มารู้จักกับการเดินทางท่องเที่ยวอวกาศและบริษัทที่กำลังประกอบธุรกิจในทางด้านนี้
Space tourism
การท่องเที่ยวอวกาศ การเดินทางในอวกาศเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ทั้งบนยานพาหนะของรัฐบาลที่จัดตั้งขึ้น เช่น โซยุซของรัสเซีย และสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) หรือบนยานพาหนะที่ดำเนินการโดยบริษัทเอกชน นับตั้งแต่การบินของนักท่องอวกาศคนแรกของโลก เดนนิส ติโต นักธุรกิจชาวอเมริกัน เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2544 การท่องเที่ยวในอวกาศได้รับความโดดเด่นใหม่ เนื่องจากมีโอกาสในการท่องเที่ยวใต้วงโคจรและวงโคจรมากขึ้น
การท่องเที่ยวอวกาศในวงโคจร
การท่องเที่ยวอวกาศถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ด้วยข้อตกลงระหว่างบริษัท MirCorp ของรัสเซีย และบริษัท Space Adventures Ltd. ของอเมริกา MirCorp เป็นบริษัทร่วมทุนเอกชนที่ดูแลสถานีอวกาศ Mir เพื่อสร้างรายได้สำหรับการบำรุงรักษาสถานีอวกาศที่มีอายุเก่าแก่ MirCorp จึงตัดสินใจขายการเดินทางไปยัง Mir และ Tito กลายเป็นผู้โดยสารรายแรกที่จ่ายเงิน อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ติโตจะเดินทางได้ ก็มีการตัดสินใจถอดวงโคจรมีร์ออก และหลังจากการแทรกแซงของบริษัท Space Adventures Ltd. ภารกิจก็ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ติโตซึ่งจ่ายเงิน 20 ล้านดอลลาร์สำหรับการบินบนยานอวกาศโซยุซ ทีเอ็ม-32 ของรัสเซีย ใช้เวลา 7 วันบนสถานีอวกาศนานาชาติ และถือเป็นนักท่องเที่ยวในอวกาศคนแรกของโลก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้องฝึกฝนอย่างหนักหน่วงที่จำเป็นสำหรับภารกิจของเขา ติโตจึงคัดค้านการใช้คำว่านักท่องเที่ยว และตั้งแต่เขาบิน คำว่าผู้เข้าร่วมในการบินอวกาศก็ถูกใช้บ่อยขึ้นเพื่อแยกแยะนักเดินทางในอวกาศเชิงพาณิชย์จากนักบินอวกาศอาชีพ
การท่องเที่ยวอวกาศในวงโคจรยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามภารกิจของติโต โดยมีเที่ยวบินไปยัง ISS โดยเศรษฐีคอมพิวเตอร์ชาวแอฟริกาใต้ มาร์ก ชัตเทิลเวิร์ธ ในปี 2545 และนักธุรกิจชาวอเมริกัน เกรกอรี โอลเซ่น ในปี 2548 นักเดินทางเหล่านี้ตามมาด้วยผู้ประกอบการชาวอเมริกันโดยกำเนิดในอิหร่าน อานูเชห์ อันซารี ซึ่งกลายเป็นการบินอวกาศครั้งที่สี่ ผู้เข้าร่วมและเป็นนักเดินทางในอวกาศหญิงคนแรกที่จ่ายค่าธรรมเนียมเมื่อเธอไปเยือนสถานีอวกาศนานาชาติในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ปีต่อมา มหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ชาร์ลส์ ซิโมยี ได้เข้าร่วมเป็นผู้เข้าร่วมการบินอวกาศเมื่อเขาร่วมนั่งรถร่วมกับนักบินอวกาศสองคนบนยานอวกาศ Soyuz TMA-10 ด้วยอัตรา 10- อยู่บน ISS หนึ่งวัน และ Simonyi