หลายคนคงรู้สึกว่านักกีฬาที่โด๊ปยาก่อนแข่งนี่เป็นพวกไม่ดีเลย เป็นพวกขี้โกง องค์การกีฬาใหญ่ๆ ทั้งหลายก็ออกมาพูดกันยกใหญ่กว่าการโด๊ปยามันขัดกับ ‘สปิริตของการเล่นกีฬา’ แต่รู้ไหมว่าจริงๆ แล้วแนวคิดที่ว่าการโด๊ปเพื่อสมรรถภาพในการแข่งขันของนักกีฬาเป็นสิ่งไม่ดีนั้น มันเพิ่งมาแพร่หลายเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้เอง
ในอดีตกาลนานมา อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่กีฬาโอลิมปิกครั้งแรก นักกีฬาทุกคนใช้สารกระตุ้นเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพเต็มที่ของการแข่งขันกันทั้งนั้น นี่เป็นเรื่องปกติและทุกคนก็คาดหวังให้นักกีฬาทำแบบนั้น เพราะกีฬามันคือการประลองร่างกาย การทำให้ร่างกายพีคสุดก็ย่อมเป็นสิ่งพึงประสงค์ พวกโรมันก็คิดแบบนี้ และคนยุโรปก็คิดแบบนี้เรื่อยมา ความคิดที่ว่าเป็นนักกีฬาร่างกายต้องคลีน ปลอดสารกระตุ้นอะไรทั้งหลายนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยปรากฏเลยในโลกก่อนศตวรรษที่ 20
และที่โหดมากๆ กว่านั้นคือ ในศตวรรษที่ 19 พวกหมอประจำตัวของนักกีฬาด้วยซ้ำที่บอกว่านักวิ่งระยะไกลจำเป็นต้องใช้สารกระตุ้นให้แข่งได้ ไม่งั้นร่างกายมันไม่ไหว พูดง่ายๆ ในสมัยก่อนไม่ใช่แค่ไม่ห้ามนักกีฬาโด๊ปยาเท่านั้น แต่ทุกๆ ฝ่ายก็คาดหวังให้นักกีฬาโด๊ปยาก่อนลงแข่งด้วยซ้ำ เป็นงั้นไป
แล้วไอ้การแบนการใช้สารกระตุ้นนี่มันเริ่มมาเมื่อไหร่ ยังไง?
คืออย่างนี้ ในโลกยุคโบราณเนี่ย เทคโนโลยีการสกัดสารต่างๆ ยังไม่ซับซ้อน และในความคิดของคน อาหารกับยามันก็ไม่ได้ต่างกัน เช่นการไปกินเห็ดอะไรสักอย่างเพื่อกระตุ้นให้คึกคักรู้สึกไม่เหน็ดเหนื่อยนี่ จริงๆ ความรู้สึกของเขามันไม่ใช่การกินยา แต่เป็นการกินอาหาร ดังนั้นวิธีคิดแบบนี้ในแง่หนึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากแนวคิดปัจจุบันที่ว่านักกีฬาต้องกิน ‘อาหาร’ ให้เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายอยู่ในสภาพที่พีคสุดๆ เพราะโลกยุคโบราณอาหารกับยาไม่ใช่สิ่งที่แยกกันชัด ‘ยา’ แบบสมัยนี้ที่เป็นสารสกัดเฉพาะ ให้ผลเฉพาะมันยังไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาขึ้น ทำให้มนุษย์สามารถสังเคราะห์และสกัดสารออกมาได้สารพัด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ มันทำให้เกิด ‘ยา’ ที่มีความเข้มข้นของสารสารพัดสูงมาก ในเคสกีฬามันก็จะมีสารที่ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันสารพัด ซึ่งช่วงแรกๆ นักกีฬากินเข้าไปก็เห็นแต่ผลลัพธ์กับร่างกาย ณ ตอนนั้น ไม่เห็นไซด์เอฟเฟ็คต์ แต่กินไปนานๆ มันมีผลค้างเคียงที่คาดไม่ถึง หรือบางทีกินมากไปก็ทำให้เกิดการโอเวอร์โดสได้ทันที และเมื่อเกิดผลเสียเหล่านี้เองการแบนสารเหล่านี้ในการเล่นกีฬาจึงค่อยๆ เริ่มขึ้น
