4 Min

ประมวลสถานการณ์-ผลกระทบ ของประชาชนในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย หลังผ่านสถานการณ์ปะทะไทย-กัมพูชา ใน 8 ชั่วโมงแรก

4 Min
13 Views
24 Jul 2025

สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเข้าสู่ภาวะตึงเครียดหนักภายหลังจากมีรายงานถึงสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น จากการเปิดฉากยิงเข้ามาของฝั่งกองทัพกัมพูชาตามรายงานของกองทัพไทย ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์เมื่อเวลาประมาณ 08.20 น. ช่วงเช้าของวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 และเริ่มขยายเข้ามายังพื้นที่ใกล้ชายแดนอื่นๆ ในจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดบุรีรัมย์

ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต้องเข้าไปหลบในหลุมหลบภัยและอพยพออกจากพื้นที่ แต่บางส่วนยังคงค้างอยู่ในพื้นที่ มีหลายพื้นที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงประชาชนบางส่วนได้รับบาดเจ็บและมีรายงานถึงผู้เสียชีวิต เราจึงขอประมวลสถานการณ์ในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงแรก โดยเฉพาะในกรณีผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชนในพื้นที่จากการยกระดับสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น

[อพยพประชาชนในพื้นที่ชายแดนสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี]

ตามรายงานของสื่อรัฐบาลไทย ระบุว่า อรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี มีบัญชาให้กระทรวงมหาดไทยสั่งการผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอในพื้นที่จังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชาปฏิบัติตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง

“ในขณะนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และจังหวัดอุบลราชธานี ได้ดำเนินการอพยพประชาชนที่พักอาศัยตามแนวชายแดนไปยังพื้นที่ปลอดภัยตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังแล้ว”

และได้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายอำเภอ พื้นที่จังหวัดสระแก้ว จันทบุรี ตราด ซึ่งเป็นจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ได้เตรียมความพร้อมอพยพประชาชนตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง

ทำให้มีการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ชายแดนของหลายพื้นที่ตั้งแต่ในช่วงเช้าและช่วงสาย เช่น เมื่อเวลาประมาณ 11.10 น. มีรายงานจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดสุรินทร์ว่าประชาชนในอำเภอพนมดงรักได้อพยพแล้วประมาณ 20,000 คน หรือร้อยละ 90 ส่งผลให้มีรายงานในอีก 1 ชั่วโมงถัดมาถึงการจราจรหนาแน่นบนถนนสายหลักหมายเลข 24 และหมายเลข 214 โดยขอให้ใช้ความระมัดระวังบนเส้นทางดังกล่าว

หลังจากที่ในช่วงเวลาประมาณ 08.50 น. ชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กแจ้งเตือนประชาชนในเขตอำเภอพนมดงรักให้หลบอยู่ในหลุมหลบภัยใกล้บ้าน และให้เตรียมอพยพไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราวเป้าหมายตามแผน

ในช่วงเวลา 12.20 น. มีรายงานจากสำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดศรีสะเกษ โดยอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ระบุว่าทางจังหวัดศรีสะเกษได้อพยพประชาชนตามแผนปฏิบัติการพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังตั้งแต่ในช่วงเช้าหลังเกิดเหตุที่จังหวัดสุรินทร์ แต่เหตุที่เกิดขึ้นกลับเกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ส่วนใน ซึ่งอยู่นอกแผนดังกล่าว ทำให้มีผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตหลายราย 

อีกทั้งในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ยังมีรายงานว่ามีการอพยพประชาชนตั้งแต่เวลา 09.30 น. ในพื้นที่กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ตำบลสายตะกู ตำบลจันทบเพชร ตำบลปราสาท ตำบลบ้านกรวด อำเภอบ้านกรวด โดยประชาชนกลุ่มแรกเดินทางมาถึงศูนย์อพยพในเวลาประมาณ 11.00 น.

ส่วนจังหวัดอุบลราชธานี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้มีคำสั่งให้เร่งอพยพประชาชนตามแนวชายแดนในพื้นที่อำเภอน้ำยืน 3 ตำบล ได้แก่ ตำบลโซง ตำบลสีวิเชียร และตำบลโดมประดิษฐ์ และในพื้นที่อำเภอน้ำขุ่น 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลโคกสะอาด ตำบลโนนยาง ตำบลโนนทับทิม และตำบลโนนแสงเพชร เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น.

