3 Min

รู้ไหม ในสมัยพุทธกาลคนไม่ได้กิน ‘เหล้า’ และที่เรียกว่า ‘สุรา’ นั้นก็ไม่ใช่ ‘เหล้า’

3 Min
1355 Views
01 Aug 2022

ในสังคมไทยทุกวันนี้ วันพระใหญ่ก็จะไม่ขายเหล้ากัน ซึ่งบางทีมันชวนให้เรานึกถึงบทสวดที่เราต้องสวดในโรงเรียนตอนเด็กๆ ว่าสุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิซึ่งบทนี้คือบทที่เรียกว่าสมาทานศีลห้า

บทนี้แหละคือที่มาของข้อห้ามว่า ทำไมวันพระใหญ่ไทย เขาถึงห้ามขายเหล้า

ตรงนี้เราคงไม่พูดถึงความเหมาะสมของข้อห้ามนี้ เพราะในรัฐที่ไม่ใช่รัฐศาสนามันไม่เหมาะสมอยู่แล้วที่จะบังคับใช้ข้อห้ามทางศาสนาหนึ่งๆ กับพลเมืองทั้งหมด

แต่เราจะถามแบบคนขี้สงสัยว่า แล้วอะไรคือสุราที่พระพุทธเจ้าห้ามในศีล 5 กันแน่?

อย่างแรกเลย ในบทสมาทานศีล 5 มันมีน้ำเมา’ 3 ชนิด คือ สุรา เมระยะ และ มัชชะ

เมระยะ (หรือ เมรัย) คือเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำอ้อยหมักใส่เครื่องเทศ (อาจคล้ายๆรัม’) ส่วนมัชชะคือเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผึ้ง ซึ่งในตะวันตกเรียกว่ามี้ด

แล้วทีนี้สุราคืออะไร? บางคนอาจแปลตรงตัวในภาษาปัจจุบันว่ามันคือเหล้ากลั่นจากธัญพืช ดังที่เราใช้กันทุกวันนี้

คำตอบคือ ผิด! เพราะจากบันทึกทั้งหลาย ซึ่งเป็นพื้นฐานความเข้าใจประวัติศาสตร์อาหารยุคปัจจุบัน ชนชาติแรกๆ ที่ผลิตเหล้ากลั่นกันเป็นล่ำเป็นสันคือพวกอาหรับ และผลิตในช่วงยุคกลาง หรือพูดอีกแบบคือการกลั่นเหล้าเป็นผลผลิตทางเทคโนโลยีของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุในโลกมุสลิม ก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะแพร่หลายเข้าไปในยุโรป ซึ่งยุคแรกๆ เขาใช้เหล้ากลั่นกันเป็นยาไม่ได้กินเอาเมา

ช่วงเวลาที่ว่าคือหลังพุทธกาลเป็นพันปี ดังนั้นการเคลมว่าคนอินเดียกินเหล้ากลั่นกันแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จึงขัดแย้งกับองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์อาหารในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง

มาถึงคำถามว่าแล้วสุราคืออะไร?

แน่นอนว่าในบันทึกทางพุทธศาสนาคงไม่มี แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่าสุรานั้นมีบันทึกมากมายในคัมภีร์ทางพราหมณ์ฮินดู ซึ่งบันทึกจำนวนไม่น้อยเก่าแก่ว่าพุทธศาสนาอีก

และที่เขามีบันทึก ก็เพราะว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในพิธีกรรมทางพราหมณ์ ซึ่งจริงๆ เวอร์ชั่นในพิธีกรรม ก็น่าจะต่างจากเวอร์ชั่นที่ชาวบ้านทำกินเอง และจริงๆ บันทึกก็มีวิธีทำหลายอย่างในรายละเอียด แต่เราสรุปรวมได้ว่า สุราคือเครื่องดื่มที่เกิดจากการเอาข้าวงอก ข้าวบาร์เลย์งอก และข้าวฟ่างงอก มาหมักรวมกันกับหัวเชื้อพร้อมเครื่องเทศประมาณ 3 วัน แล้วก็กรองออกมากิน (เน้นว่าต้องใช้ธัญพืชที่ไปทำให้งอกแล้ว ซึ่งในปัจจุบันบ้างก็จะเรียกสิ่งนี้ว่ามอลต์‘)

ความต่างกันก็คือ บางสูตรก็จะแบ่งข้าวบางชนิดเป็นแบบงอกกับแบบตากแห้งแล้วใส่ผสมกัน บางสูตรใส่ถั่วไปด้วย บางสูตรใส่นม แต่พื้นฐานคือเหมือนกันหมด คือหมัก 3 วันแล้วเอามากรอง สิ่งที่ได้เรียกว่าสุรา

ตรงนี้ถ้าใครเคยคุ้นกับกระบวนการทำเบียร์มาบ้าง ก็คงจะรู้สึกว่ากระบวนการทำสุราสมัยพุทธกาล มันดูคล้ายการหมักเบียร์มากกว่าเหล้าซึ่งพวกคนที่ศึกษาเบียร์เขาก็เคลมกันแบบนั้น เพราะจริงๆ สุราน่าจะเป็นเบียร์ชนิดแรกๆ ของมนุษยชาติ ที่มีบันทึกแบบละเอียดเลยว่าทำยังไง (เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่เก่าแก่พอๆ กับอารยธรรมมนุษย์ แต่ปัญหาคือมันแทบไม่มีบันทึกอย่างละเอียดเลยว่าในยุคโบราณเขาทำเบียร์กันยังไง)

ซึ่งที่มาของบันทึกก็อย่างที่ว่านี่เอง มันบังเอิญเป็นเครื่องดื่มในพิธีกรรมทางพราหมณ์

นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ว่าสุราแบบที่ชาวบ้านสมัยพุทธกาลกินกันมันหน้าตายังไง เพราะสุราในเวอร์ชั่นชาวบ้าน ก็อาจจะดิบๆ แบบเอาข้าวงอก 2-3 ชนิด โยนไปในไหพร้อมๆ กับหัวเชื้อ แล้วผ่านไป 3 วันก็เอามากรองกินก็ได้ ซึ่งถ้าให้เดา รสชาติมันก็น่าจะออกมาคล้ายๆ สาโท และถ้าใครเคยกินก็คงจะรู้ว่ามันเมาหัวทิ่มแค่ไหน

และถ้าไปดูย้อนในข้อห้ามในศีล 5 แล้ว ก็น่าจะสรุปได้ว่าน้ำเมาหลักของคนอินเดียสมัยนั้น ก็น่าจะเป็นสุราจริงๆ เพราะมันถูกกล่าวถึงก่อน เมระยะ และ มัชชะ

ถ้าไปอินเดียทุกวันนี้ เครื่องดื่มที่เรียกว่าสุรานั้นก็ไม่มีอีกแล้ว มันเป็นอีกสิ่งที่เสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา ที่สำคัญกว่านั้น จริงๆ แล้วอินเดียทุกวันนี้ก็เต็มไปด้วยน้ำเมาสารพัดชนิด ไม่แปลกเลยที่ประเทศไซส์ขนาดนี้จะมีทางเลือกของความเมาหลากหลายขนาดนั้น

อ้างอิง