จริงๆ ถ้าจะเล่าถึงประวัติว่าสารอะไรถูกแบนบ้างก็คงต้องเขียนหนังสือเป็นเล่มเลย เพราะมันมีเยอะมาก แต่อยากเล่าสั้นๆ ว่าหลักๆ แล้ว สารที่ถูกแบนมันมีแบ่งง่ายๆ (เน้นว่าง่ายๆ นะ) ได้เป็น 2 ชนิดตามสรรพคุณของมัน คุณสมบัติอย่างแรก คือการทำให้ไม่เหนื่อย ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญของบรรดากีฬาที่ใช้ความอึด เช่น การวิ่งระยะไกล การปั่นจักรยาน อีกคุณสมบัติ คือการสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก ซึ่งเป็นคุณสมบัติสำคัญที่กีฬาที่ต้องใช้แรงมากๆ ในระยะสั้น อย่างการยกน้ำหนัก และกรีฑาประเภทต่างๆ
ประวัติของการแบนสารกระตุ้นของสมาคมกีฬาทั่วโลกก็เรียกได้ว่าคือการไล่แบนสารที่มีสรรพคุณ 2 อย่างนี้ ซึ่งลิสต์มันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะตัวนักกีฬา (รวมถึงโค้ช) ก็จะไปหาสารกระตุ้นที่ ‘ยังไม่ถูกแบน’ หรือยังไม่มีวิธีตรวจพบมาให้นักกีฬาใช้เรื่อยๆ ดังนั้นวิธีคิดเรื่องความคลีนของร่างกายนั้นจึงแทบไม่มีอยู่เลยในโลกของการแข่งขันกีฬาแบบเอาเป็นเอาตาย เพราะโจทย์มีอยู่แค่อย่างเดียวเท่านั้นคือ การทำยังไงก็ได้ให้ตรวจไม่เจอ ซึ่งวิธีที่เซฟสุดก็คือใช้สารที่ยังไม่มีการห้าม ส่วนพวกที่ขี้โกงหน่อยก็เอาฉี่คนอื่นมาให้ตรวจแทนก็มี และร้ายกว่านั้นก็คือ นักกีฬาบางคนตรวจระดับประเทศไม่ผ่าน แต่ประเทศก็ส่งมาแข่งอยู่ดีเพราะต้องการชัยชนะ แล้วเรื่องมาแดงภายหลังก็โดนริบเหรียญกันไป ซึ่งคนที่ดังมากๆ ในกรณีนี้คือ คาร์ล ลูอิส (Karl Lewis) ผู้เป็นสุดยอดสิงห์ลมกรดของยุคก่อน
ที่นี้ก็อยากจะเล่าเรื่องสนุกๆ ให้อ่านกัน มันเป็นเรื่องของสารกระตุ้นตระกูลที่ฉาวโฉ่ที่สุดในโลกกีฬา ซึ่งมันคือสิ่งที่ทั่วๆ ไปรู้จักกันว่า สเตียรอยด์ (Steroid)
ตรงนี้ต้องขอปูพื้นฐานชีววิทยานิดนึง ว่าจริงๆ ที่เราเรียกกันว่า ‘สเตียรอยด์’ ในโลกกีฬา มันไม่ใช่สเตียรอยด์เฉยๆ ใครพอมีพื้นฐานก็คงรู้ว่า สเตียรอยด์คือสารเคมีปกติที่อยู่ในร่างกายของเราหลายๆ ส่วน คอเลสเตอรอลก็เป็นสเตียรอยด์ชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ สเตียรอยด์เฉยๆ มันคือสารที่มีคุณสมบัติทางเคมีแบบหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในร่างกาย มีหลายหน้าที่
แต่ ‘สเตียรอยด์’ ในกีฬา มันไม่ได้หมายถึง สเตียรอยด์แบบกว้าง แต่เป็น อนาโบลิคสเตียรอยด์ (Anabolic steroid) หรือพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดมันก็คือ ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ (Testosterone) รวมไปถึงสารที่จะทำให้ร่างกายทำงานเหมือนกับที่ร่างกายได้รับ ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ มา
ที่นี้ในทางวิทยาศาสตร์ การสังเคราะห์ ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ ออกมาเป็นยา มันทำมาได้ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930 แล้ว ซึ่งก็แน่นอนว่าการสังเคราะห์ในตอนแรก มันทำมาเพื่อใช้ในทางการแพทย์เพื่อเพิ่มความเจริญอาหาร ไปจนถึงเพิ่มฮอร์โมนเพศชายในหมู่ผู้ที่มีความผิดปกติด้านฮอร์โมน
