Local leaves, Global leap ผักโขมไทยไปไกลระดับโลกได้ ‘Thai Amaranth’ จากผักโขมอบชีสสู่การเป็นแพลตฟอร์มซูเปอร์ฟู้ดของคนไทย

7 Min
84 Views
11 Jun 2025

หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับเมนู ‘ผักโขมอบชีส’ ที่วางขายใน 7-Eleven ทั่วประเทศ เมนูยอดนิยมจากแบรนด์ Reo’s Deli ที่อาจเป็นจานอาหารพร้อมทานโปรดของใครหลายคน

แต่เบื้องหลังเมนูธรรมดานั้น กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของความพยายาม วิสัยทัศน์ และการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ ‘Thai Amaranth’ แพลตฟอร์มที่ตั้งใจจะยกระดับ ‘ผักโขมไทย’  ให้กลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดและกลายเป็นสินค้าส่งออกที่คนไทยภูมิใจได้ในอนาคต เพราะเชื่อว่าผักโขมไทยคือวัตถุดิบที่มีศักยภาพครบด้าน ทั้งโภชนาการ สิ่งแวดล้อม และโอกาสในตลาดโลก

Thai Amaranth จึงเป็นแพลตฟอร์มใหม่ที่ไม่ใช่แค่ผงผักโขมธรรมดา แต่คือเวที ‘Co-Create’ ระหว่างผู้ผลิต เกษตรกร และแบรนด์อาหารทั่วโลก มาร่วมพัฒนาสินค้าใหม่โดยใช้ ‘ผงผักโขมไทย’ เป็นฐาน ตั้งแต่ของหวาน เบเกอรี่ ซูเปอร์ฟู้ด ไปจนถึงเครื่องดื่มสุขภาพและเบียร์คราฟต์ 

ด้วยความร่วมมือกับ บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด (Siam Forestry) ซึ่งเป็นพันธมิตรสำคัญในการพัฒนาแหล่งปลูกผักโขมไทยในจังหวัดกาญจนบุรี บนพื้นที่ที่ได้รับการออกแบบให้รองรับเกษตรกรรมยั่งยืน และการวิจัยพันธุ์พืชเฉพาะทาง การสนับสนุนของ Siam Forestry ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพตั้งแต่ต้นทาง มีระบบ Contract Farming ที่มั่นคง และสามารถวางแผนผลผลิตเชิงอุตสาหกรรมได้อย่างยั่งยืน

คุณชณา วสุวัต CEO แห่ง Value Sourcing Co., Ltd. ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์ REO’s Deli กล่าวว่า ในตอนที่ทำผักโขมอบชีสนั้น ทางทีมงานยังต้องนำเข้าผักโขมจากจีน ซึ่งแม้จะมีรสชาติที่ดี แต่ก็มักเจอปัญหาเรื่องสิ่งแปลกปลอมที่ควบคุมไม่ได้

“เราใช้ผักโขมจีนมาเป็นสิบปี คุยกับโรงงานจีนตลอด แต่เขาก็ไม่อยากปรับ เพราะเราใช้แค่เดือนละ 2 ตัน ขณะที่เขาผลิตวันละ 100 ตัน”

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุดิบ แต่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้ VSC (Value Sourcing Co., Ltd.) เริ่มคิดว่า ถ้าเราปลูกเองในไทย เราจะสามารถควบคุมคุณภาพและขยายผลได้ในระยะยาว

“คอนเซปต์ของเราคือพัฒนาให้ได้ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ  ควบคุมคุณภาพได้ทั้งห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) เราพยายามล้มลุกคลุกคลานกับการปลูกผักในไทยมาตลอด 6 ปี ชวนคนมาทดลอง ปรับปรุงมาเรื่อยๆ”

จากแค่อยากปลูกผักในไทยเพื่อลดปัญหาเรื่องสิ่งแปลกปลอม อะไรทำให้เกิดเป็น Thai Amaranth