ได้ทำการบินครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2552 ผู้เข้าร่วมการบินอวกาศคนที่หกคือ Richard Garriott ผู้พัฒนาวิดีโอเกมชาวอเมริกัน ได้เปิดตัวในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2551 ในการบินของเขา Garriott กลายเป็นคนอเมริกันรุ่นที่สองคนแรกในอวกาศนับตั้งแต่ พ่อของเขา Owen Garriott เป็นอดีตนักบินอวกาศ (นักบินอวกาศ Aleksandr Volkov และ Sergey ลูกชายของเขาเป็นนักเดินทางในอวกาศคู่แรก Sergey Volkov อยู่ใน ISS เมื่อ Garriott มาถึง) ไม่มีผู้เข้าร่วมการบินในอวกาศคนใดบินไปยัง ISS นับตั้งแต่ Guy Laliberté ผู้ประกอบการชาวแคนาดาในปี 2009 แต่ในปี 2021 Space Adventures มีกำหนดบินไปยังผู้โดยสาร 2 คนบน ISS ได้แก่ ผู้ประกอบการชาวญี่ปุ่น มาเอซาวะ ยูซากุ และฮิราโนะ โยโซ ซึ่งจะบันทึกประสบการณ์ของมาเอซาวะ ตั้งแต่ปี 2550 Space Adventures ได้เสนอการบินอวกาศรอบดวงจันทร์ด้วยยานอวกาศโซยุซด้วยค่าธรรมเนียม 100 ล้านดอลลาร์
SpaceX บริษัทการบินอวกาศของอเมริกา อนุญาตให้เช่ายานอวกาศ Crew Dragon สำหรับการบินในวงโคจรได้ ภารกิจแรก Inspiration4 ได้นำพลเมืองส่วนตัว 4 คน ได้แก่ จาเร็ด ไอแซคแมน, เซียน พรอคเตอร์, เฮย์ลีย์ อาร์เซนโนซ์ และคริส เซมโบรสกี ขึ้นสู่วงโคจรโลกเป็นเวลาสามวันในเดือนกันยายน พ.ศ. 2564 อีกภารกิจหนึ่งเช่าเหมาลำโดยบริษัทการบินอวกาศของอเมริกา Axiom Space และจะ พานักบินอวกาศหนึ่งคนและนักท่องเที่ยวสามคนไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ
การท่องเที่ยวอวกาศใต้วงโคจร
แม้ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอวกาศในวงโคจรได้รับความสนใจจากสื่อมากมายหลังจากการบินของติโต แต่บริษัท. อื่นๆ ก็ยังทำงานอย่างหนักในการพยายามทำให้การท่องเที่ยวในอวกาศมีผลกำไรโดยการพัฒนายานพาหนะใต้วงโคจรที่ออกแบบมาเพื่อพาผู้โดยสารขึ้นไปที่ระดับความสูง 100 กม. (62 ไมล์) นอกเหนือจากเป้าหมายในการทำให้การท่องเที่ยวในอวกาศเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์แล้ว บริษัทต่างๆ ยังแข่งขันกันเพื่อชิงรางวัล Ansari X Prize ซึ่งเป็นรางวัลมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์ที่มูลนิธิ X Prize Foundation มอบให้กับองค์กรพัฒนาเอกชนองค์กรแรกที่ส่งยานอวกาศที่มีลูกเรือแบบใช้ซ้ำขึ้นสู่อวกาศสองครั้งภายในสองสัปดาห์ (เงินรางวัลส่วนหนึ่งบริจาคโดย Anousheh Ansari และน้องเขยของเธอ Amir Ansari ผู้ประกอบการชาวอเมริกันโดยกำเนิดในอิหร่าน) เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2547 SpaceShipOne ได้รับทุนจาก Virgin Galactic และออกแบบโดยวิศวกรชาวอเมริกัน Burt Rutan จาก Scaled Composites ได้รับรางวัล X Prize และในการทำเช่นนั้น ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของการบินอวกาศที่มีลูกเรือเชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวในอวกาศ
