นักเรียนตีกันมีแต่ยุคโบราณ นักศึกษาเยอรมันในศตวรรษที่ 18 ‘พกดาบ’ ไปเรียนเป็นปกติ เลิกเรียนก็ไปเมา แล้วดวลดาบกัน
เวลาพูดถึง ‘นักเรียนตีกัน’ เรามักจะนึกถึง ‘เด็กช่างตีกัน’ ของไทย ไปจนถึงพวก ‘นักเรียนเกเรตีกัน’ ที่เราเห็นในการ์ตูนญี่ปุ่น หลายคนจึงอาจสงสัยว่าพวก ‘ฝรั่ง’ ไม่ตีกันเลยเหรอ? คำตอบคือมีและเถื่อนด้วย ทั้งยังไม่ใช่ ‘นักเรียนมัธยม’ ที่ตีกัน แต่เป็น ‘เด็กมหา’ลัย’ ในอดีต
เรื่องที่จะเล่าให้ฟังนี้คือ ‘เรื่องปกติ’ ของชีวิตมหาวิทยาลัยในดินแดนที่ใช้ภาษาเยอรมันช่วงศตวรรษที่ 18 ซึ่งคนไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ เพราะถ้าไปอ่านงานทางความคิด พวกนักคิดก็จะไม่กล่าวถึงเรื่องพวกนี้ แต่พวกนักประวัติศาสตร์สังคมได้บันทึกเรื่องพวกนี้ไว้เป็นอย่างดี
ย้อนกลับไปในโลกช่วง 200-300 ปีก่อน โลกภาษาเยอรมัน (ตอนนั้นยังไม่มีประเทศเยอรมัน แต่มีหลายๆ รัฐที่ใช้ภาษาเยอรมันเหมือนกัน) เป็นโลกที่มีมหาวิทยาลัยเยอะที่สุด ซึ่งเป็นผลโดยตรงของการปฏิรูปศาสนาในช่วงศตวรรษที่ 16 การที่รัฐต่างๆ ในโลกภาษาเยอรมันแยกตัวออกจากศาสนจักร ทำให้รัฐนั้นต้องมีการผลิตพระและบุคลากรด้านต่างๆ ของรัฐขึ้นมาใหม่เพื่อทดแทนพวกพระจากศาสนจักรที่เคยทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาก่อน ในยุคที่อาณาจักรและศาสนจักรยังไม่แยกกัน
เมื่อรัฐขาดเจ้าหน้าที่รัฐที่มาจากศาสนจักร ก็เลยมีการตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นมาสร้างบุคลากรตอบโจทย์ นี่เลยทำให้คณะนิติศาสตร์ในโลกภาษาเยอรมันแข็งแรงมายาวนาน เพราะคณะพวกนี้มีหน้าที่ผลิตเจ้าหน้าที่มาทำงานให้รัฐ และเป็นเหตุผลที่ทำให้สิ่งที่เรียกว่า ‘ระบบราชการ’ พัฒนาขึ้นมาในโลกภาษาเยอรมันเป็นที่แรกๆ ด้วย
อย่างไรก็ดี การมีมหาวิทยาลัยมากๆ ก็ไม่ได้หมายความว่าคนจะตั้งใจเรียนกันเป็นปกติ สมัยนั้น ชีวิตมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องของชนชั้นสูงที่สมัยนี้เรียกว่าอภิชน (Aristocrat) ล้วนๆ คนพวกนี้ไม่ต้องเรียนหนังสือก็มีกินอยู่แล้วเพราะบ้านรวย แต่ที่บ้านก็ส่งมาเรียนให้มีความรู้ให้สมสถานะทางสังคม ซึ่งผลรวมๆ ก็อาจจะไม่ได้ต่างจากมหาวิทยาลัยไทย เพราะครั้งหนึ่งปัญญาชนไทยอย่าง ‘เสกสรรค์ ประเสริฐกุล’ เคยเรียกมหาวิทยาลัยว่าเป็น ‘โรงเลี้ยงเด็กของชนชั้นกลาง’ เพียงแต่สมัยโน้นมหาวิทยาลัยเยอรมันเป็น ‘โรงเลี้ยงเด็กของชนชั้นสูง’