เรียว: เราไปเจอคู่ค้าสำคัญ SCGP กลุ่ม SCG Packaging เราใช้บรรจุภัณฑ์ถาดเยื่อพืชของเขา โรงงานที่ผลิตถาดเยื่อพืชก็เลยแนะนำให้เรารู้จักกับ Siam Forestry  ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม SCGP และปลูกยูคาลิปตัสทั่วประเทศแสนกว่าไร่ ผมเลยไปชวนเขาว่า ระหว่างรอยูคาลิปตัสโต มาปลูกผักโขมกับเราไหม มันเร็วนะ ปลูกเดือนเดียวก็ได้แล้ว เค้าก็เลยสนใจ 

จนผ่านมา 1 ปี  Siam Forestry  ก็ไปให้เกษตรกรรอบๆ เมืองกาญจณบุรีปลูกด้วย เราก็รับซื้อที่กิโลละ 15 บาท 1 ไร่ได้ประมาณ 1 ตัน ไม่ถึงเดือนก็ได้เงินแล้ว ทีนี้ก็เลยปลูกกันใหญ่เลย ผมก็ปวดหัวสิ เลยคิดว่างั้นต้องหา Demand เพราะ Supply กำลังมา ผมก็เลยคิดถึงสิ่งนี้ เราจะทำยังไงให้ Demand มันลอยกว่า Supply ก็เลยนำมาสู่การทำ Thai Amanranth ในที่สุด 

Thai Amanranth ในความตั้งใจของคุณคืออะไร

เรียว: Thai Amaranth คือแพลตฟอร์มที่รวมรวบผู้ประกอบการของไทยและต่างประเทศที่ร่วมกันสร้างสินค้าใหม่ๆ ที่ทำจากผง ‘ผักโขมไทย’ ความตั้งใจคืออยากทำสินค้าใหม่ให้กับประเทศเรา

ประเทศเรามีที่ตั้งและภูมิศาสตร์ที่ดี แต่สินค้าเราก็ยังโฟกัสอยู่กับข้าว ยางพารา ซึ่งอันนั้นก็ดีแล้วละ แต่ก็ควรจะมีสิ่งใหม่ๆ หลายๆอย่างที่เป็นความต้องการของตลาดโลก ซึ่งเราอยากทำให้ผักโขมไทยไปอยู่จุดนั้น เลยทำเป็นฟังก์ชันนอลฟู้ด หรือไม่แน่ ถ้าคนนิยมมากขึ้น อาจกลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดก็ได้ ที่จะมาแทน มาเสริม สินค้าตัวอื่นๆที่มีอยู่ เราตั้งใจอยากให้เป็นสินค้าสำหรับประเทศไทย เราไม่ได้มองว่าทำเพื่อตัวเองคนเดียว 

ผักโขมไทยที่เอามาทำมีจุดเด่นยังไงบ้าง

แก้ม: จริง ๆ ผงผักโขมไม่ได้เริ่มจากไอเดียเท่ๆ อะไรเลยค่ะ แต่มาจากความพยายามหาทางขยายตลาดให้เกษตรกร เพราะตอนแรกเราทำเป็นผักแช่แข็ง แต่ต้องเสียค่าเก็บเดือนละ 1.50 บาทต่อกิโล ซึ่งหนักพอสมควร

เราเลยลองแปรรูปเป็นผักผงแทน จะได้เก็บง่ายขึ้น และยังต่อยอดเป็นสินค้าร่วมกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญในแต่ละด้านได้ด้วยค่ะ

จุดเด่นของ Thai Amaranth powder คือคุณค่าทางโภชนาการที่สูงกว่าผักโขมทั่วไปชัดเจนเลยค่ะ ตอนเราส่งตรวจเทียบตาม Thai RDI พบว่า มีโปรตีนสูงถึง 27 กรัมต่อ 100 กรัม
นอกจากนี้ยังมี ไฟเบอร์ แคลเซียม โพแทสเซียม และวิตามิน A สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปด้วย

ที่สำคัญคือ ไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวหรือรสขม เราทดลองผสมกับนมแล้วให้รสคล้ายมัทฉะเลยค่ะ ใช้ง่ายกว่า แถมตอบโจทย์ Clean Label ด้วย

มันเลยเป็นทางเลือกใหม่สำหรับแบรนด์ที่อยากได้ functional green color ที่มีทั้งคุณภาพและคุณค่าในตัว เหมาะมากสำหรับคนที่อยากลดการใช้มัทฉะแต่อยากได้ฟีลลิ่งใกล้เคียงกันค่ะ

