เพราะประวัติศาสตร์ร้าวรานกว่าที่คิด! ‘ควีนอังกฤษ’ พบ ‘หมีแพดดิงตัน’ สะท้อนปมผู้ลี้ภัย-ราชวงศ์กดขี่ทาส

5 Min
2364 Views
10 Jun 2022

Select Paragraph To Read

  • รากเหง้าผู้อพยพกับปัญหาเหยียดเชื้อชาติสะท้อนผ่านชีวิตหมี
  • คำขอบคุณของหมีที่ถูกตีความเกินกว่าโต๊ะน้ำชา
  • อดีตที่ตามหลอกหลอนราชวงศ์อังกฤษในโลกยุคใหม่

แม้คนทั่วโลกจะชื่นชมและตอบรับอย่างดีที่เห็นการปรากฏตัวของหมีแพดดิงตันร่วมดื่มน้ำชากับควีนเอลิซาเบธ หรือ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ ในแอนิเมชั่นที่ฉายครั้งแรกในพิธีเฉลิมฉลองวันครบรอบการครองราชย์ 70 ปีของพระองค์ รวมถึงทางช่องยูทูบ The Royal Family ของสำนักพระราชวังบักกิงแฮม แต่เรื่องนี้ตกเป็นประเด็นทางการเมืองในอังกฤษอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะประวัติความเป็นมาของหมีแพดดิงตันสวนทางกับนโยบายของอังกฤษยุคนี้ 

รากเหง้าผู้อพยพกับปัญหาเหยียดเชื้อชาติสะท้อนผ่านชีวิตหมี

การเฉลิมฉลองวาระที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ครองราชย์ครบ 70 ปี หรือ แพลตินัม จูบิลี (Platinum Jubilee) ถูกจัดขึ้นหลายวันในช่วงต้นเดือนมิถุนายน 2022 ซึ่งรวมถึงการจัดงานบนท้องถนนและขบวนสวนสนามอันยิ่งใหญ่ของทหารรักษาพระองค์ในกรุงลอนดอน ขณะที่แอนิเมชั่นหมีแพดดิงตันดื่มน้ำชากับควีนก็ได้รับคำชมจากผู้ชมทั่วโลกที่เป็นแฟนหมีแพดดิงตัน และมุกตลกน่ารักๆ เรื่องการแบ่งปันที่ซ่อนแซนด์วิชมาร์มาเลดก็เป็นกระแสในสื่อโซเชียล

หมีแพดดิงตัน (Paddington Bear) เริ่มต้นจากการเป็นตัวละครในวรรณกรรมเยาวชนคลาสสิก ซึ่ง ไมเคิล บอนด์ (Michael Bond) ตากล้องของสถานีโทรทัศน์ BBC ที่เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมาในปี 1958 บอกว่า เขาต้องการให้เรื่องราวของหมีตัวนี้สะท้อนชะตากรรมของผู้อพยพลี้ภัยมายังอังกฤษยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และหนังสือได้รับความนิยมจนถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และสินค้าสำหรับเด็กอีกหลายอย่าง จนกลายเป็นหนึ่งในตัวละครสมมุติที่ครองใจคนทั่วโลกในหลายทศวรรษต่อมา

ถ้าดูจากเนื้อหาในวรรณกรรม หมีแพดดิงตันรอนแรมจากเปรูก่อนมาลงเอยที่สถานีรถไฟแพดดิงตันที่เชื่อมต่อระหว่างเส้นทางเข้าเมืองจากเวลส์มาบรรจบกับลอนดอน ส่วนครอบครัวบราวน์ซึ่งไปรับจูดี้ผู้เป็นลูกสาวที่สถานีแห่งนี้พอดี ได้เจอกับหมีสีน้ำตาลที่อพยพมาจากทวีปอเมริกาใต้ตัวนี้และตัดสินใจรับไปเลี้ยงดู

หมีจากที่ที่มืดที่สุดของเปรูจึงถูกตั้งชื่อว่า แพดดิงตัน ตามชื่อสถานีรถไฟในมหานครลอนดอน

ประวัติความเป็นมาของการเป็นหมีผู้อพยพลี้ภัยของแพดดิงตันสอดคล้องกับสถานการณ์ด้านผู้ลี้ภัยในยุค 50-60’s ของอังกฤษ เพราะผู้ลี้ภัยสงครามจากยุโรปและอเมริกา รวมถึงผู้ที่อพยพจากเอเชียใต้ ต่างก็มุ่งหน้าไปที่อังกฤษซึ่งเคยรุ่งเรืองอย่างมากในฐานะเจ้าอาณานิคม เพราะช่วงนั้นมีการต่อสู้เรียกร้องเอกราชในหลายประเทศเช่นกัน

