5 ปีที่ไม่มี ‘หมุดคณะราษฎร’ บันทึกประวัติศาสตร์ที่สูญหาย กลายเป็น ‘หมุดไม่มีเจ้าของ’
ไม่ว่าใครจะ ‘ชอบ’ หรือ ‘ชัง’ คณะราษฎร ซึ่งเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลง ‘สยาม’ เมื่อ 24 มิถุนายน 2475 อย่างไร ถึงที่สุดแล้วคนไทยก็ยังต้องอยู่กับผลพวงความเปลี่ยนแปลงที่พลิกจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กลายเป็น ‘ประชาธิปไตยแบบไทยๆ’ ที่มีผลสืบเนื่องมาถึงสังคมในยุคปัจจุบัน
วันที่ 24 มิถุนายนปีนี้ ก็ครบรอบ 90 ปีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี
ถ้าเป็นประเทศอื่น มรดกของคณะราษฎรต่างๆ คงจะถูกอนุรักษ์ไว้ในฐานะโบราณวัตถุหรือหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ แต่กรณีของประเทศไทย มีคดีปริศนาที่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่คลี่คลาย คือ การหายไปของ ‘หมุดคณะราษฎร’ ที่มีชื่อเต็มๆ ว่า ‘หมุดก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งสาบสูญไปราวเดือนเมษายนในปี 2560 เป็นต้นมา
ถึงอย่างนั้นก็ตาม กรมศิลปากรที่รับผิดชอบด้านการดูแลโบราณสถาน–โบราณวัตถุก็ไม่ได้เข้าแจ้งความเพื่อตามหาแต่อย่างใด โดยมีสื่อไทยรายงานคำให้สัมภาษณ์ของกรมศิลปากรว่า ที่เกิดเหตุเป็นเขตรับผิดชอบของกรุงเทพมหานคร จึงต้องเป็นหน้าที่ของ กทม. ส่วนนายตำรวจระดับสูงบอกว่านั่นเป็น ‘หมุดไม่มีเจ้าของ’ จึงไม่นับว่ามี ‘เจ้าทุกข์’
การหายไปของหมุดคณะราษฎรจึงมีคำถามตามมาว่า หมุดนี้มีความสำคัญอย่างไร?
ในความเห็นของ ยูจีน มาร์ค (Eugene Mark) นักวิเคราะห์อาวุโสด้านวิเทศศึกษา วิทยาลัยนานาชาติศึกษา เอส. ราชารัตนัม (S. Rajaratnam School of International Studies: RSIS) สิงคโปร์ ที่เผยแพร่บทความเกี่ยวกับ ‘หมุดที่หายไป’ ในเว็บไซต์ The Diplomat มองว่า การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 คือเหตุการณ์ที่เป็นหมุดหมายสำคัญของประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้ มาร์คจึงมองว่าการที่หมุดคณะราษฎรถูกทำให้หายสาบสูญไปเปรียบได้กับความพยายามที่จะ ‘กลบฝังความทรงจำ’ และ ‘ลดทอนความสำคัญ’ ของการเปลี่ยนแปลงที่มีความหมายอย่างมากในทางประวัติศาสตร์ของไทย
หมุดคณะราษฎรนี้ถูกหล่อขึ้นจากทองเหลือง และมีข้อความจารึกว่า “ณ ที่นี้ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ”
แต่วันที่จัดพิธีฝังหมุดนี้จริงๆ ตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม 2479 ซึ่งถูกยกให้เป็นวันรัฐธรรมนูญ ส่วนพิกัดที่ฝังหมุดดังกล่าวเอาไว้คือพื้นถนน ณบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า เขตดุสิต ซึ่งเคยเป็นสถานที่จัดงานฉลองรัฐธรรมนูญอยู่ช่วงหนึ่งในอดีต
เมื่อเกิดรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในปี 2549 และ 2557 หมุดคณะราษฎรกลายเป็นจุดที่มีการชุมนุมแสดงออกทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลทหารอยู่หลายครั้ง แต่ก็หยุดไประหว่างที่มีการบูรณะซ่อมแซมบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า ช่วงต้นปี 2560 ซึ่งเมื่อเปิดให้ใช้เป็นพื้นที่สาธารณะอีกครั้ง ก็ปรากฏว่าหมุดคณะราษฎรได้หายไปเสียแล้ว