การที่ทำระบบ Contract Farming เกษตรกรจะได้ประโยชน์อะไรจากตรงนี้

แก้ม: เราเข้าใจดีว่าเกษตรกรต้องเจอกับความไม่แน่นอนเรื่องราคาผลผลิต เลยอยากช่วยเป็นอีกแรง ด้วยการรับซื้อผักโขมในราคายืนพื้นที่ 15 บาทต่อกิโล เพื่อให้เขาวางแผนได้

จากเดิมที่หลายคนเคยปลูกยูคาลิปตัสซึ่งต้องรอนาน เราเสนอ Thai Amaranth ที่เก็บเกี่ยวได้ใน 25 วัน หมุนเงินไวกว่า และเริ่มมีครัวเรือนทดลองปลูกแล้ว

รายได้เฉลี่ยต่อไร่ต่อรอบอยู่ที่ราว 15,000 บาทต่อไร่ต่อเดือน เงินลงทุน 4,000 บาท ครัวเรือนนึงสามารถดูแลได้สูงสุดถึง 4 ไร่  เราไม่ได้คิดว่าเราทำอะไรใหญ่โต แค่อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้จริง และอยู่ได้จริงกับชุมชน และช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่ด้วยค่ะ

เห็นว่ายังให้ความสำคัญกับ Zero-Waste Process ด้วย

แก้ม:  ใช่ค่ะ เราพยายามออกแบบให้ Thai Amaranth อยู่ในระบบ Circular Economy จริงๆ อย่างเมนู ‘ผักโขมอบชีส’ เราใช้ บรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้ใน 60 วัน ซึ่งหลังจากย่อยแล้วก็นำไปใช้ปรับปรุงดินต่อได้

ดินนั้นก็นำกลับมาใช้ ปลูกผักโขมไทยรุ่นใหม่ ร่วมกับ Siam Forestry ที่กาญจนบุรี เป็นการเชื่อมวงจรจากฟาร์ม สู่จาน แล้วกลับคืนสู่ฟาร์มอีกครั้งค่ะ

ช่วยเล่าถึง Co – Branding Partners แต่ละเจ้าหน่อยว่าเข้ามาร่วมจอยตรงนี้ได้ยังไง

แก้ม: เรามีเป้าหมายที่ชัดมาก ๆ ค่ะ ว่าอยากผลักดัน “ผักโขมไทย” หรือ Thai Amaranth ให้กลายเป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ประเทศไทยสามารถส่งออกและสร้างคุณค่าในระดับสากลได้จริง ๆ เราเลยเริ่มจากการหาพาร์ทเนอร์ที่ “คิดเหมือนกัน” — คือมองเห็นศักยภาพของวัตถุดิบไทย และอยากร่วมกันต่อยอดสินค้าเพื่อให้เกิดผล กระทบเชิงบวกทั้งต่อผู้บริโภค เกษตรกร และภาพลักษณ์ของประเทศ

ตอนนี้เรากำลังอยู่ในขั้นตอนเตรียมเซ็น MOU กับหลายเจ้า ซึ่งแต่ละเจ้าก็มีความโดดเด่นของตัวเอง และเราดีใจมากที่ทุกคนเปิดใจให้ผักโขมไทยเข้าไปอยู่ในสูตรของแบรนด์ตัวเองได้อย่างสร้างสรรค์มาก ๆ

มีหลายสินค้าเลย ไม่ว่าจะเป็น เบียร์คราฟท์ ชาผักโขมแคปซูลที่ให้รสคล้ายมัทฉะ ชงในเครื่องเอสเพรสโซได้ โจ๊กสำหรับผู้สูงอายุ สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ไอศครีม ขนมต่างๆ

เบียร์คราฟท์จากผงผักโขมเป็นยังไง

แก้ม: เบียร์ตัวนี้พัฒนาขึ้นโดยบริษัท ร่มเย็นเป็นสุข บริวเวอร์รี่ จำกัด จุดเด่นคือโดยปกติแล้ว ถ้าการผลิตในสเกลเล็ก การผลิตเบียร์จะต้องใช้ Hop แต่เราค้นพบว่า ผงผักโขมไทยสามารถใช้แทน Hop ซึ่งโดยปกติเป็นส่วนประกอบหลักในการผลิตเบียร์ตามกฎหมายไทยได้ ซึ่งสามารถช่วยลดต้นทุนในการผลิตลง