ในปี พ.ศ. 2547 พระราชบัญญัติการแก้ไขการปล่อยอวกาศเชิงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกา (CSLAA) ได้กำหนดแนวทางในการควบคุมความปลอดภัยของการบินอวกาศเชิงพาณิชย์ของมนุษย์ในสหรัฐอเมริกาภายใต้การอุปถัมภ์ของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติ (FAA) ภายใต้ CSLAA ตัวแทนของ FAA จะเข้าร่วมทุกการปล่อยยานอวกาศ ประเมินการลงจอดทุกครั้ง และทำงานร่วมกับผู้ประกอบการการท่องเที่ยวอวกาศ อย่างไรก็ตาม FAA จะไม่ได้รับอนุญาตให้กำหนดกฎระเบียบด้านความปลอดภัยใดๆ จนถึงปี 2023 เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ร้ายแรง แนวปฏิบัติดังกล่าวกำหนดให้ผู้ประกอบการการท่องเที่ยวในอวกาศแจ้งผู้เข้าร่วมการบินในอวกาศเป็นลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับความเสี่ยงในการปล่อยตัวและการกลับเข้ามาใหม่ และเกี่ยวกับบันทึกความปลอดภัยของยานพาหนะที่ปล่อยยาน แนวปฏิบัติของ CSLAA ยังกำหนดให้ผู้เข้าร่วมการบินอวกาศต้องให้ความยินยอมอย่างมีข้อมูลเพื่อเข้าร่วมในการปล่อยยานอวกาศและกลับเข้าสู่อวกาศอีกครั้ง
ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอวกาศใต้วงโคจรนี้ เป็นเรื่องยากสำหรับ FAA ในการควบคุมวิธีการออกแบบยานพาหนะของบริษัทต่างๆ หรือประเมินความปลอดภัยของการปล่อยผู้เข้าร่วมการบินอวกาศสู่อวกาศ แม้จะมีข้อกังวลด้านความปลอดภัยและอุบัติเหตุระหว่างการบินทดสอบในปี 2014 ที่ทำให้นักบินอวกาศ Michael Alsbury ต้องเสียชีวิต แต่ Virgin Galactic ผู้ประกอบการชาวอังกฤษของ Richard Branson ขายที่นั่งได้หลายร้อยที่นั่งในราคา 300,000 ดอลลาร์ต่อที่นั่งสำหรับเที่ยวบินท่องเที่ยวอวกาศใต้วงโคจร การนำผู้เข้าร่วมการบินอวกาศของ Virgin Galactic ขึ้นสู่อวกาศคือ SpaceShipTwo ซึ่งมีชื่อว่า VSS Unity ซึ่งถูกปล่อยจากท่าอวกาศถาวรใกล้เมือง Upham รัฐนิวเม็กซิโก Unity ได้ทำการบินแบบมีลูกเรือเต็มรูปแบบครั้งแรกในวันที่ 11 กรกฎาคม 2021 โดยมีนักบิน David Mackay และ Michael Masucci และผู้โดยสารสี่คน พนักงานของ Branson และ Virgin Galactic Sirisha Bandla, Beth Moses และ Colin Bennett
Space X
สเปซเอ็กซ์มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองฮอว์ทอร์น รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ ก่อตั้งขึ้นในปี 2545 ด้วยเงินทุนส่วนตัวของ อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีชาวแคนาดา ซึ่งนั่งตำแหน่งซีอีโอจนถึงปัจจุบัน โดยเมื่อครั้งก่อตั้ง มัสก์มีเป้าหมายสร้างบริษัทนี้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการส่งจรวดสำหรับการตั้งอาณานิคมในต่างดาวในอนาคต
