปตามๆกัน

ทำให้ในช่วงปลายฤดูร้อนของปี 2007 ทางเวนิสได้มาคัดลอกรูปนี้แบบ 1 ต่อ 1 ก่อนจะนำเอากลับไปตั้งไว้ในโบสถ์ที่มันเคยจากมา ทว่าของเลียนแบบนี้ก็ไม่อาจทดแทนของแท้ได้ และรอยบาดแผลที่นโปเลียนสร้างไว้ให้กับชาวเวนิสได้เมื่อ 200 กว่าปีก็ไม่อาจลบเลือน ทำให้ทุกวันนี้ชาวเวนิสบางส่วน ยังคงเศร้าใจที่รู้ว่าภาพขิ้นเอกของเมือง กลายเป็นภาพเบอร์ 2 ในห้องจัดแสดงที่นักท่องเที่ยวกว่า 9 ล้านคนเดินผ่านไปผ่านมา

อ้างอิง