3 Min

โอลิมปิกยอมรับ “หญิงข้ามเพศ” คนแรกในการลงแข่งในรายการของผู้หญิง…ว่าแต่เรื่องนี้ “แฟร์” กับ “หญิงแท้” แค่ไหน?

3 Min
1358 Views
24 Jun 2021

ในยุคของการยอมรับความหลากหลาย ก็เป็นปกติที่จะเป็นเรื่องต้องห้ามที่เราจะตั้งคำถามว่าผู้หญิงข้ามเพศนั้นควรจะได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้หญิงจริงๆ หรือไม่

เพราะในทางหลักการ หากไม่ปฏิบัติกับเธอเช่นนั้น ก็ล้วนเป็นการกระทำและทัศนคติที่เข้าข่ายรังเกียจคนข้ามเพศ” (transphobia) ทั้งหมด

อย่างไรก็ดี นี่เป็นเรื่องในทางสังคมและวัฒนธรรม เพราะในมิติอื่นๆ คำถามก็ยังมีอยู่มากมายว่างานหรือบทบาทหน้าที่ที่มีการแบ่งแยกเพศชัดๆ มาช้านาน การที่ผู้ชายโดยกำเนิดไปเล่นบทบาทของผู้หญิงจะเหมาะสมแล้วจริงเหรอ?

ซึ่งคำถามนี้เป็นประเด็นแน่ๆ ถ้าความสามารถทางกายภาพในการทำสิ่งบางอย่างของผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างกันอย่างมีนัยยะสำคัญ และพื้นที่ที่มีการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนที่สุดก็คือกีฬา

คำถามง่ายๆ และตรงๆ เลยในประเด็นนี้ก็คือ ผู้หญิงข้ามเพศที่มีโครงสร้างร่างกายเหมือนผู้ชายไปลงแข่งกีฬากับผู้หญิงนั้น เธอจะไม่ได้เปรียบเหล่าหญิงแท้เกินไปเหรอ

นี่เป็นปัญหาโลกแตกเพราะในทางสังคมวัฒนธรรมและการเมือง ไม่มีอะไรที่จะบอกว่าหญิงข้ามเพศจะลงแข่งกีฬากับผู้หญิงไม่ได้ แต่ในโลกของกีฬาที่แข่งกันด้วยความสามารถทางร่างกายเป็นหลัก มันมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ยืนยันด้วยซ้ำว่า ขนาดผู้หญิงข้ามเพศที่เทคฮอร์โมนตลอดจนฮอร์โมนเหมือนผู้หญิง แต่ในอดีตผ่านช่วงวัยรุ่นมาในฐานะผู้ชาย ก็จะมีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าและทำให้ได้เปรียบผู้หญิงโดยกำเนิด

พูดอีกแบบ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้สนับสนุนความเชื่อทางการเมืองเลยว่า การเอาผู้หญิงข้ามเพศไปแข่งกับผู้หญิงนั้นเป็นสิ่งที่ยุติธรรมกับเหล่าหญิงแท้

ในโลกของกีฬาเอง จริงๆ ปัญหานี้มีมานาน เพราะในอดีต มีการพยายามลักไก่เอาผู้ชายมาแข่งในรายการของผู้หญิง เลยมีกระบวนการพิสูจน์เพศหรือนักกีฬาหญิงต้องเปิดอวัยวะเพศให้กรรมการตรวจสอบมานานแล้วว่าเป็นผู้หญิงจริงๆ

แน่นอน กระบวนการแบบนี้ป่าเถื่อนและดูเหยียดหยามความเป็นมนุษย์มากในมาตรฐานปัจจุบัน และสุดท้ายในโลกกีฬาก็เลยตัดสินว่า การระบุเพศในทางกีฬานั้นจะใช้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนหรือฮอร์โมนเพศชายในเลือดเป็นตัวตัดสิน

พูดง่ายๆ ด้วยเกณฑ์แบบนี้ คือก็ไม่สนอีกแล้วว่าคุณจะเกิดมาเป็นหญิงหรือชาย ถ้าคุณฮอร์โมนตัวนี้ต่ำกว่าเกณฑ์ คุณคือผู้หญิง (ส่วนเกณฑ์ฮอร์โมนจะแบบไหนเท่าไร แล้วแต่ประเภทกีฬา)