บริษัทสเปซเอ็กซ์ ดำเนินการทั้งออกแบบ ผลิต และส่งจรวดและยานอวกาศสู่นอกโลก ได้ปฏิวัติอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอวกาศอย่างล้ำหน้า โดยพัฒนาจรวดขนส่งขึ้นมา 2 รุ่น คือ ฟอลคอน-1 และ ฟอลคอน-9 ซึ่งออกแบบโครงสร้างให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reusable Rocket) โดยสร้างประวัติศาสตร์โลกด้วยการเป็นจรวดลำแรกที่สามารถร่อนกลับมาจอดยังแท่นรับในมหาสมุทรได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังพัฒนายานอวกาศดรากอน (Dragon) สำหรับใช้กับจรวดแบบฟอลคอน-9 เพื่อส่งสินค้าสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจบนสถานีไอเอสเอส ส่วนยานดรากอนแบบที่สามารถขนส่งมนุษย์ได้ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
ก่อนหน้านี้ สเปซเอ็กซ์ประสบความสำเร็จในการปล่อยจรวดลำที่ 4 ของบริษัทเมื่อปลายปี 2551 และลำที่ 5 ซึ่งบรรทุกดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรเมื่อปี 2552 หลังจากล้มเหลวในการปล่อยจรวด 3 ลำแรกรุ่น ฟอลคอน-1 ระหว่างปี 2549-2551 ซึ่งมาจากทุนเอกชนทั้งหมด
ต่อมา สเปซเอ็กซ์ได้รับทุนบางส่วนจากนาซา จนกระทั่งเร่งพัฒนาจรวด ฟอลคอน-9 ที่ถูกปล่อยครั้งแรกในปี 2553 และจากนั้นมา ฟอลคอน-9 ก็ได้ทำภารกิจส่งสินค้า รวมถึงดาวเทียมและเสบียงไปยังสถานีไอเอสเอสอีกกว่า 80 ครั้ง แต่ระหว่างนั้นมีภารกิจล้มเหลว 2 ครั้งคือในปี 2558 และ 2559
ปัจจุบัน สเปซเอ็กซ์กลายเป็นบริษัทพันธมิตรขาประจำของนาซาในภารกิจปล่อยจรวด และจนถึงตอนนี้มีส่วนร่วมในโครงการปล่อยจรวดของนาซาอยู่ราว 2 ใน 3 ของโครงการทั้งหมด ด้วยสัญญาสัมปทานมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
เมื่อต้นปีนี้ บริษัทอวกาศของมัสก์ ระดมทุนครั้งล่าสุดได้กว่า 500 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในงบพัฒนาแคปซูลอวกาศ ครูว์ ดรากอน, โครงการ “สตาร์ชิป” และโครงการธุรกิจดาวเทียม “สตาร์ลิงก์” ทำให้บริษัทมีมูลค่าอยู่ที่ 3.6 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.14 ล้านล้านบาท) ในปัจจุบัน นับเป็นหนึ่งในบริษัทเอกชนที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก
การที่สเปซเอ็กซ์มีบทบาทเด่นด้านอวกาศในช่วงนี้เกิดขึ้นหลังจาก นาซา หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐ สั่งปิดโครงการส่งมนุษย์ไปอวกาศของตนเมื่อปี 2554 ทำให้ต้องหันมาพึ่งบริษัทเอกชนในการร่วมทำโครงการส่งนักบินขึ้นสู่อวกาศในปัจจุบัน
