วัฒนธรรมการกลั่นแกล้งแทบจะเรียกได้ว่าอยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะในวัยเรียนที่หลายคนเคยประสบพบเจอการกลั่นแกล้งล้อเลียนมาก่อน แต่เข้าสู่ยุคโซเชียลมีเดียกลายเป็นว่าการกลั่นแกล้งมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการในเวลาเดียวกันการเพิ่มขึ้นของโรคซึมเศร้าในวัยรุ่น
แต่ปัญหาใหญ่อีกอย่างก็คือ คนที่ถูกกลั่นแกล้งเกือบครึ่งหนึ่งเลือกที่จะไม่บอกใครเมื่อถูก Cyberbullying
คำถามคือทำไม?
จากงานวิจัยสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ในประเทศไทย โดยใช้วิธีการส่งแบบฟอร์มตอบคำถามให้เด็กวัยมัธยมกว่า 3,240 คน ในช่วงปลายปี 2020 พบว่าเกือบ 1 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามเคยมีประสบการณ์ถูก Cyberbullying มาก่อน โดยที่มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกระรานสัปดาห์ละครั้ง แต่มีถึง 8.6% ถูกระรานผ่านช่องทางออนไลน์ทุกวัน
การ Cyberbullying ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม Facebook 73.61% Instagram 30.53% Twitter 24.68% Line 23.4% และในเกมออนไลน์ 23.4%
ที่น่าสนใจกว่านั้นคือเกือบ 43.4% เลือกที่จะไม่บอกหรือปรึกษาใครเลยเมื่อถูกกลั่นแกล้ง โดยที่ระบุสาเหตุ (ตอบได้หลายข้อ) เอาไว้ว่า
42.11% คิดว่าไม่เป็นอะไร ได้รับผลกระทบน้อย
34.21% กลัวว่าถ้าบอกคนอื่นจะมีปัญหาตามมา
31.25% อับอายเลยไม่กล้าบอกใคร
30.92% คิดว่าไม่มีใครสนใจ
20.07% คิดว่าสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้
แต่ในอีกครึ่งหนึ่งที่เลือกจะปรึกษาคนรอบตัว โดย 74.56% เลือกที่จะบอกเพื่อน 52.64% บอกครอบครัว 22.67% บอกครู และอีก 21.16% บอกกับแฟนหรือคนรัก เราก็จะสังเกตได้ว่าคนส่วนใหญ่มักเลือกที่จะปรึกษาเพื่อนมากกว่าผู้ใหญ่รอบตัว โดยเฉพาะครูประจำชั้นที่ควรจะมีบทบาทสำคัญในการควบคุมดูแลปัญหาของนักเรียน
การกลั่นแกล้งของวัยมัธยมซึ่งหลายคนมองเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่สำหรับคนที่ได้รับผลกระทบอาจจะฝังใจไปอีกนาน คนที่โดนรังแกหลายคนมีความคิดอยากแก้แค้นด้วยการกลั่นแกล้งคืน หรือในกรณีร้ายแรงที่สุดบางคนอาจเกิดความคิดฆ่าตัวตาย
การที่เด็กวัยรุ่นในวัยมัธยมเลือกที่จะรับปัญหาอย่างโดดเดี่ยว เลือกที่จะไม่บอกใครอาจนำไปสู่พฤติกรรมที่ร้ายแรงต่อสภาพจิตใจและตัวเองได้ เพราะไม่รู้จะรับมืออย่างไร
คุณล่ะ ในชีวิตเคยถูกบูลลี่ไหม แล้วตอนนั้นเลือกที่จะบอกใครรึเปล่า?
อ้างอิง:
- สสดย. และ สสส. การรับมือกับสถานการณ์การระรานทางออนไลน์ของเด็กไทย (Cyberbullying)