Public Shaming การ ‘เสียบประจาน’ ในโลกยุคใหม่ เมื่อเรื่องราวเลวร้ายสร้างได้ด้วยปลายนิ้ว
Highlight
- การเติบโตของอินเทอร์เน็ตทำให้ Public Shaming หรือ ‘การประจานต่อหน้าสาธารณะ’ เลวร้ายขึ้นกว่าเดิม เมื่อ Digital Footprint คือสิ่งที่ไม่มีวันเลือนหายไป ไม่ได้มีการตัดสินที่ชัดเจน ไม่มีการลงโทษที่เหมาะสม และเป็นการรุมโจมตีจากบุคคลที่เราก็ไม่รู้ว่าใคร เป็นเหมือนตราบาปที่รุนแรงและหลอกหลอนไปนานแสนนาน
คุณเคยเขาไปคอมเมนต์ต่อว่า หรือบ่นด่าใครที่ถูกนำมา ‘แฉ’ หรือเปล่า?
เคยเข้าไปรุมซ้ำใครที่ถูกแคปแชทมา
แล้วมีบทสนทนาที่คุณไม่ถูกใจหรือเปล่า?
วันนี้เราจะมาพูดถึงการเสียบประจานในโลกสมัยใหม่ผ่านเครื่องมือออนไลน์กัน เพราะมันช่างง่ายดายและอาจเลวร้ายกว่าที่หลายคนคิด (ขออนุญาตพูดถึงภาพรวมของพฤติกรรม Public Humiliation / Public Shaming / Online Shaming / Cancel Culture ในโลกยุคนี้)
หากย้อนกลับไปมองภาพการประจานที่เราคุ้นชิน เรามักจะเห็นภาพของ ‘ผู้ที่ถูกกล่าวหา’ ถูกพาไปตามท้องถนน แล้วให้ชาวประชารุมด่า รุมขว้างปาสิ่งของ หรือรุมทำร้าย
แม้ Public Shaming ในปัจจุบันจะไม่ได้สร้างความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่การเสียบประจานในโลกสมัยใหม่อาจเป็นตราบาปที่คุณไม่ได้รับการแก้ไขต่อไปอีกตลอดชีวิต
ด้วยพลังของอินเทอร์เน็ต พอเราเจออะไรที่เราไม่พอใจ ไม่ว่ามันจะร้ายแรงแค่ไหน พวกเรามักจะใช้พลังที่เรามี มาสร้างเป็นมาตรการเสียบประจาน เพื่อสร้างความอับอายต่อสาธารณะ เพื่อประจานพฤติกรรมของใครสักคนที่เราคิดว่าเขาทำสิ่งที่ผิดหรือแปลกออกไปจากสิ่งที่ ‘ถูกต้อง’ ในช่วงเวลานั้น
จากข้อมูลของ Coffee Break เราพอทราบได้ว่า Public Shaming จะส่งผลถึง 3 เรื่องหลัก ได้แก่
1. เสียงาน (ถูกไล่ออก)
2. เสียรายได้ (คนไม่สนับสนุนสินค้า)
3. เสียที่ยืนในสังคม (ผู้คนรังเกียจ)
การเติบโตของโลกอินเทอร์เน็ตดูเหมือนจะยิ่งทวีคูณความโหดร้ายของ Public Shaming มากขึ้นไปอีก เพราะถึงแม้คุณจะถูกบ่นด่าจากคนในชุมชน คุณก็ยังสามารถหลีกหนีไปอยู่ที่อื่นได้ แต่ในโลกอินเทอร์เน็ต Digital Footprint ไม่ได้ทำงานแบบนั้น ไม่ว่าจะคุณจะไปไหน อายุเท่าไหร่ ก็ยังมี Digital Footprint เป็นร่องรอยระบุสิ่งที่คุณทำไว้อยู่เสมอ
ลองนึกภาพ ‘กรณีของวรรณสิงห์’ ก็ได้ครับ ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน แต่วรรณสิงห์ก็ยังถูกขุด ‘ภาพที่ไปร่วม Big Clean Day’ ออกมาเสียบประจานและต่อว่ากันอยู่เสมอ จนต้องทำให้เจ้าตัวออกมาแถลงจุดยืนกันยกใหญ่
