การ ‘สร้างพรมแดน’ ในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน คือสิ่งที่ดี แต่มันจะไร้ประโยชน์ ถ้าไม่มี ‘โทษ’ หากรุกล้ำพรมแดน
การ ‘สร้างพรมแดน’ ในความสัมพันธ์ให้ชัดเจน
คือสิ่งที่ดี แต่มันจะไร้ประโยชน์
ถ้าไม่มี ‘โทษ’ หากรุกล้ำพรมแดน
ความสัมพันธ์ต่างๆ ในโลกนี้ ยิ่งใกล้กันมาก โอกาสกระทบกระทั่งกันยิ่งมีมาก ซึ่งความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมักจะมีคุณค่าและไม่อาจยกเลิกกันได้ง่ายๆ เราจึงต้องลดโอกาสกระทบกระทั่งหรือสร้างความไม่พอใจแก่กันเพื่อรักษาความสัมพันธ์ให้ยืนยาว โดยพื้นฐานของการลดการกระทบกระทั่งก็คือการ ‘สร้างพรมแดน’ ซึ่งกันและกัน
แล้วอะไรคือการสร้างพรมแดน?
ง่ายๆ ก็คือ การสื่อไปถึงอีกฝ่ายว่า “คุณจะทำสิ่งนี้ไม่ได้” ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร ตัวอย่างเช่น ถ้าแม่โทรมาจิกมากไป แบบวันละหลายรอบ พูดยาวไปเรื่อยทั้งที่คุณต้องทำงาน ก็อาจจะบอกว่าโทรมาวันละครั้งคุยกัน 5 นาทีพอ หรือถ้ามีเพื่อนที่เมาๆ แล้วชอบทักมาหาเรา ก็อาจจะสื่อความว่า “มึงทำแบบนี้ไม่ได้” โดยไม่ต้องไปตอบ แต่ถ้าทักมาในเวลาปกติ ก็คุยกันได้ปกติ หรือถ้าพ่อแม่เราชอบเอาของที่ไม่มีประโยชน์ให้ลูกเรากิน เราก็อาจต้องบอกไปชัดๆ ว่าถ้าจะเอาอะไรให้ลูกเรากิน ต้องถามเราก่อน หรือถ้าเรามีเพื่อนสักคนที่ชอบล้อเราแล้วเราไม่ชอบ เราก็อาจเงียบแล้วมองหน้าให้เกิดเดดแอร์ไปเลย จนเพื่อนคนอื่นต้องเปลี่ยนเรื่องคุย
ทั้งหมดเป็นเทคนิคในการสร้างพรมแดนในแบบต่างๆ จะทำแบบไหนก็ได้หมด ถ้ามันได้ผล
ปัญหาคือหลายๆ ครั้งมันมักไม่ได้ผล
คือคนที่ใกล้ชิดกัน มันก็เป็นธรรมดาที่ย่อมรู้สึกว่าเราสามารถทำสิ่งโน้นสิ่งนี้กับอีกฝ่ายได้ และก็ชินจนเป็นนิสัย ซึ่งพอเป็นนิสัยก็ไม่มีใครอยากจะเปลี่ยน โดยหลายๆ คนถ้าไปจี้ว่า “เตือนแล้วนะ” ก็อาจดราม่าใส่อีก แล้วก็ยังคงพฤติกรรมเดิม
นี่คือสัญญาณว่าการสร้างพรมแดนมันไม่ได้ผล และมันเป็นปัญหาคลาสสิกของความสัมพันธ์
มาถึงตรงนี้ ทางผู้เชี่ยวชาญก็จะถามว่า คุณประกาศพรมแดนไปแล้ว แต่คุณพร้อมแค่ไหนที่จะลงโทษคนที่รุกล้ำพรมแดนของคุณ? เพราะถ้าคุณไม่พร้อมจะลงโทษ ทุกอย่างก็อาจจะกลับไปเป็นแบบเดิม เมื่ออีกฝ่ายตระหนักว่าข้ามพรมแดนที่ตั้งไว้ก็ไม่เห็นเป็นไร
ประเด็นคือ ทุกครั้งที่คุณประกาศพรมแดนไป คุณควรจะมี ‘บทลงโทษ’ ในใจ ซึ่งตามสูตรมันก็คือการจงใจจะห่างจากอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ โดยขั้นสูงสุดคือการตัดความสัมพันธ์
ประเด็นคือ คุณพร้อมหรือไม่ที่จะรับโทรศัพท์แม่คุณแค่รอบเดียวและตัดสายถ้าแม่คุณพูดไปเรื่อย โทรมาอีกก็ไม่รับ ถ้าคุณยืนยันแล้วว่าอัปเดตชีวิตกันวันละ 5 นาทีก็พอ?
