สถานการณ์ความขัดแย้งที่กำลังเป็นที่จับตาของประชาคมโลกในขณะนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ทหารรัสเซียกำลังบุกประชิดชายแดนยูเครน ซึ่งกำลังสร้างความหวั่นวิตกว่าเรื่องจะบานปลายไปสู่สงครามใหญ่ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
มีการคาดการณ์ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่างๆ นานาว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ด้านลบได้กี่แบบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม เศรษฐกิจ ตลอดจนความบอบช้ำต่อประชาชน แต่ในที่นี้เราอยากโฟกัสประเด็นมาที่เรื่องราวทางสิ่งแวดล้อมกันเสียหน่อย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่เรื่องสิ่งแวดล้อมกลายเป็นปัญหาใหญ่ ไม่ว่าจะโลกร้อนหรือการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ล้วนอยู่ในสถานะ ‘วิกฤต’ ทั้งสิ้น และจากการสรุปบทเรียนของสงครามในอดีตก็ให้คำตอบชัดเจนว่า ‘ความขัดแย้งที่นำไปที่สู่การก่อสงคราม’ คือตัวการที่ทำให้วิกฤตโลกร้อนเลวร้ายลงอย่างรวดเร็วไม่น้อยกว่าการทำลายสิ่งแวดล้อมโดยตรงเลยทีเดียว

climate change l Elliot Plack / Flickr
สงคราม ทำให้โลกร้อนได้อย่างไร
หากถอดบทเรียนจากสงครามในอดีตที่ผ่านมา คงไม่ต้องพูดถึงสงครามโลกทั้งสองครั้ง เพียงแค่สเกลของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ก็นำพาความวายป่วงให้โลกเผชิญอาการเจ็บป่วยได้อย่างมากมายมหาศาล
ตัวอย่างผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดของสงครามมักเกิดจากการโจมตีฐานทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างแหล่งเก็บน้ำมันหรือเชื้อเพลิงต่างๆ ที่นำไปสู่การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงอย่างเปล่าประโยชน์ พร้อมก่อให้เกิดมลพิษกับสถานที่ต่างๆ จากการรั่วไหลอย่างต้องเสียเวลาฟื้นฟูไปอีกหลายปี
กรณีศึกษาหนึ่งมีการประเมินว่าไฟจากการเผาไหม้น้ำมันในสงครามอ่าว (Gulf War) ปี 1991 ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ มากกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ของการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลก ตัวเปอร์เซ็นต์อาจดูไม่สูงนักแต่เขม่าที่ลอยคลุ้งทั่วท้องฟ้านั้นส่งผลกระทบต่อเนื่องมาอีกหลายปี และมีส่วนเร่งให้ธารน้ำแข็งในทิเบตละลายลงอย่างรวดเร็วในทศวรรษที่มีสงคราม
การสูญเสียพลังงานที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ยังนำไปสู่ภาวะขาดแคลนเชื้อเพลิง ทำให้ผู้คนมักหันไปใช้พลังงานทางเลือกที่ไม่สะอาดและเป็นอันตราย เช่น ในซีเรียเกิดการกลั่นน้ำมันดิบแบบผิดกฎหมายด้วยเครื่องมือที่ไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดการปล่อยมลพิษมากกว่าการกลั่นน้ำมันแบบปกติหลายเท่าตัว