ไม่มีใครในตอนนั้นในโลกกีฬาจะคิดว่ามันจะเอามาโด๊ปนักกีฬาได้ เพราะอย่างน้อยๆ ก่อนหน้านั้น โลกของการโด๊ปนักกีฬาหลักๆ คือการใช้สารกระตุ้นให้นักกีฬาอึดขึ้น ทนต่อความเจ็บมากขึ้น มันไม่มีความคิดว่าจะใช้สารอะไรเพื่อเพิ่มกล้ามเนื้อให้นักกีฬาแข็งแรงขึ้น
จนในปี 1954 จอsNน ซิกเลอร์ (John Ziegler) นายแพทย์ประจำทีมยกน้ำหนักของอเมริกาก็ตามทีมไปแข่งที่เวียนนา และในตอนกลางคืน เขาก็ได้ไปเจอกับนายแพทย์ของทีมรัสเซียที่บาร์เหล้าโดยบังเอิญ สองคนคุยกันว่าพวกเขาให้ยาอะไรกับเหล่านักกีฬาบ้าง และคืนนั้นเอง ซิกเลอร์ก็เลยพบว่า นักยกน้ำหนักของรัสเซียนั้นได้รับ ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ เพิ่มทั้งทีมเลย
สำหรับซิกเลอร์ นี่เป็นสิ่งแปลกประหลาดมากเพราะในยุคนั้นไม่มีใครคิดว่าการเอาฮอร์โมนเพศชายมาฉีดให้นักกีฬามันจะทำให้นักกีฬาแข็งแกร่งขึ้นได้ (และแน่นอนว่ามันยังไม่ผิดกติกา) ดังนั้นพอเขากลับไปอเมริกา เขาก็เลยลองเอา ‘ฮอร์โมนเพศชาย’ ฉีดให้นักยกน้ำหนักในทีมดูตอนฝึก ผลคือ คนในทีมที่ฉีดทั้งน้ำหนักมากขึ้นและก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดีเขาก็พบว่าใช้ไปนานๆ มันมีผลข้างเคียง เขาเลยพยายามไปหาสารอย่างอื่น แล้วเขาก็พบว่า มันมีบริษัทยาที่พยายามจะผลิตสารที่จะให้ผลกับร่างกายใกล้เคียงกับฮอร์โมนเพศชาย แต่จะไม่มีผลค้างเคียง บริษัทที่ว่าคือ Ciba (ปัจจุบันควบรวมกับอีกสองสามบริษัท และกลายมาเป็นบริษัท Novartis ในปี 1996)
ซิกเลอร์ทุ่มเทมากๆ เขาคิดจะสร้างยอดมนุษย์นักกีฬามาขึ้นมาด้วยการโด๊ปยาจริงๆ การร่วมมือกับ Ciba ทำให้เขาได้อ่านบันทึกการทดลองมนุษย์ของพวกนาซีที่ทางบริษัทเข้าถึงได้ไปจนถึงได้ข้อมูลสารพัด และสุดท้ายเขากับ Ciba ก็สามารถสกัดสารที่ทำงานโดยการ ‘หลอก’ ร่างกายว่าร่างกายได้รับฮอร์โมนเพศชายเข้าไป ผลคือร่างกายก็จะเพิ่มกล้ามเนื้อและมวลกระดูกราวกับรับฮอร์โมนเพศชายเข้าไปจริงๆ
ซิกเลอร์นำสารสังเคราะห์ตัวนี้ไปทดลองกับทีมยกน้ำหนักของเขา และพบว่าเวิร์คมากๆ ใช้งานได้เหมือนฮอร์โมนเพศชาย แต่ไม่มีผลข้างเคียงรุนแรงแบบเดียวกัน (ในระยะสั้น) นี่ทำให้ต่อมา Ciba ผลิตยาตัวนี้ออกมาสู่ท้องตลาดอเมริกาในปี 1958 ด้วยชื่อทางการค้าว่า Dianabol (ส่วนชื่อทางเคมีที่ใครๆ ก็ไม่รู้จักคือ Metandienone ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร เพราะใครๆ ก็ไม่รู้จัก Acetaminophen ซึ่งเป็นชื่อทางเคมีของ Paracetamol เหมือนกัน) ซิกเลอร์เองก็จัดหนักโด๊ป Dianabol ให้ทีมยกน้ำหนักอเมริกาเต็มที่ในการเตรียมพร้อมโอลิมปิกที่กรุงโรมในปี 1960
ผลคือ ทีมยกน้ำหนักอเมริกาก็แพ้ให้กับทีมของรัสเซียเรียบ แต่ทางซิกเลอร์ก็ยังไม่ย่อท้อ ทดลองต่อไปอีกจนเขาพบว่า นักกีฬาบางคนที่รับ Dianobol ไปมากๆ มีอาการเสพติด และคนที่ติดก็กิน Dianabol มากกว่าที่ควรจะกินถึง 20 เท่า และเกิดปัญหากับตับในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็เลยหันหลังให้กับการพัฒนายาเพื่อสมรรถนะร่างกายนักกีฬาอีกตลอดกาล