ประเด็นคือ คุณพร้อมหรือเปล่าที่จะดัดนิสัยเพื่อนคุณที่ชอบทักมาดึกๆ ดื่นๆ ตอนเมาด้วยการ ‘เย็นชาให้รู้สึก’ ?
ประเด็นคือ คุณพร้อมจะลงโทษพ่อแม่คุณที่ ‘สปอยล์’ ลูกคุณ ด้วยการไม่ยอมให้พบหลานเป็นเวลานานหรือเปล่าถ้าพวกเขาไม่ฟังสิ่งที่คุณขอ?
ประเด็นคือ คุณพร้อมหรือเปล่าที่จะยืนยันว่า ‘มันไป กุไม่ไป’ เวลาเพื่อนนัดกัน และถ้าคนที่เล่นมุกตลกแบบไม่เคารพเรามันไปด้วย
ประเด็นคือ เราเตรียมบทลงโทษไว้แค่ไหน กับผู้ไม่สนใจพรมแดนที่เราขีดเส้นเอาไว้? ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเขาก็จะบอกว่า เราก็อาจคิดไปให้สุดว่า ถ้าทำทุกอย่างแล้ว พฤติกรรมก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง เราพร้อมแค่ไหนที่จะ ‘ยุติความสัมพันธ์’ ซึ่งนั่นคือระดับขีปนาวุธในการรักษาพรมแดน
เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซับซ้อน ต่างไปในแต่ละความสัมพันธ์ บางคนการตัดพ่อตัดแม่ที่ไม่เคยฟังสิ่งที่เราขอเลย ก็อาจง่ายกว่าการตัดเพื่อนนิสัยไม่ดีสักคน เพราะนั่นหมายถึงการห่างจากเพื่อนทั้งกลุ่ม ซึ่งคือเพื่อนกลุ่มเดียวของเรา
สิ่งเหล่านี้คงจะตัดสินใจแทนกันไม่ได้ แต่หลักการพื้นฐานก็คือ ถ้าเราอึดอัดกับพฤติกรรมของคนรอบๆ ตัว เราก็ควรจะสร้างเส้นพรมแดนในความสัมพันธ์ขึ้น คือการสื่อสารออกไปว่าอย่ามีพฤติกรรมแบบนี้กับเรา ซึ่งทุกครั้งที่เราสร้าง ‘เส้นพรมแดน’ เราก็ควรมี ‘บทลงโทษ’ ที่น่าจะใช้ตักเตือนอีกฝ่ายได้ในใจ โดยเราก็อาจต้องคิดเช่นกันว่าถ้าบทลงโทษไม่ได้ผล เราพร้อมจะยกระดับบทลงโทษไปถึงขั้นไหน และเต็มที่เลยก็อาจต้องถามตัวเองว่าถ้าเลือกระหว่างการอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นพิษนี้ต่อไป กับการยุติความสัมพันธ์และต้องรับกับแรงกระเพื่อมทั้งหมดที่ตามมา เราจะเลือกหนทางไหน?
อ้างอิง:
- Psychology Today. Why Your Boundaries Aren’t Working. https://shorter.me/sWKlz