11 Min

(ก่อนจะ) 20 ปี เหตุการณ์ตากใบ ฟังเสียงตัวแทนทนายความ ชาวบ้าน ประชาสังคม ในวันที่ลุกขึ้นมาทวงถาม ‘ความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยา’ ที่แท้จริง ก่อนคดีจะขาดอายุความ

11 Min
166 Views
17 Jul 2024

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2547 ณ ดินแดนใต้สุดของฝั่งอ่าวไทยที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส ท่ามกลางสถานการณ์อันคุกรุ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ เกิดเหตุการณ์สลายการชุมนุมด้วยมาตรการที่รุนแรงทั้งการยิงแก๊สน้ำตา ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง และกระสุนจริงกับผู้คนที่มารวมตัวกันอยู่หน้าสถานีตำรวจภูธรตากใบ เพื่อมาเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ถูกจับกุมไปอย่างไม่เป็นธรรม และบางส่วนที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง แต่ทำธุระอยู่แถวนั้นก็พลอยต้องรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นไปด้วย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ปิดล้อมบริเวณดังกล่าว

ภายหลังสลายการชุมนุม เจ้าหน้าที่ได้จับกุมผู้ชุมนุมนับพันคน ผูกมือไพล่หลัง และบังคับให้ขึ้นไปนอนคว่ำหน้าทับซ้อนกันด้านหลังรถบรรทุกทหาร เพื่อขนย้ายไปยังสถานที่ควบคุมตัวในค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี จนกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่ผู้คนสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมาก และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจนส่งผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจมาจนถึงปัจจุบัน จากการกระทำที่เกิดขึ้นของเจ้าหน้าที่รัฐ

แม้ว่าจะผ่านเวลามาเกือบ 20 ปี มีการชดเชยเยียวยาด้วยเงินจำนวนมาก มีความพยายามในการทวงคืนความยุติธรรม แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องรับผิดรับชอบจากเหตุการณ์ดังกล่าว ทุกความรู้สึกต่างๆ ยังคงประเดประดังในใจของผู้คนที่ผ่านเหตุการณ์มาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้จึงมีบุคคลจากหลายฝ่าย ทั้งทนาย ชาวบ้าน และภาคประชาสังคม ร่วมกันทวงถาม ‘ความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยา’ ที่แท้จริงด้วยตัวเอง ก่อนคดีจะขาดอายุความ

เสียงจากทนายความ: 
จุดเริ่มต้น อุปสรรค ความท้าทายของการต่อสู้คดีตากใบในวันที่จวนเจียน

อูเซ็ง ดอเลาะ ทนายความจากมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม มูลนิธิที่ทำหน้าที่รับผิดชอบคดีความมั่นคงของผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนใต้ตั้งแต่เหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง (4 มกราคม 2547) โดยสานงานต่อจากชมรมนักกฎหมายมุสลิมของทนายสมชาย นีละไพจิตร ผู้สูญหายภายในปีเดียวกันกับเหตุการณ์ปล้นปืน อูเซ็งได้บอกเล่าจุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาร่วมกันยื่นฟ้องคดีของชาวบ้านที่เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบและเป็นผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ตากใบหลังผ่านเหตุการณ์มาเกือบ 20 ปี และการทำงานทางกฎหมายในการต่อสู้คดีที่มีความท้าทายมากมายที่เร้นกายอยู่ตามมุมต่างๆ ของกระบวนการยุติธรรม

อูเซ็ง ดอเลาะ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม
ภาพ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย

อูเซ็ง ดอเลาะ มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม / ภาพ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย

[จุดเริ่มต้นในการฟ้องคดี]

วันที่ 11 ของเดือนรอมฎอน (เดือนที่ชาวมุสลิมจะถือศีลอด) เมื่อตุลาคม 2566 มีการจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ตากใบ โดยในปีดังกล่าวเป็นปีที่ 19 ของเหตุการณ์ตากใบ ปรากฏว่าในการจัดกิจกรรมรำลึกครั้งนั้นมีการพูดคุยระหว่างผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งที่เป็นผู้บาดเจ็บกับผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับผู้ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ เกี่ยวกับการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะการเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ที่กระทำความผิดเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว จึงมีความพยายามในการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาก่อนที่คดีจะหมดอายุความด้วยตัวเอง