คือคนเข้ามหา’ลัยและตั้งใจเรียนมันก็มี แต่น้อย เพราะคนส่วนใหญ่ที่ไปเรียนมหาวิทยาลัยในยุคนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจเรียน โดดเรียนกันเป็นเรื่องปกติ และก็ใช้ชีวิตมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ไปกับการดื่มเบียร์และเมามาย
บางคนที่เกิดทันในยุคที่มหาวิทยาลัยไทยจำนวนมากสามารถ ‘กินเหล้าใต้คณะ’ ได้ก็คงรู้สึกว่าอะไรพวกนี้ก็คล้ายๆ เรา แต่จริงๆ อาจไม่ใช่ เพราะพวกนี้ ‘เถื่อน’ กว่าเยอะ
เด็กมหาวิทยาลัยสมัยนั้นเป็นดังที่บอกว่าคือพวก ‘อภิชน’ ซึ่งการเป็นอภิชนนั้นมีสิทธิโดยกำเนิดอย่างหนึ่งก็คือการ ‘พกดาบ’ ซึ่งยุคนั้นคนชนชั้นอื่นๆ ในยุโรปไม่มีสิทธิ์จะพกดาบได้ มีแต่พวกอภิชนเท่านั้นที่ทำได้ และพวกอภิชนรุ่นเยาว์ก็ยืนยันจะพกดาบไปเรียนมหาวิทยาลัยด้วย
ซึ่งก็แน่นอน นี่หมายถึงการพกดาบไปเมาเบียร์ และคนเมาแล้วเถียงกันหรือทะเลาะกันก็เป็นเรื่องปกติไม่ว่ายุคนั้นหรือยุคไหน และด้วยวัฒนธรรมของอภิชนยุคนั้น การยุติข้อขัดแย้งใดๆ เขาใช้การ ‘ดวลดาบ’ กัน อภิชนรุ่นเยาว์ที่กำลังเมาก็เช่นกัน ดังนั้นฉากที่เห็นปกติในชีวิตมหาวิทยาลัยยุคนั้นก็คือนักศึกษาดวลดาบกันและมีเพื่อนๆ เชียร์ ซึ่งโดยทั่วไปการต่อสู้ก็จะไม่คอขาดบาดตาย แต่การเลือดตกยางออกและ ‘ได้แผลเป็น’ ก็เรื่องปกติมากๆ
นอกจากนี้ ในยุคนั้นนักศึกษาจะมีการแบ่งเป็นกลุ่มตามหอพักที่มีระบบรุ่นพี่รุ่นน้อง ซึ่งคือระบบที่เรียกว่า Fraternity House (ไม่รู้จะแปลไทยยังไงดี เพราะไทยไม่มีระบบนี้) ซึ่งกลุ่มพวกนี้บางทีก็มีการเมาแล้วตีกัน และก็อาจคล้ายๆ การตีกันระหว่างสถาบันในไทย เพียงแต่กรณีนี้นี่คือการตีกันในมหา’ลัยเดียวกัน แต่คนละหอ และตีกันด้วย ‘ดาบจริง’
และพวกนี้ก็ไม่ใช่แค่ตีกันเอง เพราะบางทีพวกเขาก็ก่อจลาจล และเหตุผลในการลุกฮือของพวกนักศึกษาขี้เมาเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องการเมืองอะไรเลย แต่อาจจะเป็นเรื่องบ้าๆ บอๆ อย่าง ‘เบียร์ขึ้นราคา’ และการจลาจลพวกนี้ก็ไม่ใช่สเกลเล็กๆ แต่รุนแรงในระดับที่บางทีรัฐต้องเอา ‘ทหาร’ มา ‘สลายการชุมนุม’ เลย