ควันพวยพุ่งจากคลังเก็บน้ำมันสองแห่งที่ได้รับความเสียหายจากการต่อสู้ในลิเบีย l NASA
แค่เตรียมก่อสงครามก็ทำโลกร้อนได้แล้ว
ไม่เพียงแต่การก่อสงครามเท่านั้นที่เร่งให้โลกร้อนเร็ว ตัวแปรอีกด้านที่ผลักดันให้โลกยิ่งรวน เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่อุตสาหกรรมผลิตอาวุธ และการสั่งสมกองกำลัง
ในงานวิจัยโครงการ Cost of War ของมหาวิทยาลัยบราวน์ ได้เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหมสหรัฐมีรอยเท้าคาร์บอนฯ ต่อปีมากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลก ผ่านเครือข่ายฐานงานด้านต่างๆ และระบบลอจิสติกส์ ซึ่งกล่าวได้อีกอย่างว่ากองทัพสหรัฐสร้างรอยเท้าคาร์บอนฯ สูงกว่าค่าเฉลี่ยรัฐต่างๆ ในประเทศเสียอีก ตัวอย่างที่ชัดเจนคือสองทศวรรษของการยึดครองอัฟกานิสถาน การขนส่งกำลังทหารเข้าไปต่อเนื่องได้สร้างรอยเท้าคาร์บอนฯ จากภาคการขนส่งในปริมาณที่เยอะเอาการเลยทีเดียว
โดยมีการเปรียบเทียบว่า หาก ‘เพนตากอน’ คือประเทศประเทศหนึ่ง ที่นี่เป็นแหล่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 55 ของโลกเลยทีเดียว
ขณะที่ในปี 2011 ที่สหรัฐเริ่มต้นบุกอัฟกานิสถาน กองทัพเพียงหน่วยงานเดียวได้ปล่อยคาร์บอนฯ ประมาณ 2 พันล้านตันสู่ชั้นบรรยากาศ ขณะที่ประชาชน หน่วยงานรัฐ เอกชน ทั่วทั้งสหราชอาณาจักรทั้งหมดปล่อยคาร์บอนฯ อยู่ที่ประมาณ 360 ล้านตัน
นอกจากนี้ กำลังทหารสหรัฐที่ตรึงกำลังอยู่ทั่ว ก็ยังผลักดันในกลุ่มติดอาวุธในอัฟกานิสถานตัดไม้ทำลายป่าสร้างที่หลบภัยและแสวงหาเงินทุนมาเตรียมพร้อมจากการขายทรัพยากรที่เป็นเครื่องมือดูดซับคาร์บอนฯ หรือในกรณีที่คล้ายคลึงกันแต่ผลลัพธ์รุนแรงกว่าอย่างสงครามเวียดนามที่ทำให้ผืนป่าของประเทศหายไปเกือบครึ่งหนึ่งหรือประมาณ 44 เปอร์เซ็นต์หายไปอย่างไม่มีวันหวนคืน
คนได้รับผลกระทบก็ยังเป็นผู้ปล่อยคาร์บอนฯ
การพลัดถิ่นของผู้ได้รับผลกระทบจากไฟสงคราม การเดินทางข้ามพรมแดนสามารถเพิ่มการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ ได้ ไม่ต่างจากการส่งกองทหารไปประจำการ ซึ่งเป็นการนำพาคาร์บอนฯ จากแหล่งหนึ่งไปสู่อีกแหล่ง เช่น การปล่อยคาร์บอนฯ ของเลบานอน จอร์แดน และตุรกี เกิดขึ้นเพราะผู้อพยพจากการสู้รบในซีเรีย
เช่นเดียวกับเรื่องการลำเลียงทรัพยากรที่สำคัญอย่างน้ำ อาหาร การสร้างที่พักพิงแก่พลเรือนที่ได้รับผลกระทบ การช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเหล่านี้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เป็นจำนวนมาก ในปี 2017 มีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ตีเป็นค่าใช้จ่ายด้านพลังงานสูงถึง 1.2 พันล้านดอลลาร์หรือ 5 เปอร์เซ็นต์ ของค่าใช้จ่ายด้านงานช่วยเหลือ
ในบางกรณีการสร้างค่ายผู้พลัดถิ่นในหลายแห่งยังนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์สถานที่และปล่อยคาร์บอนฯ สู่ชั้นบรรยากาศด้วยเหมือนกัน เช่น การตัดไม้ทำลายป่าใกล้กับค่ายโรฮิงญาในบังกลาเทศ
หรือแม้แต่ในช่วงที่สงครามสิ้นสุด งานฟื้นฟูดูแลบ้านเรือนที่ได้รับความเสียหายก็ปล่อยคาร์บอนฯ ตามมาอีกมากจากการผลิตซีเมนต์ ตัวอย่างความขัดแย้งในซีเรีย บรรยากาศโลกต้องดูดซับคาร์บอนฯ ไปอีก 22 ล้านตัน ในช่วงการฟื้นฟูบ้านเรือนที่เสียหาย

เศษซากบ้านเรือนในซีเรียและการสร้างใหม่สามารถสร้างการปล่อยมลพิษได้อย่างมีนัยสำคัญ l Basma/FCO
ลดโลกร้อน ต้องยุติสงคราม
ดังที่กล่าวมาทั้งหมด อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวพันโดยตรงต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นจากสถานการณ์รัสเซียบุกยูเครน แต่มันก็เป็นบทเรียนที่บอกว่า สงครามสามารถสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมได้มากแค่ไหน ในมิติไหนบ้าง และนำไปสู่การเร่งให้วิกฤตโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นได้อย่างไร
ในความเป็นจริง สงครามก็ไม่ได้สร้างแต่ก๊าซคาร์บอนฯ ดังที่ยกตัวอย่างมาเท่านั้น ยังนำไปสู่ความสมดุลของการแผ่รังสีในชั้นบรรยากาศ มีผลต่ออุณหภูมิความร้อน หรือการไหลเวียนของแม่น้ำ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของเมฆ
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการทำสงครามทางภูมิศาสตร์ที่เปราะบาง ซึ่งขาดแนวทางการรับมือผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ยิ่งเป็นการซ้ำเติมผู้ได้รับผลกระทบจากสงครามให้หนักข้อเข้าไปอีก
เมื่อปีที่ผ่านมา รัสเซียไม่ได้เข้าร่วมประชุม COP 2021 ในเดือนพฤศจิกายน แต่ก่อนหน้านั้นประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ประกาศว่า รัสเซียจะบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Net Zero ไม่เกินปี 2060 ซึ่งหมายถึงการไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกไปสะสมในชั้นบรรยากาศอีกต่อไป
แต่หากสถานการณ์ความขัดแย้งที่อาจนำไปสู่ภาวะสงครามยังคงดำเนินต่อไป การบรรลุเป้าหมาย Net Zero ในปีดังกล่าวของรัสเซียก็คงจะไม่มีความหมายต่อโลกสักเท่าไหร่ เพราะพวกเขาได้เพิ่มคาร์บอนฯ ให้กับโลกไปอย่างทวีคูณด้วยไฟสงครามไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อ้างอิง
- CEOBS. How does war contribute to climate change? https://bit.ly/3ovLuST
- The Intercept. Industrialized Militaries Are a Bigger Part of the Climate Emergency Than You Know. https://bit.ly/3ouW5x6
- Foreign Policy. Afghanistan’s Forests Are Turning a Profit for the Islamic State. https://bit.ly/3JbyTvM
- BBC. COP26: Biden attacks China and Russia leaders for missing summit. https://bbc.in/3sosdnp