โดยมีผู้ร่วมเป็นโจทก์ 48 คน ซึ่ง 34 คนเป็นตัวแทนของผู้เสียชีวิต ส่วนที่เหลือเป็นผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ดังกล่าว โดยยื่นฟ้องเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 9 คน (ทหาร 3 คน ตำรวจ 4 คน ฝ่ายปกครอง 2 คน) ในวันที่ 25 เมษายน 2567

แต่ในวันเดียวกันนี้เองตำรวจภาค 9 กลับออกคำสั่งไม่ฟ้องเจ้าหน้าที่ตำรวจทหาร โดยอ้างว่า ‘เป็นการกระทำตามสมควรแก่กรณีและเป็นเหตุสุดวิสัย’

และในระยะเวลาเดียวกันที่ทีมทนายกำลังรวบรวมพยานหลักฐานในการฟ้องคดี พนักงานสอบสวนเพิ่งเร่งทำสำนวนไต่สวนการตายพร้อมความเห็นควรไม่ฟ้อง ทั้งๆ ที่เหตุการณ์การเสียชีวิตเกิดขึ้นมาเกือบ 20 ปี 

โดย สภ.หนองจิก จังหวัดปัตตานี ได้เรียกผู้เสียหายและตัวแทนมาสอบปากคำในฐานะพยาน เพื่อยืนยันคำให้การเดิม โดยที่ไม่ได้ตั้งตัว และไม่ได้มีกระบวนการการทำความเข้าใจใดๆ เกิดขึ้น ทำให้ชาวบ้านมีความกังวลว่าเพราะเหตุใดอยู่ๆ จึงถูกเรียกไปพบ ศูนย์ทนายฯ จึงต้องเข้าไปประสานงานเพื่อสร้างความเข้าใจและคลายความกังวล

[อุปสรรค]

อูเซ็งสะท้อนถึงอุปสรรคในการต่อสู้คดี โดยเฉพาะอุปสรรคใหญ่อย่าง ‘แทกติกทางกฎหมาย’ ที่อาจทำให้คดีไม่เข้าทางฝั่งโจทก์หรือชาวบ้านมากนัก 

โดยหลังจากที่ได้มีการฟ้อง ปรากฏว่าในวันที่นัดไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยที่ 1, 2, 3 และ 9 แต่งตั้งทนายความเข้ามา แต่จำเลยที่เหลือไม่ได้มาตามนัด แม้ว่าจะได้รับหมายโดยชอบแล้ว ส่วนฝ่ายทนายของจำเลยที่มาศาลได้ยื่นคำร้องว่าสิ่งที่ฝ่ายโจทก์ฟ้องนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการบรรยายฟ้องที่เกินไปกว่าความเป็นจริง ทำให้ได้รับโทษหนักขึ้น พร้อมกับโต้แย้งว่าความเสียหายเกิดขึ้นเนื่องจากผู้ชุมนุมมีอาวุธ ไม่ได้ชุมนุมด้วยความสงบ จึงถือว่าเป็นการใช้อำนาจหน้าที่โดยชอบแล้ว

มิหนำซ้ำจำเลยยังมีความพยายามในการตั้งอัยการมาเป็นทนายความสู้คดี ทั้งๆ ที่จำเลยเกษียณอายุราชการไปแล้ว โดยที่ไม่มีหนังสือหรือใบมอบอำนาจเข้ามา

อีกทั้ง ศาลยังกลับมีความเห็นให้เลื่อนนัดไต่สวนมูลฟ้อง แม้ไม่มีจำเลยคนใดขอเลื่อนคดี โดยผู้พิพากษากังวลว่าสำนวนจะมีปัญหาและถูกตีกลับจากศาลสูง และเนื่องจากมีการท้วงติงว่าจำเลยที่ไม่ได้แต่งทนายเข้ามานั้นไม่ทราบวันนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่ จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมกับฝั่งจำเลย ซึ่งทนายฝ่ายโจทก์ได้แถลงคัดค้านว่าเป็นดุลยพินิจของศาลที่สามารถไต่สวนลับหลังจำเลยและสามารถประทับรับฟ้องภายในวันนั้นได้