การปรับตัวและการอยู่ร่วมกันของหมีแพดดิงตันกับครอบครัวบราวน์จึงถูกคอลัมนิสต์ของสื่ออเมริกันอย่าง The New Yorkers ตีความว่าเป็นภาพสะท้อนการรับมือผู้อพยพลี้ภัยของคนอังกฤษและรัฐบาลในสมัยนั้น ซึ่งพยายามหาทางประนีประนอมและบอกกล่าวข้อความทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านหนังสือเล่มนี้ เพื่อนำไปสู่การเปิดใจรับความแตกต่าง โดยเฉพาะวิถีของหมีที่ถูกเชื่อมโยงกับสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ไม่เข้าพวกกับความศิวิไลซ์ของคนเมือง แต่ก็พยายามปรับตัวเข้าหากัน

คำขอบคุณของหมีที่ถูกตีความเกินกว่าโต๊ะน้ำชา

ถ้าย้อนกลับไปดูดีๆ ในยุคที่วรรณกรรมหมีแพดดิงตันถูกตีพิมพ์ในช่วงแรกก็จะพบว่า ผู้อพยพลี้ภัยในอังกฤษและผู้ที่สืบเชื้อสายจากชาวแอฟริกันมักจะตกเป็นเป้าความรุนแรงที่ก่อโดยวัยรุ่นผิวขาว ทั้งยังเกิดการจลาจลและความไม่สงบเกี่ยวเนื่องกับเชื้อชาติและความเกลียดชังโดยเลือกปฏิบัติหลายต่อหลายครั้งในลอนดอน จนเกิดการถกเถียงและหามาตรการอยู่ร่วมกันกับคนอังกฤษดั้งเดิมและผู้อพยพที่เปิดรับเข้ามา

การที่หมีแพดดิงตันซึ่งทำตัวไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมอังกฤษ ถูกฉายให้เห็นในแอนิเมชั่นฉลองวันครบรอบการครองราชย์ของควีนอังกฤษจึงถูกมองว่ามีนัยทางการเมืองซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการที่หมีแพดดิงตันดื่มชาจากกาตรงๆ หรือลุกขึ้นยืนเทชาให้ควีน หรือแม้แต่ทำซุ่มซ่ามจนอาหารว่างบนโต๊ะเละเทะ ควีนก็ทรงไม่ถือสาจนหมีแพดดิงตันทำตาซึ้งและเอ่ยออกมาว่าขอบคุณสำหรับทุกอย่าง

ฉากนี้ถูกสื่อจำนวนหนึ่งและองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนมองว่า เป็นการส่งต่อข้อความมากกว่าแค่การขอบคุณควีนในเรื่องที่เกิดขึ้นบนโต๊ะน้ำชา เพราะแม้จะทรงมีจิตใจเมตตาต่อหมีที่ตามธรรมชาติเป็นสัตว์ดิบเถื่อนและพยายามปรับตัวให้เข้ากับโลกอารยะที่สุดแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หมีแพดดิงตันมายืนอยู่ต่อหน้าควีนได้ก็เป็นเพราะนโยบายเปิดรับผู้อพยพเมื่อศตวรรษที่ 20 ของอังกฤษ

องค์กรระหว่างประเทศเพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในอังกฤษ International Rescue Committee หรือ IRC เป็นหนึ่งในผู้ที่พูดเรื่องนี้ออกมา เพราะผู้ดูแลเฟซบุ๊คเพจ Rescue UK ของ IRC โพสต์ภาพหมีแพดดิงตันและควีนจากวิดีโอดังกล่าวลงในเพจพร้อมคำบรรยายว่า นี่เป็นเรื่องตลกร้าย เพราะถ้าเรื่องราวของหมีแพดดิงตันเกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นถูกรัฐบาลชุดนี้เนรเทศไปรวันดา

ประโยคนั้นของ IRC พาดพิงตรงๆ ถึงนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ผู้นำคนปัจจุบันของอังกฤษ ที่เพิ่งเนรเทศผู้ขอสถานะผู้ลี้ภัย (asylum seeker) กว่า 50 คนไปยังรวันดาเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เพราะรัฐบาลของเขาต้องการผลักดันให้ผู้อพยพลี้ภัยและผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายไปยังประเทศที่สามเพื่อให้ดำเนินการแทนอังกฤษ ซึ่งผู้วิจารณ์มาตรการนี้มองว่าเป็นการผลักภาระให้ประเทศที่ยากจนกว่าสหราชอาณาจักร ทั้งยังขัดต่อหลักกฎหมายสากลที่ระบุว่าประเทศที่เป็นสมาชิกสนธิสัญญาระหว่างประเทศต้องไม่ส่งตัวผู้ขออพยพลี้ภัยไปยังประเทศที่เสี่ยงอันตราย