[บ้านเรือน-ปั๊มน้ำมัน-โรงพยาบาลเสียหาย]

จากรายงานข่าวพบว่ามีสถานที่หลายแห่งในหลายพื้นที่ของฝั่งไทยได้รับความเสียหาย ซึ่งหลายแห่งพบว่าเป็นสถานที่ที่ประชาชนพลเรือนที่พำนักอาศัยและดำเนินชีวิต ไม่ใช่พื้นที่ทางทหาร  

เช่นเมื่อเวลาประมาณ 09.40 น. มีรายงานถึงการใช้อาวุธจรวด BM-21 เข้ามาสร้างความเสียหายในพื้นที่ชุมชนภายในศูนย์พัฒนาพื้นที่ชายแดน อำเภอกาบเชิง จังหวัดสุรินทร์ ทำให้บ้านเรือนบริเวณดังกล่าวได้รับความเสียหาย รวมถึงพบผู้เสียชีวิตจำนวน 2 รายภายหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. มีรายงานอาวุธจรวด BM-21 ตกใส่ภายในปั๊ม ปตท.บ้านผือ ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 6 ราย บาดเจ็บ 10 ราย 

และพบว่ามีการใช้อาวุธสร้างความเสียหายเข้ามาพื้นที่โรงพยาบาลพนมดงรักเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ในเวลาประมาณ 11.55 น.

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังมีหลายพื้นที่ที่ถูกสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก เช่น ในพื้นที่บ้านกุดเชียงมุน, บ้านจันลา, บ้านโพนทอง อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี ตำบลบ้านกรวด อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น

นอกจากสิ่งปลูกสร้างแล้ว ยังพบว่าสัตว์เลี้ยงทางการเกษตรก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน ตามรายงานจากกองทัพบก

[จำนวนผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต]

แม้จะมีรายงานการอพยพประชาชนออกจากพื้นที่ แต่เนื่องจากจุดที่พบความเสียหายหลายจุดเป็นพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยและดำเนินชีวิตดังที่ระบุก่อนหน้านี้ ทำให้พบผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมไปถึงทหารจำนวนหนึ่ง ภายในวันที่ 24 กรกฎาคม เพียงไม่กี่ชั่วโมง 

โดยมีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุข ตามข้อมูลเมื่อเวลา 14.15 น. แบ่งตามพื้นที่ได้ ดังนี้

จังหวัดสุรินทร์: ประชาชนเสียชีวิต 2 ราย (เป็นเด็กอายุ 8 ขวบ 1 ราย), บาดเจ็บสาหัส 1 ราย, บาดเจ็บปานกลาง 3 ราย ส่วนทหารบาดเจ็บสาหัส 3 ราย, บาดเจ็บปานกลาง 1 ราย และบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย

จังหวัดอุบลราชธานี: ประชาชนเสียชีวิต 1 ราย, บาดเจ็บสาหัส 4 ราย

จังหวัดศรีสะเกษ: ประชาชนเสียชีวิต 8 ราย (เป็นเด็กอายุ 15 ปี 1 ราย), บาดเจ็บสาหัส 3 ราย, บาดเจ็บปานกลาง 8 ราย, บาดเจ็บเล็กน้อย 4 ราย และทหารเสียชีวิต 1 ราย, บาดเจ็บเล็กน้อย 2 ราย

จังหวัดบุรีรัมย์: ประชาชนบาดเจ็บปานกลาง 1 ราย

สรุป: มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 24 ราย เสียชีวิต 11 ราย/ทหารได้รับบาดเจ็บ 7 นาย เสียชีวิต 1 นาย 

และนี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์ปะทะกันของสองประเทศ ย่อมสะท้อนว่าไม่เป็นผลดีหากปล่อยให้สถานการณ์ความรุนแรงยืดเยื้อ และใช้การพุ่งรบเป็นทางออกสำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะมันนำมาซึ่งความสูญเสียของพลเรือนผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการก่อสงครามหรือความขัดแย้ง โดยเฉพาะพลเมืองที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณชายแดน

และทั้งนี้จำเป็นต้องเน้นย้ำและสะท้อน หลักการแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน (Principle of Distinction) หลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และการระมัดระวัง (Precaution) ให้ชัด

เพื่อไม่ให้ ‘พลเรือน’ ตกเป็นเป้าหมายแห่งการโจมตีและได้รับความคุ้มครองภายใต้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law หรือ Law of Armed Conflict หรือ Law of War) และเพื่อให้ทุกฝ่ายพึงระลึกถึงมนุษยธรรมต่อเพื่อนมนุษย์เสมอในสภาวการณ์เช่นนี้