และแม้ว่าศาลจะเห็นว่าคดีมีมูลให้รับฟ้อง แต่ในกรณีที่ราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีด้วยตนเอง สิ่งที่จะต้องดำเนินต่อไป คือการนำตัวจำเลยมาศาลในชั้นพิจารณาคดีภายในอายุความ ซึ่งในแง่หลักการแล้ว กระบวนการดังกล่าวเป็นภาระของโจทก์ที่จะต้องเป็นผู้ดำเนินการ โดยปกติแล้วในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลยก็มักจะไม่ได้มาศาล ตามกฎหมายศาลก็จะออกหมายเรียกหรือหมายจับตามที่ฝ่ายโจทก์ร้องขอ แต่ในคดีที่ใกล้จะหมดอายุความเช่นนี้ก็สุ่มเสี่ยงมากที่จำเลยจะไม่มาศาลและปล่อยให้คดีขาดอายุความในที่สุด

[สิ่งที่น่าจับตา]

อูเซ็งมองว่าคดีนี้เป็นคดีสำคัญคดีหนึ่งที่เจ้าหน้าที่กระทำละเมิดประชาชน โดยอยากให้เฝ้าจับตาความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรม ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือศาล 

ซึ่งตอนนี้ฝั่งตำรวจยุติไปแล้ว เนื่องจากมีคำสั่งไม่ฟ้องดังที่กล่าวไปก่อนหน้า ฝั่งตัวแทนผู้เสียชีวิตจึงได้ร้องขอความเป็นธรรมไปที่อัยการ แต่อัยการกลับมีหนังสือแจ้งฝั่งตัวแทนผู้เสียชีวิตให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรม

และเมื่อขอสำนวนคดีเก่าเพื่อให้คดีมีมูลในชั้นไต่สวนมูลฟ้องโดยมีหมายจากศาล กลับพบว่าทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสำนักงานอัยการส่งหนังสือแจ้งศาลได้ว่าไม่สามารถส่งสำนวน หลักฐานให้ศาลได้ พร้อมกับอ้างอำนาจคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (กวฉ.) ในการไม่อนุญาตเปิดเผยข้อมูลต่างๆ ทั้งที่กฎหมายคุ้มครองให้คู่ความสามารถตรวจสอบพยานหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ในคดีได้

ส่วนในด้านของศาล โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นคดีความมั่นคงเช่นนี้ จะมีระเบียบให้ผู้พิพากษาคดีเจ้าของสำนวน ผู้พิพากษาที่อยู่ในศาลเดียวกัน และอธิบดีหรือรองอธิบดีของศาลอุทธรณ์ ภาค 9 เป็นองค์คณะร่วมพิจารณา แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือถึงแม้ว่าผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะมีความประสงค์ที่อยากจะให้การไต่สวนเป็นไปอย่างรวดเร็วเพียงใด แต่กระบวนการกลับมีการหยุดชะงัก เนื่องจากฝั่งตัวแทนจากศาลอุทธรณ์มีความเห็นให้เลื่อนคดีออกไปก่อน 

เสียงจากตัวแทนชาวบ้าน: 
20 ปีของความสูญเสียที่ยังฝังใจและยังไร้คำตอบ

แบมะ ชาวบ้านหนึ่งในตัวแทนของผู้เสียชีวิต ได้สะท้อนความรู้สึกที่ยังฝังอยู่ในใจและความคาใจในกระบวนการยุติธรรม 

แบมะเล่าถึงการสูญเสียพี่ชายคนโตจากเหตุการณ์ตากใบขณะอายุ 21 ปี ว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุการณ์ความสูญเสีย เขาและพี่ชายกำลังช่วยกันไถนา แต่พี่ชายได้ขอตัวไปซื้อเสื้อผ้าที่ย่านตลาดเจ๊ะเห เพื่อต้อนรับวันฮารีรายอในเดือนรอมฎอน ในท้ายที่สุดก็เกิดเหตุการณ์อันน่าสลดกับพี่ชายของเขาจากเหตุการณ์การปราบปรามที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว

แบมะระบุว่า แม้ว่าจะครบ 20 ปี แต่ความรู้สึกยังไม่จางหายไป ทุกคนที่ได้รับผลกระทบในเหตุการณ์วันนั้นก็ยังมีความไม่สบายใจ พร้อมกับกล่าวว่า “ยังรอคอยความยุติธรรมอยู่” เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวใดก็ตาม

และสิ่งที่ยังคาใจมาจนถึงทุกวันนี้ คือไม่รู้ว่าสำนวนการเสียชีวิตของผู้เสียชีวิตทุกคนหายไปไหน เกิดการโยนกันไปกันมาระหว่างหน่วยงานต่างๆ ซึ่งสะท้อนว่ารัฐไทยไม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ปล่อยให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบยังคงค้างคาใจว่าเหตุใดยังปล่อยให้ผู้ที่กระทำรุนแรงยังคงลอยนวล

พร้อมกับตั้งคำถามถึงเหตุของการเสียชีวิตว่าเหตุใดจึงไม่ยอมสรุปสาเหตุการเสียชีวิตไปที่การกระทำของเจ้าหน้าที่ กลับสรุปว่าเป็นเพียงการขาดอากาศหายใจเท่านั้น ไม่ได้ระบุพฤติการณ์แวดล้อมเพิ่มเติม เพราะสภาพศพบางศพแบมะระบุว่าพบร่องรอยของการถูกกระทำความรุนแรง ซึ่งไม่ได้ระบุว่าบุคคลเหล่านี้ไปเผชิญอะไรมาบ้าง ก่อน ‘ขาดอากาศหายใจ’ จนเสียชีวิต

แม้ว่าได้รับการเยียวยาเป็นเงินจำนวนนับล้านจากภาครัฐมาแล้ว แต่แบมะระบุว่านั่นพอหรือไม่สำหรับการเสียชีวิตของคนคนหนึ่ง เพราะทำให้ผู้สูญเสียและผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องเผชิญกับความยากลำบากในชีวิตทุกด้าน บางคนเป็นคนรักของใครสักคน บางคนเป็นกำลังหลักสำคัญของครอบครัว 

แบมะและผู้ที่ได้รับผลกระทบหลายๆ คนจึงรวมตัวกันพูดคุยว่า “จะให้เหตุการณ์จบไปโดยไม่เดินเรื่องอะไรเลย หรือเราจะลองสู้เพื่อให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นกับคนที่เสียชีวิต โดยที่พวกเขาไม่มีโอกาสกลับมาบอกอะไรเราได้ว่าถูกทารุณกรรม” จนกลายเป็นที่มาของการรวมตัวยื่นฟ้องในหนนี้

เสียงจากภาคประชาสังคม: 
บรรยากาศแห่งความหวาดกลัวและวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด

ซาฮารี เจ๊ะหลง สื่อและภาคประชาสังคมที่ทำงานขับเคลื่อนด้านมนุษยธรรมในพื้นที่ชายแดนใต้ ได้ระบุถึงเหตุที่ชาวบ้านเพิ่งจะลุกขึ้นมาฟ้องด้วยตัวเองหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์มาเกือบ 20 ปี ว่าเป็นความกลัวของชาวบ้านที่มาจากความพยายามของภาครัฐในการกดทับและทำให้ประชาชนลืมเหตุการณ์อันเนื่องมาจากความผิดพลาดของตัวเอง

เช่น กรณีสำนวนที่หายไป ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นมาฟ้อง มาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายอาญา และไม่เคยมีการฟ้องในข้อหาดังกล่าวสำหรับจังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งต่างจากพลเมืองของท้องที่อื่นที่กล้าฟ้องในข้อหานี้ เป็นต้น

พร้อมกับกล่าวถึงปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ถือว่าเป็นผลพวงมาจากปัญหาทางการเมืองที่ไม่ได้รับการแก้ไข หรือมีความพยายามแก้ไข แต่เกิดผลสำเร็จน้อยมานับร้อยปี และถึงแม้มีความพยายามเจรจาให้เกิดความสันติ แต่บรรยากาศก็ไม่ได้เอื้อให้คนในพื้นที่รู้สึกถึงความเป็นธรรมหรือความยุติธรรมเมื่อเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีความต่างๆ 

