คุยกับ ‘จุ๊ก-อาทิตย์ อัสสรัตน์’ ผู้ก่อตั้ง ‘Short Film Camp 2023’ แคมป์ที่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับรุ่นใหม่จาก 4 ประเทศได้ชิงทุนทำหนังสั้นและร่วมเรียนรู้จากเมนทอร์ระดับโลก
วันที่เราไปถึงที่ศูนย์สร้างสรรค์การออกแบบ (TCDC) ถือเป็นวันที่แปดแล้วที่ ‘Short Film Camp 2023’ ได้ดำเนินกิจกรรมมา และเมื่อเราก้าวเท้าเข้าไปในพื้นที่จัดกิจกรรม ก็ได้เห็นทีมผู้กำกับภาพยนตร์และโปรดิวเซอร์ทั้งจากไทยและประเทศเพื่อนบ้านกำลังซ้อมพรีเซนต์โปรเจกต์หนังสั้นของตนอยู่อย่างกระตือรือร้น หนึ่งในทีมที่กำลังซ้อมอยู่บอกกับเราว่า นี่เป็นปีแรกที่พวกเขาเพิ่งมีโอกาสได้เข้าร่วมโครงการหลังจากพยายามส่งบทภาพยนตร์เข้ามาออดิชันในปีก่อนๆ
โดยในปีนี้ถือเป็นปีที่ 3 แล้วที่ ‘Short Film Camp’ ได้จัดมาอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้มีความพิเศษคือ เป็นปีแรกที่ได้จัดกิจกรรมอย่างเต็มรูปแบบ หลังจากสองปีก่อนหน้าได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 โดย ‘Short Film Camp 2023’ เป็นเวิร์กช็อปสำหรับผู้สร้างภาพยนตร์หน้าใหม่ที่ก่อตั้งโดย ‘Purin Pictures’ องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่มีเป้าหมายในการมอบทุนและขยายโอกาสให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งในแต่ละปี ‘Short Film Camp’ จะเปิดโอกาสให้โปรดิวเซอร์-ผู้กำกับ 12 ทีมจาก 4 ประเทศ อย่างกัมพูชา เมียนมา ลาว และไทย เข้ามาร่วมเรียนรู้ รับฟังคำแนะนำจากผู้สร้างภาพยนตร์มืออาชีพ และเข้าร่วมโปรแกรมการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิต การกำกับ การเขียนบท โดยในช่วงสุดท้ายของโครงการ ทั้ง 12 ทีมจะมีโอกาสได้นำเสนอโปรเจกต์หนังสั้นของตนเพื่อชิงเงินทุนสนับสนุนการผลิตหนังสั้น ในจำนวนเงินกว่า 5,000 ดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับแพ็กเกจหลังการถ่ายทำ โดย White Light Post และ กันตนา ซาวด์ สตูดิโอ ทั้งหมด 4 ทีม และอีก 2 ทีมรองชนะเลิศจะได้เข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติปูซานปี 2024 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
‘BrandThink’ จึงชวนมาคุยกับ ‘จุ๊ก-อาทิตย์ อัสสรัตน์’ ผู้อำนวยการของ Purin Pictures และหนึ่งในผู้ก่อตั้ง ‘Short Film Camp’ ผู้ที่เชื่อว่าภาพยนตร์จากอาเซียนจะเป็นที่ยอมรับได้ในระดับโลก
‘จุ๊ก-อาทิตย์ อัสสรัตน์’ เดินเข้ามาหาเราพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มบทสนทนาด้วยการแนะนำตัวเองและ ‘Purin Pictures’ สั้นๆ ว่าเป็นองค์กรที่เขาก่อตั้งขึ้นมาร่วมกับ ‘เตื้อย-วิศรา วิจิตรวาทการ’ เพื่อเป็นองค์กรที่มอบทุนให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการดำเนินโครงการอย่าง ‘Short Film Camp’ ที่จับมือกับพาร์ตเนอร์ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมหนังอย่าง ‘Netflix’ ‘White Light Post’ และ ‘กันตนา’ โดยแคมป์นี้ถือเป็นเวิร์กช็อปการทำหนังสั้นที่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับและโปรดิวเซอร์หน้าใหม่จาก 4 ประเทศอย่าง ลาว กัมพูชา เมียนมา และไทย เข้ามาเรียนรู้และชิงเงินทุนสนับสนุน