ท่าทีของผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในประเด็นที่เกี่ยวข้องก็แตกต่างกันไป
ครั้งนั้น โพสต์ทูเดย์ รายงานอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ซึ่งดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ในขณะนั้น กล่าวว่า หมุดที่หายไปไม่นับเป็น ‘คดีลักทรัพย์’ เพราะได้สอบถามไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ ทั้งสำนักงานเขตดุสิต และกรมศิลปากร ได้รับการยืนยันว่า ‘ไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าของ’ จึงไม่ใช่ทรัพย์สมบัติของแผ่นดิน ไม่ใช่โบราณวัตถุ
รอง ผบ.ตร. (ขณะนั้น) ยังเตือนด้วยว่า ถ้าจะแจ้งความโดยอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์และผู้เสียหายจากการที่หมุดหาย ไม่ว่าจะกรณีอ้างเป็นทายาทหรือเป็นเจ้าของ “ต้องมีหลักฐานกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้น” เช่น ถ้าอ้างว่าเป็นเจ้าของ ก็ต้องระบุว่าเป็นทายาทของใคร ถ้าได้รับตกทอดมาก็ต้องมีหลักฐานว่าได้รับทรัพย์สินนั้นไว้เป็นมรดกได้อย่างไร หากไม่มีหลักฐานจะอ้างว่าเป็นมรดกหรือเป็นเจ้าของทรัพย์ไม่ได้
นอกจากนี้ ผู้ทวงถามและตามหาหมุดคณะราษฎรก็ยังต้องเจอชะตากรรมที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะถามถึงหมุดในฐานะที่เป็น ‘โบราณวัตถุและหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ’ หรือถามถึงในฐานะที่หมุดเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่สะท้อนเจตจำนงบางช่วงตอนของคำประกาศคณะราษฎรฉบับที่ 1 ซึ่งมีข้อความว่า “ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง”
เว็บไซต์ iLaw ผู้จัดทำศูนย์ข้อมูลกฎหมายและคดีเสรีภาพ (Freedom of Expression Documentation Center) รายงานว่า มีผู้จัดกิจกรรมเรียกร้องให้ตามหาหมุดที่หายไป ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวไป ‘ปรับทัศนคติ’ ในปี 2560
เช่นเดียวกับที่ MGR Online รายงานว่า ตำรวจจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ร้องทุกข์กล่าวโทษ วัฒนา เมืองสุข อดีตแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คว่า หมุดคณะราษฎรเป็นโบราณวัตถุ จึงเข้าข่าย ‘ยุยงปลุกปั่น’ และนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เพราะรอง ผบ.ตร. ยืนยันว่า หมุดคณะราษฎรไม่ใช่โบราณวัตถุ
อันที่จริงการทำให้หมุดคณะราษฎรซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ‘สูญหายไป’ เป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะการทำลายสัญลักษณ์ที่สะท้อนอุดมการณ์ความเชื่อที่แตกต่างของกลุ่มคนบางกลุ่ม คือสิ่งที่เกิดขึ้นในการประท้วงอีกหลายแห่งทั่วโลกเช่นกัน
ยกตัวอย่างกรณีผู้ประท้วงการเหยียดผิวและเลือกปฏิบัติในสหรัฐอเมริกา เช่น กลุ่ม Black Lives Matter ทำลายรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์ของอดีตผู้ปกครองในยุคอาณานิคม ในฐานะที่เป็นต้นตอการค้าทาสและการเหยียดผิว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การตายของ ‘จอร์จ ฟลอยด์’ ชายชาวแอฟริกัน–อเมริกันที่เสียชีวิตขณะถูกตำรวจคุมตัวเมื่อปี 2020