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลอังกฤษชุดนี้ไม่ได้มีแค่นักสิทธิมนุษยชน แต่รวมถึงคนอังกฤษที่สืบเชื้อสายจากผู้อพยพลี้ภัยในอดีต ซึ่งมองว่าการก่อร่างสร้างประเทศจากอดีตถึงปัจจุบันก็ต้องมีคนหลากหลายเชื้อชาติอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่คนผิวขาวเชื้อสายแองโกลแซกซอนดั้งเดิมเท่านั้น

อดีตที่ตามหลอกหลอนราชวงศ์อังกฤษในโลกยุคใหม่

หลังดื่มน้ำชากับควีนเอลิซาเบธที่ 2 หมีแพดดิงตันที่ถูกผูกโยงกับภาพผู้ลี้ภัยจะเดินสายไปพบปะผู้คนในพื้นที่อื่นๆ ของสหราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนไปจนถึงเดือนกันยายน 2022 เพื่อโปรโมตงานกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ ขณะที่กลุ่มเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ในอังกฤษก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อเนื่องแม้พิธีฉลอง Platinum Jubilee จะจบลงไปแล้วเช่นกัน

ตามปกติ ประเทศที่ยังมีสถาบันกษัตริย์ ณ ปัจจุบัน มักจะมีกฎหมายหรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ว่าสมาชิกราชวงศ์ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองแต่ประเทศเหล่านี้อีกเช่นกันที่ราชวงศ์ตกเป็นประเด็นทางการเมืองเสียเอง เพราะกลุ่มคนที่วิพากษ์วิจารณ์มองว่าการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์คือเรื่องการเมืองในทางปฏิบัติอยู่แล้ว

กรณีของสหราชอาณาจักร ประเด็นที่คนพูดถึงกันมาตลอด คือ สถานะของสมาชิกราชวงศ์ซึ่งแตกต่างและได้รับการคุ้มครองเหนือกว่าคนธรรมดา ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ผู้ที่ได้รับเลือกมาจากประชาชนเหมือนอย่างผู้นำรัฐบาลและผู้แทนราษฎร แถมภาครัฐยังต้องจัดสรรงบประมาณเพื่อรักษาเกียรติยศและความปลอดภัยของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ อีกทั้งการถือครองทรัพย์สินที่เป็นมรดกตกทอดของราชวงศ์ก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้น เพราะมาจากความไม่เป็นธรรมและการละเมิดสิทธิมนุษยชนในอดีต ทั้งการล่าเมืองขึ้นในยุคอาณานิคมที่นำไปสู่ระบอบทาส ไปจนถึงการนำทรัพยากรของดินแดนอื่นมาบรรณาการราชวงศ์

เมื่อเข้าสู่ยุคศตวรรษที่ 21 หลายประเทศในเครือจักรภพอังกฤษก็พยายามจะปลดแอกจากอดีตที่เคยตกเป็นอาณานิคม และที่เป็นข่าวใหญ่ไปเมื่อปี 2021 คือ สาธารณรัฐบาร์เบโดส ซึ่งจัดทำประชามติถามความเห็นประชาชนจนได้คำตอบว่าคนส่วนใหญ่อยากให้ปลดควีนเอลิซาเบธที่ 2 พ้นจากการเป็นประมุขของประเทศ และล่าสุด ผู้คนในจาเมกาและบาฮามาสก็เรียกร้องให้ยกเลิกสถานะประมุขประเทศของควีนเอลิซาเบธที่ 2 เช่นกัน

เมื่อครั้งที่เจ้าชายวิลเลียมและดัชเชสเคทเสด็จเยือนประเทศเครือจักรภพอังกฤษเหล่านี้ ช่วงต้นปี 2022 ในฐานะผู้แทนพระองค์ ก็ได้เจอกับการประท้วงที่เรียกร้องให้ราชวงศ์อังกฤษเยียวยาความเสียหายที่เกิดกับคนในประเทศอดีตอาณานิคม

ผู้ที่เคลื่อนไหวประเด็นนี้มองว่า ทรัพยากรต่างๆ ทั้งที่เป็นมรดกทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมของคนพื้นเมืองในอดีตถูกบีบบังคับปล้นชิงไปในยุคอาณานิคมอังกฤษ อีกทั้งผู้คนจำนวนมากก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทาส ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง ถือเป็นประวัติศาสตร์ด้านมืดและโหดร้ายของราชวงศ์ที่ได้รับการยกย่องมาอย่างยาวนาน และผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากอดีตอันไม่เป็นธรรมเหล่านี้จึงควรแสดงความรับผิดชอบออกมา

อ้างอิง