รู้ไหม ในสมัยพุทธกาลคนไม่ได้กิน ‘เหล้า’ และที่เรียกว่า ‘สุรา’ นั้นก็ไม่ใช่ ‘เหล้า’
ในสังคมไทยทุกวันนี้ วันพระใหญ่ก็จะไม่ขายเหล้ากัน ซึ่งบางทีมันชวนให้เรานึกถึงบทสวดที่เราต้องสวดในโรงเรียนตอนเด็กๆ ว่า ‘สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ’ ซึ่งบทนี้คือบทที่เรียกว่า ‘สมาทานศีลห้า’
บทนี้แหละคือที่มาของข้อห้ามว่า ทำไมวันพระใหญ่ไทย เขาถึง ‘ห้ามขายเหล้า’
ตรงนี้เราคงไม่พูดถึงความเหมาะสมของ ‘ข้อห้าม’ นี้ เพราะในรัฐที่ไม่ใช่ ‘รัฐศาสนา’ มันไม่เหมาะสมอยู่แล้วที่จะบังคับใช้ข้อห้ามทางศาสนาหนึ่งๆ กับพลเมืองทั้งหมด
แต่เราจะถามแบบ ‘คนขี้สงสัย’ ว่า แล้วอะไรคือ ‘สุรา’ ที่พระพุทธเจ้าห้ามในศีล 5 กันแน่?
อย่างแรกเลย ในบทสมาทานศีล 5 มันมี ‘น้ำเมา’ 3 ชนิด คือ สุรา เมระยะ และ มัชชะ
เมระยะ (หรือ เมรัย) คือเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำอ้อยหมักใส่เครื่องเทศ (อาจคล้ายๆ ‘รัม’) ส่วน ‘มัชชะ’ คือเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผึ้ง ซึ่งในตะวันตกเรียกว่า ‘มี้ด’
แล้วทีนี้ ‘สุรา’ คืออะไร? บางคนอาจแปลตรงตัวในภาษาปัจจุบันว่ามันคือ ‘เหล้ากลั่น’ จากธัญพืช ดังที่เราใช้กันทุกวันนี้
คำตอบคือ ผิด! เพราะจากบันทึกทั้งหลาย ซึ่งเป็นพื้นฐานความเข้าใจประวัติศาสตร์อาหารยุคปัจจุบัน ชนชาติแรกๆ ที่ผลิต ‘เหล้ากลั่น’ กันเป็นล่ำเป็นสันคือพวกอาหรับ และผลิตในช่วงยุคกลาง หรือพูดอีกแบบคือการ ‘กลั่นเหล้า‘ เป็นผลผลิตทางเทคโนโลยีของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุในโลกมุสลิม ก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะแพร่หลายเข้าไปในยุโรป ซึ่งยุคแรกๆ เขาใช้ ‘เหล้ากลั่น‘ กันเป็น ‘ยา’ ไม่ได้กินเอาเมา
ช่วงเวลาที่ว่าคือหลังพุทธกาลเป็นพันปี ดังนั้นการเคลมว่าคนอินเดียกิน ‘เหล้ากลั่น’ กันแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล จึงขัดแย้งกับองค์ความรู้ด้านประวัติศาสตร์อาหารในปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
มาถึงคำถามว่าแล้ว ‘สุรา’ คืออะไร?