ช่วยเล่าได้ไหมว่า ‘Short Film Camp’ มีที่มาที่ไปอย่างไร
จริงๆ ‘Purin Pictures’ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2017 โดยได้ให้ทุนสร้างภาพยนตร์แก่ผู้กำกับครอบคลุมประเทศในแถบอาเซียน 10 ประเทศ อย่างใครมีโปรเจกต์หนังอะไรก็สามารถส่งข้อมูลเข้ามาให้คณะกรรมการพิจารณาให้ทุนได้ แต่ว่าพอทำไปประมาณ 3 ปี เรากลับพบว่าประเทศที่มีอุตสาหกรรมภาพยนตร์ค่อนข้างใหญ่อย่าง ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มักจะได้ทุนอยู่บ่อยครั้ง ในขณะที่ประเทศอย่าง ลาว เมียนมา หรือกัมพูชา กลับไม่เคยได้ทุนเลย
เราก็เลยรู้สึกว่า จุดประสงค์ตั้งตนที่ต้องการจะช่วยวงการภาพยนตร์ในอาเซียนมันไปไม่ถึงสามประเทศนี้ เราจึงหันมาช่วยสนับสนุนในรูปแบบของหนังสั้นแทน เพื่อให้ผู้กำกับจากสามประเทศนี้สามารถเข้าถึงทุนและทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดได้ เนื่องจากเขาอาจจะยังไม่พร้อมทำภาพยนตร์ยาวๆ พอคิดได้แบบนี้ ตัวผมเองเลยบินไปทั้งสามประเทศเพื่อคุยกับคนทำหนังที่นั่นว่ามีความต้องการอย่างไรบ้าง และได้คำตอบมาว่าพวกเขาต้องการทุน เนื่องจากขาดการสนับสนุนจากรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็อยากให้เป็นลักษณะของการเวิร์กช็อป เพราะว่าประเทศเขาไม่มี Film School ที่สามารถสอนการทำภาพยนตร์ได้อย่างเต็มรูปแบบ เราจึงนำสิ่งเหล่านี้มาดีไซน์เป็น ‘Short Film Camp’ ที่เป็นทั้งการเวิร์ฏช้อปและการให้ทุนสนับสนุนในเวลาเดียวกัน และทำตั้งแต่ปี 2021 เป็นต้นมา
อะไรคือความน่าสนใจของคนทำหนังของทั้ง 3 ประเทศ ทำไมจึงโฟกัสไปที่ประเทศเหล่านี้
จริงๆ แล้วผมคิดว่าคนทำหนังจากทุกประเทศน่าสนใจหมด เพราะมันมีเรื่องราวน่าสนใจที่ควรนำมาเล่าในทุกประเทศ เพียงแค่คนทำหนังจากลาว เมียนมา และกัมพูชา มีโอกาสเกิดยาก ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้ไม่มีโอกาสเท่าประเทศอื่น อย่างในกัมพูชา หรือลาว วงการภาพยนตร์มันแทบจะไม่มี หรือในเมียนมาที่หนักกว่านั้น คือทุกอย่างหยุดลงตั้งแต่เกิดปัญหาทางการเมือง ซึ่งถ้าเราได้เข้าไปสัมผัสกับคนทำหนังของประเทศเหล่านี้จริงๆ จะพบว่าเขามีศักยภาพมากๆ เพียงแค่ขาดโอกาส เราจึงอยากผลักดันคนเหล่านี้ผ่านการเรียนการสอนและเงินทุนสนับสนุน
เป็นที่ทราบกันดีว่า คุณเป็นบุคลากรชั้นนำของวงการภาพยนตร์ไทย ทั้งนี้คุณได้นำประสบการณ์จากการทำงานในวงการนี้มาออกแบบเวิร์กช็อปอย่างไรบ้าง