แต่เขาก็ได้เปิดกล่องแพนโดราออกมาแล้ว
ไม่ว่าทีมอเมริกาจะแพ้หรือไม่ ในขณะนี้อเมริกามียาชื่อว่า Dianabol ขายทั่วไปในท้องตลาดแล้ว และนักกีฬาทุกคนก็รู้จักมันอย่างปากต่อปากว่า มันเป็นยาที่กินแล้วร่างกายแข็งแรงขึ้นจริงๆ นี่ทำให้ Dianabol ซึ่งเป็น ‘สเตียรอยด์’ ที่ขายดีตัวแรกของโลกกลายมาเป็นสินค้าขายดีของบริษัทยา Ciba ในหมู่นักกีฬาแบบสุดๆ ในช่วงทศวรรษ 1960 ในอเมริกา
ซึ่งถ้าลองมองภูมิหลังแล้ว ทศวรรษ 1960 ของอเมริกาเป็นทศวรรษแห่งการเมายาของสังคมไซคีเดลิคอยู่แล้ว คนรุ่นใหม่ไหนๆ ในสังคมก็เสพยาหลอนประสาทกัน สังคมอเมริกาในยุคนั้นเชื่อในการเสพยาเพื่อขยายสมรรถภาพของมนุษย์ ดังนั้นการที่นักกีฬากินยาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงแบบเห็นๆ ในทางสังคมจึงถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ซึ่งเทียบกันกับการเมากัญชาหรือ LSD ของวัยรุ่นยุคนั้นแล้วนี่เป็นการใช้ยาในทางที่ดีด้วยซ้ำไป
การใช้ Dianabol ในหมู่นักกีฬาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แวดวงกีฬามากๆ เพราะมันถูกใช้กันแพร่หลายสุดๆ นักกีฬาที่ไหนๆ ก็ใช้กัน และแน่นอนตอนแรกการใช้ยานี้ไม่ผิดกฎสมาคมกีฬา และก็ไม่มีนักกีฬาที่ไหนในยุคนั้นมองว่าคือการโกงแม้แต่คนที่เลือกจะไม่ใช้ยา เพราะใครๆ ก็ใช้ยานี้กันจนเป็นเรื่องปกติของนักกีฬากว่าครึ่งตามที่สำรวจมาในยุคนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกอีกที่การเริ่มใช้ยาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างหนึ่งมันก็จะนำไปสู่อีกอย่างหนึ่ง เพราะนักกีฬาก็อยากจะเป็นยอดมนุษย์กันทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยว่าพอมีการสำรวจกัน โดยถามนักกีฬาว่า “สมมติมียาอะไรที่กินแล้วร่างกายแข็งแกร่งสุดๆ จนได้แชมป์ แต่ตายใน 5 ปี คุณจะกินไหม?” แล้วนักกีฬาจะตอบว่า “กิน” เป็นส่วนใหญ่
แต่ไม่นานการใช้ยาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายอย่างแพร่หลายนี้ ก็สร้างความกังวลให้กับองค์กรกีฬาระหว่างประเทศมากๆ ผลคือ จากเดิมมีองค์กรเดียวเท่านั้นที่แบนการใช้สารกระตุ้นในการแข่ง นั่นก็คือสหพันธ์กรีฑาระหว่างประเทศ (แบนมาตั้งแต่ปี 1928 เพราะกรีฑาเป็นกีฬาแรกๆ ที่คนโด๊ปเพิ่มความอึดจนตายคาสนามแข่ง) พอมาในปี 1966 ทางสหพันธ์ฟุตบอลระหว่างประเทศ (FIFA) และสหพันธ์จักรยานระหว่างประเทศก็กระโดดเข้าร่วมด้วย และมาในปี 1967 คณะกรรมการโอลิมปิกนานาชาติก็เริ่มมีการแบนการใช้สารกระตุ้นเช่นกัน
การแบนสารกระตุ้นต่างๆ นั้นเป็นไปตามเทคโนโลยีการตรวจจับว่านักกีฬาใช้หรือไม่ ซึ่งสุดท้ายคณะกรรมการโอลิมปิกได้แบนการใช้ Dianabol ในการแข่งขันโอลิมปิกในปี 1975 เนื่องจากสามารถหาวิธีตรวจจับสารนี้ในนักกีฬาได้แล้ว และแล้วก็มีสารตัวใหม่ออกมาให้นักกีฬาโด๊ปแบบตรวจไม่เจออีก และก็มีเทคโนโลยีในการตรวจตัวใหม่มาอีก ฯลฯ วนเวียนเป็นแมวจับหนูไปเรื่อยๆ