หลังยุติโครงการส่งมนุษย์ไปนอกโลกช่วงแรก ๆ นาซาหันไปโฟกัสกับวิทยาการของดาวอังคารและโลก แต่เมื่อ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ นาซาก็เปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้งและได้รับทุนให้ทำโครงการส่งมนุษย์ไปสำรวจดวงจันทร์ภายใต้ชื่อ “อาร์ทิมิส” (Artemis)ซึ่งจะยังไม่เกิดขึ้นภายในเร็ววัน และประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งร่วมเป็นสักขีพยานในการปล่อยจรวดของสเปซเอ็กซ์เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรียกภารกิจครั้งนี้ว่า “เป็นการเริ่มต้น” และจุดหมายปลายทางต่อไป คือการส่งยานอวกาศไปยังดาวอังคาร พร้อมให้คำมั่นว่า จะส่งนักบินอวกาศสหรัฐกลับคืนสู่ดวงจันทร์อีกครั้งภายในปี 2567 เพื่อตั้งฐานที่มั่นถาวร จากนั้นก็จะปล่อยยานขึ้นไปสำรวจดาวอังคาร
Blue Origin
เป็นบริษัทเอกชนที่ให้บริการเดินทางไปอวกาศ รวมถึงผลิตจรวดเองด้วย (แบบเดียวกับ SpaceX ของ Elon Musk) โดยบริษัทนี้ก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Jeff Bezos ประธานกรรมการบริหาร หรือ chief executive officer (CEO) ของ Amazon (ไม่ใช่ร้านกาแฟในปั๊มน้ำมันนะ) ซึ่งคน ๆ นี้ก็คือมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกอีกด้วย อ้างอิงจากผลสำรวจของ Bloomberg Billionaire Index ที่ได้เปิดเผยว่า เจฟฟ์ เบโซส์ (Jeff Bezos) แห่ง Amazon ขึ้นแท่นเป็นมหาเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินสูงแตะ 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.95 ล้านล้านบาท ซึ่งรวยแซงหน้าอันดับที่ 2 อย่าง บิล เกตส์ เจ้าพ่อ Microsoft กว่า 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.8 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว และล่าสุดเขาประกาศเปิดบริการส่งของไปยังดวงจันทร์ภายในกลางปี 2020 (ตอนนี้ 2018 ก็อีกแค่ 2 ปีเอง) โดยที่ Blue Origin มีแผนพัฒนายานอวกาศที่สามารถลงจอดบนดวงจันทร์ได้ในชื่อ Blue Moon มีจุดประสงค์เพื่อการส่งอุปกรณ์การทดลอง, ของใช้ และสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิต สำหรับการอยู่อาศัยของมนุษย์ในอนาคตภายในกลางปี 2020 นั่นเอง
บริษัทอวกาศ Blue Origin ที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่แข่งของ SpaceX ประกาศแผนส่งผู้โดยสาร 4 คนแรกขึ้นไปในอวกาศ ผ่านอินสตราแกรมส่วนตัวของผู้ก่อตั้ง Blue Origin คุณ Jeff Bezos ในช่วงเช้าของวันที่ 20 กรกฎาคม 2021 เวลาสหรัฐฯ ซึ่ง เจฟฟ์ เบซอส เองก็ได้เข้าร่วมในภารกิจนี้ร่วมกับน้องชายของเขา Mark Bezos อีกด้วยโดยเที่ยวบินแรกของ Blue Origin นี้ ชื่อว่า NS-16 กำหนดการปล่อยตัวที่ศูนย์ปล่อยจรวด Van Horn รัฐเท็กซัส สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จรวด New Shepard ได้ทะยานขึ้นไปที่ระดับความสูงราว 110 กิโลเมตร เพื่อที่ผู้โดยสารทั้ง ทั้ง 4 คนได้สัมผัสประสบการณ์สภาวะไร้น้ำหนักประมาณ 5 นาที และมองโลกกลับลงมาผ่านหน้าต่างของยานอวกาศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งรายชื่อของผู้โดยสารอีก 2 คนที่พึ่งประกาศไม่กี่วันก่อนหน้าภารกิจก็คือ คุณ Wally Funk และ Oliver Daeman