แต่อย่างไรก็ตามภาพนั้นก็จะยังอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตไปอีกนาน ซึ่งในสิบปีข้างหน้า เราอาจจะเห็นภาพนั้นถูกยกขึ้นมาใช้โจมตีวรรณสิงห์อีกรอบก็ได้
หลายท่านอาจจะมองว่า มันเป็นพลังที่ทำให้ประชาชนสามารถสร้างความยุติธรรมได้ด้วยตัวเอง สามารถเรียกร้องความยุติธรรมให้สังคมได้ (อย่างกรณีของ บอส อยู่วิทยา) แต่ประเด็นก็คือการลงทัณฑ์ในรูปแบบนี้มักจะไม่ยุติธรรมต่อผู้ที่ถูกแขวน (คนที่ประณาม) สักเท่าไหร่
ก่อนอื่นเลย เราไม่รู้ว่ากรณีนั้นผิดจริงหรือเปล่า เพราะไม่ได้มีการไต่สวนหรือตัดสินอย่างยุติธรรม (ลองนึกภาพกรณีช่างซ่อมแอร์ที่รองเท้าเป็นรูเมื่อ 4-5 ปีก่อนก็ได้ กว่าสังคมจะรู้ความจริงว่ามันเป็นเพียงรูจากการทำงานไม่ได้ซ่อนกล้อง ชายคนนั้นก็ตกเป็นเหยื่อของสังคมจนเกือบจะกลับมาใช้ชีวิตแบบปกติไม่ได้)
ถึงแม้เขาจะผิดจริง แต่บทลงโทษแบบไหนถึงเหมาะสม อาทิ คุณตั้งข้อความเรื่องการเมืองหนึ่งเรื่อง ที่คนกลุ่มนึงมองว่าเป็นตรรกะที่ผิดเพี้ยน ไม่เคารพความเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ตามแต่ หลังจากนั้น คุณก็ถูกแคปข้อมูลไปประณาม ยอดแชร์จากโพสต์นั้นเริ่มโด่งดัง มีคนมากมายรู้จักคุณ เข้าเริ่มขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว ที่ทำงานเห็นข่าวจึงตัดสินพักงาน คนในครอบครัวคุณถูกคุกคาม แล้วข้อความที่คุณโพสต์ก็ถูกแขวนประจานไปนานหลายสิบปี
ถึงแม้ว่าความคิดนั้นอาจจะผิดจริง แต่เราน่าจะเห็นภาพแล้วว่า ความรุนแรงที่คนๆ หนึ่งได้รับมันอาจจะรุนแรงเกินที่คนผู้นี้ควรโดนหรือเปล่า?
แน่นอน คนที่หวดแส้มักจะสะใจ และพร้อมเฆี่ยนตีเหยื่อที่ถูกตีตราว่าผิดไปเรื่อยๆ มิหนำซ้ำคนที่เฆี่ยนลงไปยังเป็นใครที่เราไม่รู้เลยด้วยซ้ำ และนั่นก็คือความน่ากลัวของการเสียบประจานในยุคใหม่ ในวันที่เราเป็นคนเฆี่ยนตี คุณอาจจะยังไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งเราถูกแขวนขึ้นไป มันอาจจะทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น
เราอาจจะโจมตีใครบางคนเพื่อกดดันหรือเรียกร้องเอาความยุติธรรม แต่เรามั่นใจได้อย่างไรว่าเราเฆี่ยนตีคนเหล่านั้นด้วยความชอบธรรม แล้วเราจะไม่นึกจะเสียใจกับช่วงเวลานั้นในภายหลัง และอยากนึกภาวนาให้พฤติกรรมเหล่านั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
อ้างอิง:
- Coffee Break. Public Shaming. https://bit.ly/39Qe48L