แน่นอน มาตรฐานแบบนี้เกิดขึ้นในยุคหลังๆ ที่มีการเรียกร้องให้นักกีฬาข้ามเพศลงแข่งในรายการของผู้หญิงมากขึ้น และพอมาตรฐานออกมา เอาจริงๆ ก็ไม่แฟร์กับหญิงโดยกำเนิดบางคนด้วย เพราะนักกีฬาหญิงเก่งๆ จำนวนไม่น้อย มีฮอร์โมนเพศชายสูง และพอกฎนี้ออก มันก็ทำให้นักวิ่งหญิงระดับแชมป์โอลิมปิกจากแอฟริกาใต้อย่างแคสเตอร์ เซเมนยา ไม่สามารถลงแข่งโอลิมปิกได้ เว้นแต่เธอจะเทคฮอร์โมนเพื่อกดฮอร์โมนเพศชายของเธอ

ซึ่งเธอก็ไม่ยอมเทค และตอนนี้เธอกำลังอุทธรณ์กับศาลสิทธิมนุษยชนอยู่ เพราะกฎที่ว่าไม่แฟร์กับหญิงแท้ที่พิสูจน์เพศตัวเองมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างเธอเลย

คำถามคือเธอผิดอะไรทั้งๆ ที่เกิดมามีอวัยวะเพศหญิง แต่กลับลงแข่งรายการกีฬาผู้หญิงไม่ได้ เพราะฮอร์โมนเพศชายเธอดันสูงไป

อย่างไรก็ดี โอลิมปิกที่โตเกียวในปี 2021 นี้ (ที่จะจัดทั้งๆ ที่โควิดยังระบาด) กฎเกณฑ์ที่ตัดสิทธิหญิงแท้อย่างแคสเตอร์จากการแข่งขันโอลิมปิก กลับเป็นกฎเกณฑ์ที่ให้สิทธิ์ ลอเรล ฮับบาร์ด นักยกน้ำหนักหญิงข้ามเพศจากนิวซีแลนด์ ให้เป็นผู้หญิงข้ามเพศคนแรก ที่จะได้ลงแข่งโอลิมปิกในรายการของผู้หญิง

แน่นอน ข่าวนี้ก็ออกมาในช่วง Pride Month ในเดือนมิถุนายนพอดี และชาว LGBT ก็น่าจะเฮกันใหญ่ แต่การตัดสินใจนี้ ก็สร้างข้อถกเถียงในวงกว้างอีกว่า มันแฟร์หรือไม่กับนักกีฬายกน้ำหนักหญิงคนอื่นๆ ที่แข่งกับฮับบาร์ด เพราะกีฬายกน้ำหนักมีหลักฐานแน่ๆ ว่าถ้าตอนเป็นวัยรุ่นโตมาแบบผู้ชาย ไม่ได้กินยากดฮอร์โมน ก็จะทำให้สรีระที่พัฒนามาตอนนั้นได้เปรียบคนที่โตแบบผู้หญิงมหาศาลแล้ว และความได้เปรียบนี้ก็ยังจะอยู่มายาวๆ ถึงแม้ว่าปัจจุบันจะแปลงเพศแล้วและกินยาเพื่อปรับฮอร์โมนให้เหมือนผู้หญิง

ซึ่งในกรณีของลอเรล ฮับบาร์ด เธอยกน้ำหนักมาแต่เด็ก เป็นคนเก่ง แต่ก็ไม่ได้แชมป์อะไรใหญ่โต แต่หลังจากแปลงเพศตอนอายุ 35 ปี และได้เริ่มแข่งรายการของผู้หญิง ก็เรียกได้ว่า เธอกวาดเหรียญทองเป็นว่าเล่น และทุกครั้งที่เธอชนะ ก็จะมีคำวิจารณ์เรื่องข้อได้เปรียบทางกายภาพที่ไม่เป็นธรรมของเธอตลอด โดยเฉพาะจากบรรดาผู้แข่งที่เป็นหญิงแท้ของเธอ

ทั้งนี้ กรณีของการให้สิทธิ์นักกีฬาข้ามเพศนั้นแม้ว่าทางโอลิมปิกจะยอมรับแล้วดังที่เล่ามา แต่ในหลายประเทศก็ยังไม่ยอมรับ เช่น ในอเมริกา รัฐอย่างอลาบามา อาร์คันซอส์ มิสซิสซิปปี มอนตานา เทนเนสซี เวสต์เวอร์จิเนีย และฟลอริดา ออกกฎหมายเลยว่าห้ามนักกีฬาข้ามเพศลงแข่งในกีฬาของผู้หญิง

และที่น่าสนใจคืออดีตคนที่เคยแข่งโอลิมปิกได้เหรียญทองแล้วมาแปลงเพศทีหลังอย่าง เคทลิน เจนเนอร์ ก็ยังออกมาบอกเลยว่าให้ผู้หญิงข้ามเพศไปลงแข่งรายการของผู้หญิงมันไม่แฟร์กับผู้หญิงแท้ๆเลย

อ้างอิง