เริ่มต้นกันที่คุณ Oliver Daeman ว่าที่นักบินอวกาศในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น เด็กหนุ่มชาวดัตซ์คนนี้ได้สิทธิการขึ้นไปอวกาศกับ Blue Origin จากการซื้อตั๋วโดยสารที่ไม่ได้เปิดเผยราคาแน่ชัด โดยพ่อของเขา Joes Daemen ที่เป็นผู้ก่อตั้งและประธานบริหารบริษัทธุรกิจการลงทุน Somerset Capital Partners ในขณะที่ตามหลักแล้ว ผู้ที่ได้ประมูลตั๋วโดยสารจาก Blue Origin ไปในราคา 28 ล้านดอลล่าห์สหรัฐ หรือราว 920 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2021 ควรที่จะได้ที่นั่งนี้ไป แต่เนื่องจากปัญหาการกระทบกระทั่งภายใน (ที่ไม่ได้เปิดเผย) ทำให้กำหนดการบินของผู้ชนะการประมูลคนนี้ต้องเลื่อนออกไป เราจึงเห็น Oliver Daeman เข้ามารับที่นั่งนี้แทน
การไปอวกาศของ Oliver Daeman วัย 18 ปีจึงได้ทำลายสถิติเป็นนักบินอวกาศที่อายุน้อยที่สุดในโลกของ Gherman Titov นักบินอวกาศโซเวียตซึ่งมีอายุ 25 ปี ในขณะนั้น โดยที่เขาได้เดินทางขึ้นไปในอวกาศกับยาน Vostok 2 ในปี 1961 หลังจากเสร็จสิ้นการไปอวกาศของ Oliver Daeman ที่เขาใฝ่ฝันมาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เขาก็มีแผนเข้าเรียนต่อที่ สาขาภาคนวัตกรรมฟิสิกส์ ที่มหาวิทยาลัย Utrecht ประเทศเนเธอร์แลนด์ ต่อไปส่วนคนที่ Blue Origin เพิ่งประกาศไปเป็นคนสุดท้ายก็คือ คุณ Wally Funk ในวัย 82 ปี ที่ได้รับเชิญให้ขึ้นสู่เที่ยวบินนี้เป็นการส่วนตัวโดยตัว Jeff Bezos เอง เธอเป็นนักบินของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ยุคบุกเบิกก่อนที่จะเข้าร่วมโครงการคัดเลือกนักบินอวกาศหญิงรุ่นแรก ๆ ของ NASA ในโครงการ Mercury ซึ่งเป็นโครงการเดียวกับที่ Alan Shepard นักบินอวกาศอเมริกันคนแรกที่ได้ออกไปนอกโลกตามหลัง Yuri Gagarin ได้เพียง 23 วันให้หลัง โดยที่คุณ Wally Funk จะกลายเป็นนักบินอวกาศที่อายุเยอะที่สุดโลก แซงหน้า John Glenn ในวัย 77 ปีที่ได้ขึ้นไปในอวกาศในปี 1998 เรียกได้ว่าเที่ยวบินแรกของ Blue Origin มีทั้งนักบินอวกาศที่อายุน้อยและมากที่สุดในโลก มารวมไว้ในภารกิจเดียวกันส่วนผู้โดยสารอีก 2 คนเหลือที่เป็นที่ทราบกันดีตั้งแต่มีการประกาศเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2021 ว่าคือ Jeff Bezos และน้องชายของเขา Mark Bezos จะเป็นผู้ที่ได้ร่วมสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในเที่ยวบินแรกนี้ด้วย
Virgin galactic