แน่นอนว่าในบันทึกทางพุทธศาสนาคงไม่มี แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เรียกว่า ‘สุรา’ นั้นมีบันทึกมากมายในคัมภีร์ทางพราหมณ์–ฮินดู ซึ่งบันทึกจำนวนไม่น้อยเก่าแก่ว่าพุทธศาสนาอีก
และที่เขามีบันทึก ก็เพราะว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ในพิธีกรรมทางพราหมณ์ ซึ่งจริงๆ เวอร์ชั่นในพิธีกรรม ก็น่าจะต่างจากเวอร์ชั่นที่ชาวบ้านทำกินเอง และจริงๆ บันทึกก็มีวิธีทำหลายอย่างในรายละเอียด แต่เราสรุปรวมได้ว่า สุราคือเครื่องดื่มที่เกิดจากการเอาข้าวงอก ข้าวบาร์เลย์งอก และข้าวฟ่างงอก มาหมักรวมกันกับหัวเชื้อพร้อมเครื่องเทศประมาณ 3 วัน แล้วก็กรองออกมากิน (เน้นว่าต้องใช้ธัญพืชที่ไปทำให้ ‘งอก‘ แล้ว ซึ่งในปัจจุบันบ้างก็จะเรียกสิ่งนี้ว่า ‘มอลต์‘)
ความต่างกันก็คือ บางสูตรก็จะแบ่งข้าวบางชนิดเป็นแบบงอกกับแบบตากแห้งแล้วใส่ผสมกัน บางสูตรใส่ถั่วไปด้วย บางสูตรใส่นม แต่พื้นฐานคือเหมือนกันหมด คือหมัก 3 วันแล้วเอามากรอง สิ่งที่ได้เรียกว่า ‘สุรา’
ตรงนี้ถ้าใครเคยคุ้นกับกระบวนการทำเบียร์มาบ้าง ก็คงจะรู้สึกว่ากระบวนการทำ ‘สุรา’ สมัยพุทธกาล มันดูคล้ายการหมักเบียร์มากกว่า ‘เหล้า’ ซึ่งพวกคนที่ศึกษาเบียร์เขาก็เคลมกันแบบนั้น เพราะจริงๆ สุราน่าจะเป็น ‘เบียร์’ ชนิดแรกๆ ของมนุษยชาติ ที่มีบันทึกแบบละเอียดเลยว่าทำยังไง (เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่เก่าแก่พอๆ กับอารยธรรมมนุษย์ แต่ปัญหาคือมันแทบไม่มีบันทึกอย่างละเอียดเลยว่าในยุคโบราณเขาทำเบียร์กันยังไง)
ซึ่งที่มาของบันทึกก็อย่างที่ว่านี่เอง มันบังเอิญเป็นเครื่องดื่มในพิธีกรรมทางพราหมณ์
นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ว่า ‘สุรา’ แบบที่ ‘ชาวบ้านสมัยพุทธกาล’ กินกันมันหน้าตายังไง เพราะ ‘สุรา’ ในเวอร์ชั่นชาวบ้าน ก็อาจจะดิบๆ แบบเอาข้าวงอก 2-3 ชนิด โยนไปในไหพร้อมๆ กับหัวเชื้อ แล้วผ่านไป 3 วันก็เอามากรองกินก็ได้ ซึ่งถ้าให้เดา รสชาติมันก็น่าจะออกมาคล้ายๆ สาโท และถ้าใครเคยกินก็คงจะรู้ว่ามัน ‘เมาหัวทิ่ม’ แค่ไหน
และถ้าไปดูย้อนในข้อห้ามในศีล 5 แล้ว ก็น่าจะสรุปได้ว่า ‘น้ำเมา’ หลักของคนอินเดียสมัยนั้น ก็น่าจะเป็น ‘สุรา’ จริงๆ เพราะมันถูกกล่าวถึงก่อน เมระยะ และ มัชชะ
ถ้าไปอินเดียทุกวันนี้ เครื่องดื่มที่เรียกว่า ‘สุรา’ นั้นก็ไม่มีอีกแล้ว มันเป็นอีกสิ่งที่เสื่อมความนิยมไปตามกาลเวลา ที่สำคัญกว่านั้น จริงๆ แล้วอินเดียทุกวันนี้ก็เต็มไปด้วย ‘น้ำเมา’ สารพัดชนิด ไม่แปลกเลยที่ประเทศไซส์ขนาดนี้จะมีทางเลือกของความเมาหลากหลายขนาดนั้น
อ้างอิง
- Wikipedia. Sura (alcoholic drink). https://en.wikipedia.org/wiki/Sura_(alcoholic_drink)
- Beer Studies. The surā beer in the Brahmanic tradition (500 BC to 600). https://bit.ly/3BmoCwh
- Beer Studies. Technical diagrams for brewing the surā beer. https://bit.ly/3oEHz5D