ทรงตัวยังไง…ให้ยัง ‘ทรงวาด’ 02: ทรงวาดกับความเป็นย่าน ‘พหุวัฒนธรรม’ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
หากคุณได้ลองไปเดินเล่นบนถนนทรงวาด คุณก็คงสังเกตได้เองว่านี่เป็นย่านที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานโดยไม่ต้องมีใครบอก ผ่านหลักฐานอย่างสถาปัตยกรรม ผู้คนท้องถิ่น วิถีชีวิตการกินและความเป็นอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้น่าสนใจมากกว่าแค่ความเป็นเมืองเก่า ก็คือความเป็นย่านที่เต็มไปด้วย ‘พหุวัฒนธรรม’ ที่หล่อหลอมผ่านยุคสมัยจนเป็นเนื้อเดียวกัน และในขณะปัจจุบันก็ยังมีความหลากหลายเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีแล้ว ‘ทรงวาด’ เป็นส่วนหนึ่งของสำเพ็งตั้งแต่ช่วงรัชกาลที่ 1 ทรงสถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีเมื่อ พ.ศ. 2325 และในช่วงเวลานั้นทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระบรมมหาราชวัง แต่มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่มีชาวจีนอาศัยอยู่ จึงจำเป็นต้องให้ชาวจีนย้ายออกไปอยู่นอกกำแพงพระนคร คือบริเวณวัดจักรวรรดิราชาวาส ไปจนถึงคลองวัดสำเพ็ง หรือคลองวัดปทุมคงคาฯ โดยเรียกบริเวณนั้นว่า ‘สำเพ็ง’
ต่อมาชาวจีนที่ย้ายมานั้นก็ขึ้นชื่อในด้านการค้าขาย และทำให้ย่านนี้คึกคักไปด้วยผู้คน ปัญหาที่ตามมาก็คือความแออัดของจำนวนประชากร บ้านเมืองที่ชิดติดกันทำให้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ในหลายๆ ครั้ง จนมาถึงจุดเปลี่ยนใน พ.ศ. 2449 ที่เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในสำเพ็ง ทำให้มาถึงจุดเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อรัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงสำเพ็งด้วยการตัดถนนและจัดระเบียบที่อยู่ใหม่ โดยถนนเส้นนั้นถูกเรียกว่า ‘ถนนทรงวาด’ ที่มาของชื่อถนนก็คือ รัชกาลที่ 5 ท่านทรงเป็นผู้วาดแนวถนนเส้นนี้ลงบนแผนที่ด้วยพระองค์เอง จึงเป็นที่มาของชื่อถนนทรงวาด
ด้วยทำเลของย่านที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้การค้าขายนั้นรุ่งเรืองกว่าครั้งก่อน และความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นของบ้านเรือน รวมถึงความสะดวกในการเทียบท่า ทำให้มีหลายกิจการเข้ามาตั้งตัวและสร้างโกดังสำหรับเก็บสินค้าที่ยังมีร่องรอยให้เห็นอยู่จนถึงปัจจุบัน แสดงให้เห็นถึงหมุดหมายแรกๆ ที่ก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและชาติพันธุ์ ที่เกิดจากยุคการค้าที่รุ่งเรือง
นอกจากนั้นในเวลาต่อมาช่วง พ.ศ. 2490-2500 ทรงวาดก็เกิดจุดเปลี่ยนอีกครั้งเมื่อ กรุงเทพฯ ได้เริ่มมีนโยบายห้ามรถบรรทุกเข้ากรุงเทพชั้นใน นโยบายนี้ส่งผลกับทรงวาดอย่างมาก จากเดิมที่เคยเป็นโกดังหรือศูนย์กระจายสินค้า แต่เมื่อห้ามรถบรรทุกเข้าโดยตรง ก็ต้องเพิ่มวิธีการขนส่งผ่านรถเล็กเพิ่ม ซึ่งส่งผลต่อต้นทุน ทรงวาดจึงปรับตัวเองไปสู่ ‘หน้าร้านสำหรับสั่งซื้อและเจรจาต่อรอง’ แทน แต่บางร้านก็ย้ายออกไปที่อื่น เมื่อจุดประสงค์เมืองท่าและการเป็นแหล่งค้าขายถูกลดทอนความสำคัญลงไป ค่าเช่าก็ถูกปรับลงตามมา ส่งผลให้พ่อค้าแม่ค้าจากสำเพ็งย้ายมาเช่าและเปิดหน้าร้านที่นี่กัน ที่ยังเห็นได้ในปัจจุบันก็เห็นจะเป็นร้านขายของเล่นที่มีหน้าร้านให้เห็นเด่นชัด
ทีนี้ลองกลับมาดูสิ่งที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นในปัจจุบัน เราสามารถเดินชม 3 ศาสนสถาน ได้ที่ทรงวาดเพียงถนนเดียว ที่ซึ่งมีความยาวเพียง 1,196 เมตร! แต่หากอ่านจากย่อหน้าที่ผ่านมาก็คงจะไม่รู้สึกแปลกใจมากนัก เนื่องจากเป็นย่านที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ผ่านคนหลายยุคและหลากหลายวัฒนธรรม ทำให้เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นศาลเจ้าจีนอย่าง เล่าปุนเถ้ากง (รวมถึงศาลเจ้าจีนใกล้เคียง) ก็เป็นหลักฐานจากชาวจีนที่อยู่อาศัยมาช้านาน มัสยิดหลวงโกชาอิศหาก ก็เป็นหลักฐานของชาวอินเดียที่เป็นมุสลิม รวมถึงชนชาติอื่นๆ ที่นับถืออิสลาม รวมถึงวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร ที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์อย่าง ‘แท่นสำเร็จโทษ’ หรือแท่นหินรองทุบหัวด้วยท่อนจันทน์ประหารผู้กระทำผิด ที่มีการสำเร็จโทษด้วยวิธีนี้ครั้งสุดท้ายกับสมาชิกราชวงศ์ ในปี พ.ศ. 2391 เจ้านายองค์สุดท้ายที่ถูกประหารคือ หม่อมไกรสร พระราชโอรสในรัชกาลที่ 1 และเจ้าจอมมารดาน้อยแก้ว
นอกจากในอดีตแล้ว ปัจจุบันคนพื้นที่ก็รับรู้ได้ถึงจุดแข็งข้อนี้ และชูเป็นจุดเด่นของพวกเขา ผ่านวิถีชีวิตและการพัฒนาย่าน โดยเฉพาะการสร้างร้านรวงใหม่ในตึกเก่าที่กระทบของเดิมให้น้อยที่สุด เพราะพวกเขาเคารพประวัติศาสตร์และชื่นชอบในสุนทรียะของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม รวมถึงยังมีงานสตรีทอาร์ต และกราฟฟิตีมากมาย เช่น Wall Art รูปช้าง ณ ลานจอดรถ หรือภาพวาดบนกำแพงข้างร้าน ‘กู่ หลง เปา’ ที่วาดโดยอาจารย์ทรงวุฒิ แก้ววิศิษฏ์ โดยภาพเล่ารายละเอียดถึงซาลาเปาโบราณจีนแต้จิ๋วที่อยู่ในชามจากสมัยราชวงศ์หมิง มีขนมมะเฟืองจากชาวมุสลิมอยู่ในชามเดียวกัน และถูกวาดบนกำแพงของตึกยุโรป ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งที่นำเสนอความกลมเกลียวของทุกยุคทุกสมัย ณ ชุมชนแห่งนี้ที่เรียกกันว่า ‘ชาวทรงวาด’