Richard Branson (ริชาร์ด แบรนสัน) ผู้ก่อตั้ง Virgin Galactic บริษัทเทคโนโลยีอวกาศในเครือ Virgin และทีมงาน ได้ประสบความสำเร็จจากการเดินทางโดยเครื่องบินจรวดอวกาศสู่ชั้นอวกาศวงโคจรต่ำ ก่อนที่จะกลับมาจอดลงพื้นผิวโลกอย่างสวัสดิภาพ นับว่าเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับ Virgin Galactic ที่สามารถพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอวกาศเชิงพาณิชย์ได้สำเร็จจากที่ก่อตั้งเมื่อ 17 ปี ผ่านมาในปี 2004รูปแบบการบินสู่ขอบอวกาศของยาน VSS Unity (คำนำหน้าย่อมาจากคำว่า Virgin Spaceship) ออกจะไม่เหมือนที่เราคุ้นเคยกัน เพราะยานลำนี้คือหนึ่งในยานรุ่น SpaceShipTwo ที่ไม่ได้เดินทางจากผิวโลกด้วยแรงขับดันของจรวดในแนวตั้ง หากแต่เกาะกับไป ‘ยานแม่’ VMS Eve (คำนำหน้าย่อมาจาก Virgin MotherShip) ที่จะเทกออฟเหมือนเครื่องบินทั่วไป พาไปจนถึงความสูง 15 กิโลเมตรจากผิวโลก จากนั้น VSS Unity จะแยกตัวออกไปแล้วติดเครื่องยนต์ของตัวเองเพื่อเดินทางต่อไปจนถึงความสูง 86 กิโลเมตรจากระดับน้ำทะเล จุดนี้คือจุดที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสความรู้สึกแตะขอบอวกาศอย่างประทับใจ เมื่อครบเวลายาน Unity ก็จะเดินทางกลับสู่ผิวโลกโดยกางปีก ‘ขนนก’ เพื่อชะลอความเร็ว และร่อนลงจอด ณ สนามบินแห่งเดียวกับที่เทกออฟในตอนแรก
Virgin Galactic ตั้งราคาที่นั่งบนยานท่องเที่ยวอวกาศของทางบริษัทเอาไว้สูงถึง 2.5 แสนดอลลาร์ (ราว 8.15 ล้านบาท) แต่กระนั้นก็ยังมียอดจองและจ่ายมัดจำเข้ามาแล้วถึง 600 ที่นั่ง โดยนักท่องเที่ยวกระเป๋าหนักเหล่านี้ล้วนอยากจะได้มีโอกาสขึ้นไปเห็นท้องฟ้าที่เปลี่ยนกลายเป็นสีดำ ได้เห็นขอบฟ้าของโลกที่โค้งกลม และได้ล่องลอยในสภาพแรงโน้มถ่วงต่ำถึง 5 นาทีภายในห้องโดยสารของยาน
ความสำเร็จของแบรนสันไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะตลอดระยะเวลา 17 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่กลุ่มบริษัท Virgin เข้าร่วมทุนกับบริษัท Scaled Composites เพื่อนำเทคโนโลยีของยานรุ่น SpaceShipOne มาสานต่อในชื่อบริษัท ‘Virgin Galactic’ ก็ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกลายมาเป็นยานรุ่น SpaceShipTwo ของทางบริษัทเอง และต้องพบกับปัญหาต่างๆ มากมายระหว่างทดสอบยานจนถึงขั้นบาดเจ็บและเสียชีวิตของนักบินระหว่างทดสอบ ก็เคยมีมาแล้ว ดังที่เกิดกับยานลำก่อนหน้า Unity นั่นคือ VSS Enterprise ในเดือนตุลาคมปี 2014 ซึ่งทางแบรนสัน ผู้ก่อตั้งบริษัทก็ไม่ได้ยอมแพ้ ต่อมาเที่ยวบิน 4 เที่ยวสุดท้ายของ Unity ประสบความสำเร็จด้วยดี และเพื่อเสริมความมั่นใจของผู้โดยสาร เที่ยวบินทดสอบล่าสุดในครั้งนี้ ‘แบรนสัน’ จึงขออาสาขึ้นทดสอบยาน Unity เที่ยวบินนี้ด้วยตัวเองแบรนสันโพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวถึงความสำเร็จในครั้งนี้ว่า “ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่เฝ้าฝันมองดูดวงดาว บัดนี้ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในยานอวกาศที่ได้มองลงมายังโลกอันสวยงาม ผมขอส่งต่อความฝันนี้สู่ผู้คนรุ่นต่อไป ถ้าพวกเราทำได้ พวกคุณลองจินตนาการไว้เลยว่าคนรุ่นคุณจะทำอะไรได้บ้าง”