โดยเฉพาะการมีกฎหมายพิเศษต่างๆ ถูกบังคับใช้ในพื้นที่ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง และกฎหมายอื่นๆ ที่ทับซ้อนกันอยู่ในพื้นที่ ทำให้ประชาชนไม่สามารถเอาผิดเจ้าหน้าที่เมื่อถูกละเมิดสิทธิด้วยอำนาจที่ล้นเกิน

นอกจากนี้ ซาฮารียังยกตัวอย่างสถานการณ์เสรีภาพสื่อ เมื่อมีความพยายามในการรายงานประเด็นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยเล่าถึงเมื่อครั้งที่ตนทำหน้าที่สื่อพลเมืองว่าก็ยังเจอการคุกคาม ถูกเรียกตัวไปสอบในค่ายทหาร 

หรือมีกรณีสื่อท้องถิ่นรายงานการปะทะของเจ้าหน้าที่จนมีการวิสามัญก็ถูกเจ้าหน้าที่ฟ้องดำเนินคดี ซึ่งทำให้การนำเสนอข้อเท็จจริงเป็นไปได้ยาก

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย ก็ได้สะท้อนปัญหาบรรยากาศของความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นเหรียญสองด้านของ ‘วัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด’ ที่เจ้าหน้าที่ไม่ถูกดำเนินคดีเมื่อละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่ผู้คนที่ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นเหล่านี้กลับถูกคุกคาม ดำเนินคดีอยู่เสมอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข

ผู้คนในพื้นที่จึงรู้สึกว่าหากออกมาเรียกร้องความยุติธรรมก็คงจะไม่ได้อะไร แม้ว่าจะมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลแล้วก็ตาม

ซึ่งการเรียกร้องและเข้าถึงความยุติธรรม ชนาธิประบุว่า “ไม่ใช่แค่ต้องการความกล้าหาญจากชาวบ้านหรือคนในพื้นที่ แต่ภาครัฐต้องมีส่วนในการสร้างบรรยากาศที่ปลอดภัยและเอื้ออำนวยให้ออกมาหาความยุติธรรมได้ด้วย” 

และในส่วนประเด็นของการเยียวยานั้น แม้ว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์จะได้รับเงินชดเชยเยียวยาบ้างแล้ว แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมดของการเยียวยาตามหลักการระหว่างประเทศ ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยการเข้าถึงข้อมูล การเข้าถึงความยุติธรรม และการชดเชยเยียวยา 

โดย 2 ข้อแรกยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างจริงจังจากภาครัฐ ส่วนข้อสุดท้าย แม้ว่าจะมีการมอบเงินชดเชยเยียวยาไปแล้ว แต่รัฐอาจต้องทำมากกว่านี้ เช่น การออกมายอมรับอย่างเป็นทางการ การรับประกันว่าเหตุการณ์แบบโศกนาฏกรรมตากใบจะไม่เกิดขึ้นอีก เป็นต้น

ชนาธิป ตติยการุณวงศ์ นักวิจัยประจำแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย / ภาพ: แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย

ชนาธิปยังระบุว่าเหตุการณ์ตากใบยังถือเป็นโมเดลในการปราบปรามการชุมนุมในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งใน ‘การทดลอง’ ในจังหวัดชายแดนใต้อันเปรียบเสมือนเป็น ‘ห้องทดลองมนุษย์’ ที่เมื่อภาครัฐมีแนวปฏิบัติอะไรในการควบคุมประชาชน ก็จะนำไปใช้ที่จังหวัดชายแดนใต้ก่อนที่อื่นๆ ในประเทศ และการสลายการชุมนุมในลักษณะรุนแรงนี้ก็ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังจากเกิดเหตุการณ์ตากใบ ราวกับรัฐบาลไม่เคยเรียนรู้เลยว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