นี่คือชีวิตปกติในมหาวิทยาลัยของโลกเยอรมันเมื่อครั้งอดีต และก็แน่นอนว่าพวกอาจารย์ที่ตั้งใจสอนก็ไม่แฮปปี้ และคนที่ ‘ลุกขึ้นสู้’ กับพวกนักศึกษาคนแรกๆ ที่โด่งดังคือนักปรัชญาเยอรมันที่โด่งดังในยุคนั้นอย่างฟิชเต (Fichte) โดยมีการบันทึกไว้ว่าในปี 1795 ฟิชเตไปสอนที่มหาวิทยาลัยเจนา และก็เจอสภาพอย่างที่เล่ามา นักศึกษาเมามายกันตามสโมสรนักศึกษาปกติ พิชเตมองว่าพวกระบบหอนี่เป็นการส่งต่อวัฒนธรรมสำมะเลเทเมากันมารุ่นต่อรุ่น และเสนอให้ยกเลิกระบบนี้เสีย นักศึกษาจะได้ตั้งใจเรียน มหาวิทยาลัยก็จะได้เป็นมหาวิทยาลัย
การพูดอะไรแบบนี้ในยุคปัจจุบันอาจฟังดูเป็นเรื่องปกติมาก แต่อยากให้ลองเทียบกับไทย ถ้ามีอาจารย์สักคนเรียกร้องให้พวกนักศึกษาเลิกระบบอย่าง ‘Sotus’ ให้หมด อะไรจะเกิดขึ้น?
ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับฟิชเตและครอบครัวในสมัยนั้น ‘เถื่อน’ กว่ายุคนี้มาก เพราะนักศึกษารุ่นพี่ขี้เมาทั้งหลายเอาหินไปปาบ้านฟิชเต รวมถึงยกพวกไปล้อม โทษฐานที่อาจารย์ปรัชญาหนุ่มผู้นี้ไปท้าทาย ‘สถาบันทางวัฒนธรรม’ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ดำเนินมาหลายร้อยปี และเรียกได้ว่าเกิดเป็นจลาจลย่อมๆ ฟิชเตและครอบครัวต้องหนีออกนอกเมือง และสุดท้ายทางภาครัฐก็ต้องยกทหารมายุติการจลาจลของนักศึกษา และตอนนั้นแหละฟิชเตถึงจะกลับมาสอนหนังสือได้
นี่เป็นเกร็ดเพี้ยนๆ ของชีวิตวัยรุ่นยุโรปยุคหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้รู้นัก ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่ายุคก่อนศตวรรษที่ 19 คนจะได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยมีน้อยมาก มีแค่พวกอภิชนกลุ่มเล็กๆ กับลูกพ่อค้ารวยๆ บางคนเท่านั้นที่จะได้เรียนสูงขนาดนี้
และถ้าสงสัยว่าการตีกันไปจนถึงการพกดาบในมหาวิทยาลัยหายไปเมื่อไร มีการประเมินกันว่ามันค่อยๆ เปลี่ยนไปในศตวรรษที่ 19 คือหลังปฏิวัติฝรั่งเศส อภิชนทั่วยุโรปเสื่อมอำนาจ ชนชั้นกระฎุมพี หรือพวกพ่อค้ารวยๆ เริ่มมามีอำนาจแทน และชนชั้นนี้รวมทั้งลูกหลานของพวกเขาก็ไม่ได้มีพฤติกรรมพกดาบไปไหนมาไหน ระเบียบสังคมมันเปลี่ยนไป การพกอาวุธไปไหนมาไหนค่อยๆ กลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั่วโลกตะวันตก (โอเค ยกเว้นสหรัฐอเมริกา) และยุคที่นักศึกษาเมาแล้วเอาดาบมาดวลกันก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนในที่สุด
อ้างอิง
- Michael J. Hofstetter, The Romantic Idea of A University: England and Germany, 1770–1850, (New York: Palgrave, 2001), pp. 5, 44