แน่นอนว่าไม่ได้มีแต่เพียงแบรนสันที่หมายตาธุรกิจท่องเที่ยวอวกาศไว้ มหาเศรษฐีทางเทคโนโลยีอีก 2 รายคือ ‘เจฟฟ์ เบโซส์’ ผู้ก่อตั้งบริษัท Amazon และ อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้งบริษัท SpaceX ก็ได้เข้าสู่การแข่งขันนี้อย่างเต็มตัว
โดยเฉพาะเบโซส์ที่ได้ก่อตั้ง บริษัท Blue Origin เพื่อพัฒนายาน ‘นิวเชพเพิร์ด’ ของตัวเอง ก็ได้มีการเกทับแบรนสันชนิดที่เรียกว่าหยอกกันแรงๆ ตามข้อความในทวิตเตอร์ทางการของ Blue Origin ที่ระบุว่ายานของ Virgin Galactic นั้น สู้ของ Blue Origin ไม่ได้ เพราะไปไม่ถึง ‘อวกาศ’ จริงๆ เพราะบินต่ำกว่าเส้นคาร์แมน หน้าต่างชมวิวก็ดูเล็ก เป็นแค่เครื่องบินไม่ใช่จรวด ยานไม่มีระบบเซฟตี้ ฯลฯ เรียกว่าสู้ยาน ‘นิวเชพเพิร์ด’ ไม่ได้เลยแต่พอเอาเข้าจริงเบโซส์ก็ยอมรับความสำเร็จของแบรนสันด้วยดี และได้โพสต์ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัวว่า เขาแทบนับวันรอไม่ไหวที่จะได้มีชื่อเข้าร่วมว่าเป็นผู้บุกเบิกยุคใหม่ของการท่องเที่ยวอวกาศด้วยกันกำหนดเดินทางของยานจากบริษัท Blue Origin คือ 20 กรกฎาคมนี้ โดยเบโซส์ ผู้ก่อตั้งบริษัท จะเดินทางไปกับ มาร์ก เบโซส์ ผู้เป็นน้องชาย, วอลลี ฟังก์ นักบินหญิงยุคบุกเบิก และบุคคลปริศนาอีกหนึ่งรายที่ได้ประมูลซื้อที่นั่งในเที่ยวบินนี้ไปเป็นเงิน 28 ล้านดอลลาร์ ทางด้านมัสก์ มหาเศรษฐีอีกรายผู้เป็นเจ้าของบริษัท SpaceX ยังอุบเงียบไม่เปิดเผยว่าจะใช้ยานรุ่นใดในการเข้าแข่งขันในศึกครั้งนี้ หากยานนิวเชพเพิร์ดของเบโซส์ เจ้าพ่อ Amazon ประสบความสำเร็จในการทดสอบอีกราย แน่นอนว่าตลาดท่องเที่ยวอวกาศก็จะเข้าสู่การแข่งขันอย่างเต็มตัว โดยฟาดฟันกันที่ราคาต่อที่นั่งเป็นหลัก UBS ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ของสวิตเซอร์แลนด์ประเมินว่า การท่องเที่ยวอวกาศจะเพิ่มมูลค่าให้ตลาดท่องเที่ยวได้ถึงปีละ 3 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
งานเขียนนี้ เป็นหน่วยหนึ่งของวิชา 751309 Macro Economic 2 ซึ่งสอนโดย ผศ.ดร. ณพล หงสกุลวสุ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ งานชิ้นนี้ เขียนโดย นางสาวเฉลิมขวัญ จันต๊ะยอด รหัสนักศึกษา 651610063
แหล่งข้อมูล:
https://www.britannica.com/topic/space-tourism
https://www.bangkokbiznews.com/world/883186
https://spaceth.co/blue-origin-first-passenger/
https://thestandard.co/richard-branson-open-space-tourism-war/
https://techsauce.co/news/virgin-branson-launch-flight-to-space-successfully