พัฒนาการของการไล่แบนสารกระตุ้นตัวแล้วตัวเล่า พร้อมหาวิธีตรวจจับสารเหล่านั้นในนักกีฬาก็มีมาอย่างต่อเนื่องจนทำให้เกิด World Anti-Doping Agency เพื่อทำงานด้านการไล่ตรวจจับสารกระตุ้นในแวดวงกีฬาโดยเฉพาะในปี 1999 ผลก็คือ นักกีฬาใหญ่ๆ จำนวนมากในยุคก่อน ก็ถูกนำฉี่มาตรวจซ้ำด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาและโดนตรวจพบสารกระตุ้นที่เทคโนโลยีเดิมหาไม่พอ แล้วก็ถูกริบเหรียญริบถ้วยกันย้อนหลังมากมาย
พูดง่ายๆ คือ แม้ว่าองค์กรกีฬาทั่วโลกจะแทบแบนสารกระตุ้นสารพัดมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1970 แล้ว แต่นักกีฬาทั้งหลายก็ยังเคยชินกับการใช้สารกระตุ้นมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 และก็ใช้กันเรื่อยมา สารหนึ่งโดนแบนไป ก็ใช้อีกสารกระตุ้นที่ยังไม่ถูกแบนบ้าง ยังไม่มีวิธีตรวจพบบ้าง ก็แบนกันไปเรื่อยๆ
ทุกวันนี้ลิสต์ของสารกระตุ้นที่ห้ามใช้ในการแข่งของสมาคมกีฬาต่างๆ ก็มีความต่างกันบ้าง แต่ก็ล้วนยาวเฟื้อยกันทั้งนั้น และในทุกๆ ลิสต์ก็จะมีสารในกลุ่ม ‘สเตียรอยด์’ อยู่เสมอราวกับเป็น Hall of Fame (ซึ่งในลิสต์แน่นอนว่าจะไม่มีคำวา ‘steroid’ ที่เป็นภาษาทั่วไป เพราะยากลุ่มนี้จะเรียกรวมๆ ว่า ‘Anabolic agents’ ซึ่งความหมายสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือ สารที่ทำงานแบบฮอร์โมนเพศชายทั้งหมด)
ประเด็นคือยาพวกนี้แม้ว่าจะถูกแบนแล้วในสมาคมกีฬานานาชาติ แต่มันก็ไม่ใช่ยาผิดกฎหมาย เพราะมันก็เป็นยาที่จริงๆ แล้วมีประโยชน์ใช้สอยทางการแพทย์แน่ๆ นักกีฬาเอามาใช้เป็นยาโด๊ปกันเอง (แต่บริษัทยาจะหยุดผลิตหรือลดผลิตมันทำไมในเมื่อยอดขายก็คือยอดขาย ใครจะซื้อไปทำอะไรมันเรื่องของเขา ยาเราไม่ได้ผิดกฎหมาย) ในอเมริกามันเพิ่งเป็นยาที่ถูกควบคุมเมื่อปี 1990 นี้เอง และในประเทศอย่างเม็กซิโกและไทย ยาตระกูลนี้ก็สามารถหาได้ตามร้านขายยาด้วยซ้ำ (แต่เป็นยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์)
ซึ่งก็คงไม่น่าแปลกใจอะไรนัก ถ้าจะบอกว่าทุกวันนี้นักกีฬาต่างๆ นิยมใช้ ‘สเตียรอยด์’ น้อยลงแล้ว เนื่องจากเทคโนโลยียุคหลังๆ ตรวจจับได้โหดมาก และก็มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องว่านักกีฬาไม่ควรจะใช้สารกระตุ้น
และก็คงไม่น่าแปลกใจอีก ถ้าจะบอกว่าชีวิตใหม่ของ ‘ยาที่ผิดกติกา แต่ไม่ผิดกฎหมาย’ อย่าง ‘สเตียรอยด์’ นั้นมันก็ได้กลายมาเป็นยายอดฮิตสำหรับนักเพาะกาย ซึ่งเป็นแวดวง ‘กีฬา’ ที่ยังไม่มีการแบน ‘สเตียรอยด์’ หรือในการแข่งขัน (และก็ยังเถียงกันอยู่เรื่อยๆ ว่าควรจะแบนหรือไม่)
อ้างอิง
- Procon. History of Performance Enhancing Drugs in Sports. https://bit.ly/3oymTMG
- USADA. Athlete Advisory: 5 Things to Keep in Mind for 2019. https://bit.ly/3oBNIQc