นอกจากนี้ เราก็มองว่าในมุมของผู้บริโภค เบียร์ที่มีส่วนผสมของผักก็จะถูกมองว่าดูเฮลตี้มากขึ้นไหม เราใส่ไฟเบอร์เข้าไปด้วย และใช้ข้าวไทยเป็นเบสหลัก ทำให้เบียร์ตัวนี้ใช้วัตถุดิบจากไทยทั้งหมด 100% ทั้งข้าวและผงผักโขม

ในแง่กระบวนการแปรรูปททำยังไงให้ผงผักสามาถใช้ได้จริงกับอาหารหลากหลายประเภท

แก้ม: เราแปรรูปผักโขมออกมาเป็นหลายเกรด โดยใช้เทคนิค Spray Dry และ Drum Dry ซึ่งตอบโจทย์ทั้งในเครื่องดื่มและอาหาร ไม่มีรสขมหรือกลิ่นเหม็นเขียวจากผัก ที่สำคัญคือสามารถใช้แทนสีสังเคราะห์อย่าง Copper Chlorophyllin ได้เลย แล้วก็มีการดูว่าส่วนประกอบไหนของผักโขมที่เหมาะเอามาเป็นผงที่ใช้กับโปรดักส์ต่างๆ เรามีการทดลอง Product mix ต่างๆ แบ่งเป็นเกรดทั้งที่เป็น ใบ 100% ใบกับก้าน ก้าน 100% หรือจะใส่ carrier เพื่อช่วยการละลาย เหมาะสำหรับกลุ่มเครื่องดื่ม ซึ่งเราได้มีดีไซน์เพื่อให้เหมาะกับแต่ละสินค้าที่ถูกนำไปพัฒนาต่อยอดค่ะ

Thai Amaranth จะมาช่วยตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพตอนนี้ยังไงบ้าง

แก้ม:  ถ้าพูดถึงเรื่องโภชนาการพื้นฐานนะคะ  Thai Amaranth ก็ถือว่าครบเลย ทั้งโปรตีน ไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก แคลเซียม และวิตามินเอ ซึ่งเหมาะมากๆ กับกลุ่มลูกค้าสายเฮลท์ตี้

แต่ถ้าจะมองไปถึง Next Step ของเรา เราไม่ได้หยุดแค่สารอาหารพื้นฐานค่ะ เรากำลังวางแผนจะศึกษาลึกลงไปอีก เช่น พวกสารต้านอนุมูลอิสระ ว่าในพืชชนิดนี้มีตัวไหนที่โดดเด่นบ้าง หรือจะมีสารพิเศษอะไรที่เป็นประโยชน์กับสุขภาพเพิ่มเติมอีก

นอกจากส่วนใบกับลำต้นที่เราใช้อยู่ตอนนี้ เราก็เริ่มสนใจไปถึงเมล็ดและดอกด้วย เพราะจริง ๆ แล้วทั้งต้นมันมีประโยชน์หมดเลย เราอยากรู้ว่ามันจะต่อยอดไปเป็นพวก Novel Food หรือสารสกัดเฉพาะทางได้ไหม

พูดง่าย ๆ คือ Thai Amaranth มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ ‘ผักเฮลตี้’ แต่เรามองว่ามันอาจกลายเป็นวัตถุดิบแห่งอนาคต ที่ทั้งวงการอาหารสุขภาพ หรือแม้แต่ functional food / wellness products ก็อาจจะหยิบไปใช้ได้ต่ออีกเยอะเลยค่ะ

วางแผนจะร่วมมือกับผู้ประกอบการไทยต่อไปยังไงบ้าง

แก้ม: จริงๆ เราอยากร่วมงานกับผู้ประกอบการทุกท่าน ทั้งในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ไปจนถึงกลุ่มสินค้า Wellness เพราะส่วนตัวก็ชอบอาหารเฮลตี้อยู่แล้ว และทุกวันนี้คนไทยก็เผชิญกับโรค NCDs (Non-Communicable Diseases) จากพฤติกรรมการกินมากขึ้น เราเลยอยากช่วยให้คนไทยสุขภาพดีขึ้น ผ่านของกินที่เข้าถึงได้