แล้วตอนที่เราดีไซน์เวิร์กช็อป เราเริ่มจากการตั้งคำถามว่า อะไรจะเป็นประโยชน์กับทั้ง 12 ทีมมากที่สุด ด้วยประสบการณ์จากทั้งการเคยเป็นเด็กในเวิร์กช็อปเอง หรือจากการทำงานในวงการมากว่า 20 ปี พอมาคิดรวมกันแล้วพบว่าบางอย่างมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้ได้ใน Film School ด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ต้องลงมือทำเองเท่านั้น ซึ่งผมมองสิ่งเหล่านี้ว่ามันคือ ‘Real Life Skill’ ที่ต้องเป็นคนทำหนังจริงๆ ถึงจะรู้ เมนทอร์ที่มาสอนทุกคนจึงเป็นคนทำหนังที่ผ่านทุกอย่างมาหมดและเข้าใจว่าคนทำหนังรุ่นใหม่ต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบท กำกับนักแสดง หรือการคัดเลือกนักแสดงที่ได้ ‘พี่โบ๊ต สมพจน์’ (สมพจน์ ชิตเกษรพงศ์) เข้ามาสอน เนื่องจากเขาเป็นคนแคสต์นักแสดงให้กับหนังของผู้กำกับ ‘เจ้ย อภิชาติพงศ์’ ทุกเรื่อง
นอกจากนี้เรายังสอนในเรื่องการทำการตลาดตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงออกฉาย โดยได้เชิญเมนทอร์ที่เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะมาสอน อย่างเขิญ ‘ต้อย-ภานุ อารี’ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศของสหมงคลฟิล์ม เข้ามาสอนเรื่องการมองธุรกิจภาพยนตร์ว่า ภาพยนตร์ที่เราทำมีมูลค่าเท่าไหร่ ขายที่ไหนได้บ้าง หรือมีตลาดรองรับไหม และไม่เพียงคนไทย เรายังเชิญหลายๆ ท่านมาจากต่างประเทศเพื่อสอนวิชาอื่นๆ อีก ซึ่งทั้งหมดนี้เรามองว่ามันเป็น ‘Real Life Skill’ ที่คนที่มาร่วมเวิร์กช็อปกับเราสามารถนำไปใช้ได้จริง
คิดว่าเราได้ให้อะไรกับ 12 ทีมที่เข้าร่วมเวิร์กช็อป?
จริงๆ เราซัปพอร์ตเขาเท่าที่ทำได้ อย่างการให้เงินสนับสนุน หรือการให้วิชาความรู้ แต่ลึกๆ แล้วเราต้องการอะไรมากกว่านั้น นั่นก็คือสุดท้ายเราอยากให้ประเทศของเขาหรือแม้แต่ไทยเองหันมาสนับสนุนคนทำภาพยนตร์ ด้วยประสบการณ์ของเราที่อยู่ในวงการ เราอาจเป็นแมวมองที่ดีได้ ก็คือเราสามารถชี้ได้ว่าใครเก่ง ใครมีของ หรือใครมีแววไปต่อได้ในวงการ อย่าง 10 วันที่เราอยู่กับเด็กๆ มันไม่ใช่แค่เรามองผลงานเขา แต่เราใช้ชีวิตร่วมกับพวกเขาจนเห็นว่าใครน่าจะไปรอด เราหวังว่าสิ่งเล็กๆ ที่เราทำอย่างการให้ทุน จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่จะทำให้เขาเติบโตไปได้ไกลมากที่สุดในวงการนี้
ในฐานะคนทำหนัง คิดว่าอะไรคือจุดแข็งและจุดอ่อนของอาเซียนที่คุณมองเห็นหลังจากทำโครงการมา
จุดแข็งเลย ผมมองว่าภาพยนตร์ในภูมิภาคนี้มีวัตถุดิบที่สามารถหยิบมาใช้ได้หลากหลาย ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีมิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่เฉพาะตน ในขณะที่จุดอ่อนก็จะเหมือนๆ กัน ก็คือขาดการสนับสนุนจากรัฐ ซึ่งมันชี้ไปถึงปัญหาที่ลึกกว่านั้นก็คือในภูมิภาคของเรายังไม่ค่อยเห็นความสำคัญของศิลปะมากพอ อย่างในไทยเราไม่ได้เป็นประเทศที่ความบันเทิงผูกติดอยู่กับภาพยนตร์มากเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเราก็เริ่มมีการพูดถึงซอฟต์พาวเวอร์ หรือการสนับสนุนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เพิ่มมากขึ้น
ในขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านเราขาดเรื่องพวกนี้หมดเลย เราเลยคิดว่าเราเป็นเพียงองค์กรเล็กๆ ที่อยากเข้ามาช่วย ซึ่งก็อาจจะไม่ได้มาก แต่คิดว่าเราเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ช่วยให้เขาเห็นภาพของการทำหนังและอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งหมด ก่อนที่เขาจะต้องกลับไปเริ่มงานด้วยตัวเองในอนาคต
ถ้าจำกัดพื้นที่ให้แคบลงมาเฉพาะในไทย คุณคิดว่าอะไรคือปัญหาของวงการภาพยนตร์ไทย และแนวทางการแก้ไขปัญหาที่คนทำหนังอยากนำเสนอ
ผมคิดว่าสำหรับไทย เรามีอะไรให้พูดถึงเยอะ เพียงแต่ของบางอย่างเราพูดถึงไม่ได้ ไม่ว่าจะด้วยการหล่อหลอมทางวัฒนธรรมหรือกฎหมายใดๆ ก็แล้วแต่ ซึ่งผมมองว่าถ้าเราต้องการให้ภาพยนตร์ของเราเป็นซอฟต์พาวเวอร์จริงๆ มันอาจจะต้องเปิดกว้างกว่านี้ และต้องมีการปรับแก้มาตรการต่างๆ เช่นต้องแก้กฎหมายให้คนทำหนังง่ายขึ้น พูดถึงเรื่องราวต่างๆ ได้ง่ายขึ้นเพื่อความหลากหลาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่หนังไทยขาด อย่างน้องๆ หลายคนมาคุยกับผมว่า แปลกนะ ที่หนังไทยไม่ค่อยมีฉากในสถานีตำรวจ ซึ่งถ้าดูในเกาหลีมันมีเยอะไปหมด เราเห็นตำรวจเดินไปเดินมา ต่อยกัน ตีกัน แต่เราไม่ค่อยเห็นสิ่งนี้ในหนังไทย เพราะทุกคนรู้ว่าอย่าไปทางนั้นดีกว่า เพราะถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กว่าเรื่องพวกนี้ไม่ควรถูกเล่า มันผิดมารยาท ซึ่งผมมองว่าเราต้องแก้ตรงนี้
คุณมองว่าภาพยนตร์ไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นอย่างไรในอีก 10 ปีข้างหน้า
เรามองค่อนข้างบวกนะครับ เพราะเรามองว่าในอนาคตภาพยนตร์จากภูมิภาคของเราจะเป็นที่รู้จักในระดับโลกมากขึ้น อย่างถ้าเราดูหนังฮอลลีวูด เราจะเห็นนักแสดงเอเชียเข้าไปมีบทบาทในวงการมากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากคนอเมริกันเองที่ผู้ผลิตภาพยนตร์ที่สำคัญที่สุดในโลกเริ่มโอบรับวัฒนธรรมจากทั่วโลก ก็เลยส่งผลให้มีการลงทุนในพื้นที่นอกอเมริกาอย่าง ‘Netflix’ ในช่วงแรกๆ ที่เข้ามาในไทย ก็มีเป็นนโยบายเลยว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้ เลยเข้ามาตั้งออฟฟิศในอินโดนีเซียและไทย ซึ่งต่อไปก็จะก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างโลกกับภูมิภาคของเรามากขึ้น
อาทิตย์ปิดการตอบคำถามข้อนี้ด้วยการเปรียบเทียบให้เราเห็นว่า “แต่ก่อนมันมีกำแพง ฮอลลีวูดคือฮอลลีวูด มันเหมือนปราสาทอยู่ไกลๆ พวกเราเป็นแค่คนเล็กๆ ที่ถูกกำแพงปราสาทกันไว้อยู่ แต่ตอนนี้กำแพงนั้นกำลังพังถล่มลงมา” ก่อนจะกล่าวเสริมว่า “แต่มากกว่านั้นสิ่งที่เราต้องทำก็คือ การพัฒนาคนทำหนังให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งในจุดนี้ Purin Pictures ก็อยากเป็นก้าวเล็กๆ ที่เข้ามาช่วยติดปีกให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่”