รูปปั้นอดีตกษัตริย์เบลเยียม อนุสาวรีย์นักการทูตและพ่อค้าวาณิชในยุคล่าอาณานิคมอังกฤษ เรื่อยไปจนถึงเจ้าเมืองที่เป็นผู้นำเข้าทาสในสหรัฐอเมริกา ถูกโจมตีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการพ่นสีสเปรย์เป็นคำด่าหยาบคาย บั่นหัวรูปปั้น หรือแม้แต่โค่นรูปปั้นให้ล้มและลากไปทิ้งแม่น้ำ
นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์หลายคนให้สัมภาษณ์ในสื่อตะวันตกว่า พฤติกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ ‘เข้าใจได้’ เพราะคนที่เป็นต้นทางของรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์เหล่านี้เคยถูกยกย่องในอดีต แต่อาจไม่มีคุณสมบัติที่ควรยกย่องในมาตรฐานปัจจุบันอีกต่อไป แต่นักวิชาการเสนอให้หาที่ทาง ‘จัดเก็บ’ หลักฐานบ่งชี้สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตเหล่านี้ แทนที่จะทำลายทิ้งเพียงอย่างเดียว เพราะการทำลายนอกจากจะเป็นการตัดตอนความทรงจำแล้ว ยังปิดโอกาสคนรุ่นหลังไม่ให้ได้ศึกษาบทเรียนในอดีตอีกด้วย
อย่างไรก็ดี การทำลายรูปปั้นหรืออนุสาวรีย์ที่สะท้อนการกดขี่ทาสในอดีตของกลุ่ม Black Lives Matter และกลุ่มต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติ อาจจะต่างกับการทำให้หมุดคณะราษฎรหายไป เพราะกลุ่มแรกนั้นดำเนินการอย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมา และผู้ทำลายโบราณวัตถุเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลี่ยงที่จะถูกจับกุมหรือดำเนินคดี ทั้งในข้อหาก่อกวนความสงบหรือทำลายสมบัติสาธารณะ และนับเป็นกฎหมายที่บังคับใช้กันทั่วไป ทั้งยังเปิดโอกาสให้คนในสังคมถกเถียงกันด้วยว่า จะชำระประวัติศาสตร์อย่างไรไม่ให้เป็นการยกย่องผู้ที่เคยพัวพันกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต
เมื่อหันกลับมามองหมุดคณะราษฎรที่หายไปเงียบๆ ทั้งที่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง แต่กลับไม่ถูกนับเป็นโบราณวัตถุ และผู้ที่ทำให้ ‘หมุดหายไป’ ก็ไม่มีใครออกมายืดอกรับหรือเปิดเผยตัวตน เหมือนอย่างที่ผู้ชุมนุมต่อต้านการค้าทาสในฝั่งตะวันตกยุคปัจจุบันประกาศตัวชัดเจน เช่นเดียวกับผู้ที่มีอำนาจในการติดตามทวงถามข้อเท็จจริงก็ดูจะปล่อยเกียร์ว่าง ไม่คิดจะตามหาว่าใครเป็นคนเอาหมุดไปกันแน่
ปริศนาเรื่องหมุดหายจึงยังไม่น่าจะคลี่คลายได้ในอนาคตอันใกล้นี้
อ้างอิง
- Thai PBS. เปิดที่มา “หมุดคณะราษฎร“. https://bit.ly/3QFrMjS
- The Diplomat. Thailand’s Missing Plaque: The Final Failure of the 1932 Revolution. https://bit.ly/3ntjgr3
- Post Today. “ศรีวราห์” ชี้หมุดคณะราษฎรไม่มีเจ้าของ–ไม่ใช่โบราณวัตถุ. https://bit.ly/3ycchss
- iLaw. ยิ่งลบยิ่งจำ – ทบทวนการอุ้มหายสัญลักษณ์คณะราษฎร การคุกคามคนติดตามของหาย และการคืนชีวิตให้คณะราษฎร. https://bit.ly/3bmfzAx
- BBC. Black Lives Matter protests: Why are statues so powerful? https://bbc.in/3HKJHBw