นี่จึงเป็นเหตุผลให้ทางแอมเนสตี้เรียกร้องให้คืนความยุติธรรมให้กับคนที่เป็นเหยื่อของเหตุการณ์ตากใบ โดยอย่างแรกศาลจะต้องรับฟ้องและไม่ปล่อยให้คดีหมดอายุความ เพราะถ้าปล่อยคดีหมดอายุความ ไม่ใช่แค่จะสูญเสียโอกาสในการคืนความยุติธรรมให้กับเหยื่อ แต่ยังจะสูญเสียการสร้างแนวปฏิบัติในอนาคตให้ภาครัฐจัดการดูแลการชุมนุมได้ดีขึ้น และการเข้าถึงความยุติธรรมของเหยื่อในกรณีอื่นๆ อีกด้วย

อย่างต่อมา ภาครัฐจะต้องกลับไปพิจารณาปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น กฎหมายพิเศษที่ใช้ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่ก่อให้เกิดวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ จะต้องได้รับการแก้ไขหรือถูกยกเลิกหากไม่สามารถแก้ไขให้สอดคล้องตามหลักสากลได้

สุดท้าย ภาครัฐจะต้องกลับมาฟังเสียงผู้ที่ได้รับผลกระทบว่าต้องการความช่วยเหลือหรือการเยียวยาเพิ่มเติมหรือไม่ เพราะหลายคนยังได้รับผลกระทบมาถึงปัจจุบัน เช่น ผู้เสียหายรายหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจนไม่สามารถเดินได้และต้องเข้ารับการรักษาอยู่ตลอดเวลา การจ่ายเงินจำนวนนับล้านภายในครั้งเดียวอาจไม่สามารถช่วยเยียวยาไปได้ตลอด

พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุว่าเหตุการณ์ตากใบนับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราม การทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย หรือ ‘พ.ร.บ.อุ้มหาย’ และเขียนกฎหมายดังกล่าวให้ชัดเจนว่าการควบคุมตัวบุคคลนั้นไม่สามารถปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมได้ และแม้ว่าจะไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังด้วยกฎหมายฉบับนี้ หรือมีความพยายามในการบิดพลิ้วกระบวนการยุติธรรม แต่ภาครัฐสามารถตอบสนองให้เกิดความยุติธรรมได้ในหลากหลายช่องทาง ทว่าขณะนี้กลับพบว่าภาครัฐปล่อยให้คดีค่อยๆ หมดอายุความไป พร้อมกับระบุว่ามีการคุกคามอย่างไม่หยุดหย่อน เนื่องจากไทยประกาศลงสมัครเลือกตั้งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (UNHRC) ผลของคดีตากใบอาจมีผลต่อการพิจารณาการเข้าเป็นคณะมนตรีดังกล่าวของไทย

ความยุติธรรมของ ‘ตากใบ’ ที่จะไม่มีวันหมดอายุ

แบมะระบุว่า หากได้รับความยุติธรรม ชาวบ้านจะได้รับรู้ว่าการเสียชีวิตของคนที่รักนั้นไม่สูญเปล่า และมีความยุติธรรมในจังหวัดชายแดนใต้และประเทศไทย และการเสียชีวิตมีผู้กระทำความผิดจริงไม่ใช่เพียงเพราะขาดอากาศหายใจ แต่หากผลลัพธ์เป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ก็จะยิ่งเป็นการตอกย้ำกับชาวบ้านว่า พื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ยังไม่มีความยุติธรรม ยิ่งจะทำให้ความรู้สึกแย่ลง ความทรงจำ ประวัติศาสตร์ ความสูญเสีย ความค้างคาใจจะยังคงอยู่ แม้จะหมดอายุความไปแล้วก็ตาม

‘No justice, No peace – หากไม่มีความยุติธรรม ก็ปราศจากสันติภาพ’ นี่คือสิ่งที่ซาฮารีเน้นย้ำ โดยระบุว่า ถ้าคดีตากใบทำให้เห็นว่าความยุติธรรมเกิดขึ้นกับประชาชนได้ จะเห็นถึงความจริงใจของรัฐต่อประชาชนอย่างที่รัฐมักจะกล่าวว่าเป็นประชาชนของตนเองอยู่เสมอ ซึ่ง “ความจริงใจมันเป็นนามธรรม จะเป็นรูปธรรมได้ด้วยการปฏิบัติของรัฐ” แม้ว่าภาคปฏิบัติยังมีอุปสรรคที่ทำให้ความยุติธรรมยังไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในตอนนี้ก็ตาม 