อย่างแบรนด์ Reo’s Deli อีกหนึ่งหน่วยธุรกิจของเราที่ทำผักโขมอบชีสจำหน่ายใน 7-Eleven ทั่วประเทศ เราก็อยากจะสอดไส้ผักให้คนกินเยอะๆ อันนี้ไม่เคยบอกใครเลย ตัวผักโขมอบชีสจริงๆลูกค้าได้กินหอมใหญ่เข้าไปด้วย แต่ก่อนเรายังไม่ได้บดหอมใหญ่ลงไป พอคุณแม่ลูกค้าหลายคนมาบอกว่าช่วยบดให้หน่อยได้ไหม ลูกไม่กินหอมใหญ่ เราก็ปรับเลย เพราะเข้าใจดีว่าเด็กๆ หลายคนไม่ชอบ  เราแค่อยากให้เขาได้ประโยชน์มากขึ้น แบบไม่ต้องฝืน

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเหมือน ‘แก่น’ ที่เรายึดมาตลอดว่า เราอยากให้คนได้กินผักมากขึ้น โดยที่ไม่รู้สึกฝืน ผักโขมที่เราเลือกก็เลยต้องไม่เหม็นเขียว ทานง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการสูงที่สุด

มองอนาคตซูเปอร์ฟู้ดไทยไว้ยังไงบ้าง

แก้ม: ซูเปอร์ฟู้ดไม่ใช่แค่เรื่องคุณค่าทางโภชนาการค่ะ สิ่งที่ทำให้พืชชนิดหนึ่งไปได้ไกลในเวทีโลก คือ ‘การตลาด’ และ ‘ระบบซัพพลายเชน’ ที่แข็งแรงร่วมกันด้วย

เราคิดว่า ถ้าเราสามารถพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ให้ยั่งยืน มีระบบหลังบ้านที่รองรับการแปรรูป ส่งออก และร่วมพัฒนาผลิตภัณฑ์กับแบรนด์ต่าง ๆ ได้จริง ผักโขมไทยก็มีศักยภาพพอที่จะก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์ฟู้ดของโลกได้เหมือนกัน

ทุกวันนี้ เวลาชาวต่างชาตินึกถึงวัตถุดิบจากไทย ก็มักจะนึกถึงข้าวหรือมะพร้าวเป็นหลัก แต่เราหวังว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ‘ผักโขมไทย’ จะกลายเป็นหนึ่งในภาพจำใหม่ เป็นวัตถุดิบที่ทั้งอร่อย มีประโยชน์ และมีระบบสนับสนุนที่โปร่งใส น่าเชื่อถือ และอาจกลายเป็น Superfood ที่คนทั่วโลกรู้จักในชื่อของ Thai Amaranth ก็ได้นะคะ

สุดท้าย ทำไมต้องลองเปิดใจให้ Thai Amaranth

แก้ม: เราอยากชวนทุกคนมาลองรู้จัก Thai Amaranth ดูค่ะ เพราะเราเชื่อว่าพืชชนิดนี้ยังมีโอกาสอีกมากมายที่รอการค้นพบ และยังมีศักยภาพอีกเยอะที่คนไทยสามารถต่อยอดได้ร่วมกัน

เรามองว่า Thai Amaranth ไม่ใช่แค่ส่วนผสมหนึ่งในอาหาร แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ใหม่ ๆ สำหรับทั้งผู้ประกอบการ เกษตรกร และผู้บริโภค

แพลตฟอร์มของเราพยายามเป็นพื้นที่กลาง ที่ไม่ได้แค่ขายวัตถุดิบ แต่มีทีมที่พร้อมช่วยคิด พัฒนา และเติบโตไปด้วยกันกับทุกแบรนด์ที่อยากลองใช้ Thai Amaranth เป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ

เราอาจไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง แต่เรายินดีมากถ้าจะได้เป็น ‘จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ’ ของใครสักคนที่อยากพาอาหารไทยหรือวัตถุดิบไทยไปไกลกว่านี้ค่ะ