ซาฮารีระบุว่า แม้ว่าจะไม่สำเร็จ ไม่มีความยุติธรรมสำหรับเหตุการณ์ตากใบ ในภาคประชาสังคมจะต้องยึดมั่นในการทำงานและสู้ในเรื่องอื่นๆ ต่อไป ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือการทำให้ประชาชนในพื้นที่ที่มีอัตลักษณ์แตกต่างจากพื้นที่อื่นในประเทศนั้น เชื่อมั่นในแนวทางสันติวิธีและประชาธิปไตยในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ความรุนแรง

เช่น การเลือกตัวแทนไปคุยในรัฐสภา เพื่อให้มีตัวแทนผลักดันให้ประเด็นของจังหวัดชายแดนใต้เป็นวาระแห่งชาติให้ได้ และอย่างน้อยขณะนี้ สภาผู้แทนราษฎรก็มีกรรมาธิการวิสามัญที่ทำการศึกษาสันติภาพในพื้นที่ชายแดนใต้ โดยหวังว่าจะมีตัวรายงานการศึกษาที่เป็นรูปธรรมเพื่อให้สภาฯ พิจารณาเร็วๆ นี้ 

และเสนอว่ารัฐบาลพลเรือนจะต้องมีบทบาทมากกว่านี้ และต้องพยายามผลักดันให้รัฐบาลกลางใช้ประชาธิปไตยในการแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ถ้าให้ทหารนำการแก้ปัญหาก็จะย้อนกลับไปสู่ความรุนแรง เนื่องจากแนวทางในการแก้ไขปัญหาทุกวันนี้ยังคงเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงหรือทหาร อย่างสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) โดยแก้ปัญหามา 20 ปีแล้ว และใช้งบประมาณไปกว่า 500,000 ล้าน ก็ยังคงเกิดเหตุดังที่ปรากฏตามหน้าสื่อ 

ส่วนอูเซ็งระบุว่า แม้การที่จะมีการตัดสินความผิดนั้นยังเป็นเรื่องที่ยาวไกล แต่หากศาลมีคำสั่งว่าคดีมีมูล ประชาชนก็ชนะไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะอย่างน้อยที่สุด สิ่งนี้จะสะท้อนคุณค่าในการมีชีวิตของบุคคล ที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 

และหากถึงแม้คนผิดจะลอยนวลเนื่องด้วยคดีหมดอายุความ แต่นั่นก็เป็นเพียงเรื่องอายุความตามกฎหมายเท่านั้น โดยที่เรายังคงจะต้องยืนหยัดเรียกร้องความยุติธรรมด้วยกลไกอื่นๆ ให้กับพื้นที่ชายแดนภาคใต้ต่อไป อย่างน้อยก็เพื่อเป็นแรงกดดันให้รัฐบาลเห็นถึงความสำคัญและมีความระมัดระวังมากขึ้นในการใช้อำนาจ  พร้อมกับที่จะต้องเรียกร้องให้มีการยุติการกระทำที่รุนแรงทารุณโหดร้าย ไม่ว่าจะกระทำในที่ชุมนุม การควบคุมตัว และไม่ว่าจะกระทำกับใครก็ตาม ให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองสิทธิเอาไว้

ทั้งนี้ การนัดไต่สวนมูลฟ้องครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในวันที่ 19 และ 26 กรกฎาคม 2567 ซึ่งต้องจับตาดูต่อไปว่าศาลจะประทับรับฟ้องเป็นคดีอาญาหรือไม่ ก่อนที่อายุความจะสิ้นสุดลงในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 เพราะถือว่านี่ไม่ใช่เพียงความยุติธรรมของคนตากใบ แต่นี่เป็นเรื่องความยุติธรรมที่จะรับประกันกับทั้งสังคมไทยว่าจะได้รับความเป็นธรรมหากถูกกระทำเฉกเช่นเดียวกับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ตากใบ เมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว