จากเพื่อเทยสู่พรรคเพื่อไทย จากนักวิชาการสู่นักการเมืองเลือดใหม่ที่พร้อมยกระดับความหลากหลายให้เท่าเทียม

15 Min
1391 Views
11 May 2023

นักอ่านหลายคนรู้จัก ‘ปกป้อง’ ชานันท์ ยอดหงษ์ ครั้งแรกเมื่อครั้งที่เขาเดบิวต์หนังสือประเด็นร้อนแรงอย่าง ‘นายใน’ เมื่อปี 2556

หลายขวบปีถัดมาปกป้องยังคงหยัดยืน คร่ำหวอดในแวดวงวิชาการไทยด้วยบทบาทอาจารย์ นักสื่อสาร และคอลัมนิสต์ด้านเพศในประเด็นหลากหลาย ด้วยเนื้อหาจัดจ้านตรงไปตรงมา ชนิดฝีมือดีหาตัวจับยาก

ปกป้องทำงานขับเคลื่อนเพื่อสิทธิความเท่าเทียมทางเพศผ่านการงานส่วนตัวมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาปริญญาตรี และออกมาเดินเคียงข้างประชาชนเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยต่อเนื่องยาวนาน เพราะเขามองเห็นว่าปัญหาเชิงโครงสร้างทางการเมือง ถ้าหากไม่แก้ไขด้วยกลไกสภาฯ อันเที่ยงธรรม และยังมีเผด็จการครองเมือง ก็ยากที่ประชาชนจะได้รับสิทธิหรือความยุติธรรม และนั่นคงยากยิ่งที่ผู้มีความหลากหลายจะได้มีลมหายใจอย่างเท่าเทียมกัน

นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ปกป้องตัดสินใจกระโดดเข้ามาทำงานในพื้นที่ทางการเมือง ใต้ร่มพรรคเพื่อไทย ในระยะเวลาเพียงปีกว่าๆ เขากลายเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในสนามที่น่าจับตา ทั้งรับบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายด้านอัตลักษณ์และความหลากหลายทางเพศของพรรค บทบาทในทีมสภา กมธ. ร่างพ.ร.บ.คู่ชีวิตและสมรสเท่าเทียม จนล่าสุดเป็นแคนดิเดตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ หรือ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคเพื่อไทย

ก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งอันร้อนระอุในวันที่ 14 พฤษภาคม นี้ BrandThink อยากพาทุกคนไปพูดคุยกับนักการเมืองเลือดใหม่จากพรรคเพื่อไทยท่านนี้ ในฐานะคนรุ่นใหม่ทางการเมือง เขากำลังจะสร้างความเคลื่อนไหวแบบไหนให้ประเทศที่อุดมไปด้วยปัญหานี้ได้ก้าวเดินต่อ อย่ามัวรอช้า ตบเท้าตามมาฟังคำตอบจากปากของปกป้องกันได้เลย

ใครที่ติดตาม ปกป้อง ชานันท์ มานาน ก็จะรู้ว่าคุณอินเรื่องเหตุบ้านการเมืองมากในระดับที่แชร์ข่าวสารเพื่อวิพากษ์วิจารณ์การเมืองมาโดยตลอด จนช่วงที่มีม็อบคุณก็ไปเข้าร่วมชุมนุมแทบทุกครั้ง ทำไมถึงอินเรื่องการเมืองมากขนาดนี้

ทำไมถึงอินการเมือง จริงๆ ไม่ได้เรียกว่าอินสิ มันเป็นเรื่องที่เราต้องตระหนักได้ และทุกคนควรจะตระหนักได้ ถ้าเรายอมรับสถานะพลเมืองของตัวเอง เราก็จะผลักดันการเคลื่อนไหวในฐานะพลเมืองคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าที่และบทบาทของประชาชน และเป็นอำนาจในฐานะประชาชนไทยด้วย

เหตุบ้านการเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวมากนะ ในฐานะที่เราเป็นพลเมือง การเมืองสัมพันธ์กับเราแม้กระทั่งการหายใจเข้าและออก สำหรับการเมืองในภาครัฐ การบริหารจัดการที่ไม่ดี เราจะเห็นว่าเพียงแค่ลมหายใจก็มีปัญหาแล้ว ทั้งเรื่องฝุ่น PM2.5 หรือเรื่องโควิด-19 แค่การหายใจก็ส่งผลต่อการดำรงชีวิต แค่ก้าวเท้าออกมาจากบ้านก็จะเจอกับฟุตบาทที่ไม่ดี ปัญหาเหล่านี้ล้วนเกิดจากการจัดสรรงบประมาณของรัฐ เกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรให้กับประชาชนว่าคุณจะอยู่ดีกินดีได้มากน้อยแค่ไหน

แม้กระทั่งเรื่องบนเตียงก็สัมพันธ์กับการเมืองการปกครอง เหมือนที่เฟมินิสต์กล่าวว่าเรื่องส่วนตัวเป็นเรื่องการเมือง มันจริงมากนะ เพราะมันมีความสัมพันธ์เชิงอำนาจ และมีการจัดสรรรูปแบบความสัมพันธ์อยู่ในนั้น การจัดวางสถานะเชิงอำนาจของแต่ละบุคคล นั่นก็เป็นเรื่องการเมือง เพราะฉะนั้นจึงแยกกันไม่ขาดเลย การที่เราไม่มีสมรสเท่าเทียมก็เป็นผลมาจากรูปแบบทางการเมืองของรัฐที่เป็นรัฐผู้ชาย หรือ Male State สังคมปิตาธิปไตยที่เรียกว่า Patriarchy เพราะฉะนั้นทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองทั้งสิ้น

เมื่อคุณมองว่าชีวิตเกี่ยวข้องกับการเมือง ทำให้เมื่อมีม็อบคุณก็เลยตัดสินใจออกมาร่วมชุมนุมด้วยใช่ไหม

เราเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ช่วงรัฐประหารปี 2552 -2553 ตอนนั้นก็ไปร่วมต่อต้านด้วย ตั้งแต่รัฐประหารเราก็ต่อต้านเรื่อยมา ไปชุมนุมหมด หรือมีงานที่ไหนที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐประหารก็ไป สังคมนี้มีการกดปราบประชาชนเรื่อยมา จนมาระเบิดในปี 2562-2563 เราก็ไปร่วมด้วยเรื่อยๆ

คุณขับเคลื่อนเรื่องความหลากหลายทางเพศมากี่ปีแล้ว

จริงๆ ไม่ได้เพิ่งมาเริ่ม แต่เราขับเคลื่อนทางการเมืองมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา เพราะทำงานผ่านงานเขียนต่างๆ ตั้งแต่ปี 2546 เริ่มทำงานตรงนี้มาตั้งแต่สมัยยังเรียนปริญญาตรีแล้ว

การเคลื่อนไหวทางสังคมถือเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้คุณตัดสินใจก้าวเข้ามาอยู่ในสนามการเมืองด้วยหรือเปล่า

เราเห็นปัญหาของประเทศไทยมานานมาก ตอนทำงานเป็นนักวิชาการก็เห็น พยายามที่จะเขียนงานวิพากษ์โครงสร้างทางสังคม เมื่อสอนหนังสือก็พยายามสอนนิสิตนักศึกษาว่าโครงสร้างปัญหานี้เป็นอย่างไร

เราถนัดเรื่อง LGBTQ+ และเฟมินิสต์ ก็เขียนคอลัมน์ เขียนบทความและเขียนหนังสือมาประมาณ 5-6 ปี เขียนเรื่องเดิมๆ อยู่อย่างนั้น เพราะปัญหายังวนเวียนอยู่กับที่ และไม่ได้รับการแก้ไขสักที เราเลยคิดว่าควรจะต้องมีแพลตฟอร์มสักอย่างที่จะเข้าไปทำงานเพื่อเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาประเทศนี้

ย้อนกลับไปเรื่องม็อบ เราเจอคนรู้จักและคนรุ่นใหม่เยอะมาก ซึ่งคนรุ่นใหม่ในที่นี้เป็นคำศัพท์การเมือง ไม่ได้เป็นเรื่องของเจเนอเรชั่นอีกต่อไปแล้ว สังคมมันเปลี่ยนจากเรื่องการเมืองเสื้อแดงที่คนอาจเคยรู้สึกว่าไกลตัว แต่พอมาเป็นเรื่องของกลุ่มราษฎร 2563 ล้วนเป็นคนเมืองที่รู้จัก คนใกล้ตัวกันหมดเลย เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่คนเริ่มตระหนักถึงสถานะพลเมืองของตัวเอง จากคนใกล้ตัวที่เคยก่นด่าเสื้อแดงว่า ควายแดง ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว เราสามารถขับเคลื่อนทางการเมืองได้โดยไม่ต้องถูกก่นด่ามากเหมือนเมื่อปี 2552-2553 อีกต่อไป

ทำไมถึงเลือกหยัดยืนขึ้นมาเพื่อเคียงข้างฝั่งประชาธิปไตย

เป็นสามัญสำนึกอยู่แล้วนะที่เราจะต้องไม่เอาเผด็จการ เราต้องปกป้องรักษาสิทธิเสรีภาพของทุกคนในฐานะประชาชน ประเทศไทยน่ากลัวมาก ที่ยังมีคำถามว่า ทำไมเธอไปเลือกข้างประชาธิปไตยไม่เลือกเข้าข้างเผด็จการ เท่ากับว่าตอนนี้สถานะของเผด็จการมีคุณค่าเท่ากับประชาธิปไตยเหรอ ซึ่งไม่ใช่เลย เราต้องอยู่ในพื้นที่ของประชาธิปไตยสิ คุณจะออกซ้ายนิดหรือขวาหน่อย แต่ตรงกลางต้องเป็นประชาธิปไตย เท่านั้น แต่กลายเป็นว่าตอนนี้เราอยู่ตรงกลางระหว่างทางสามแพร่งของสัมภเวสี ต้องมาตัดสินใจว่าเราจะไปทางประชาธิปไตยหรือเผด็จการดี แบบนี้เราว่าไม่ได้เลย

แค่รัฐประหารก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยแล้ว มันเป็นอาชญากรรมนะ คนเขาเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีมา แล้วคุณไปโค่นรัฐบาลของเขาโดยใช้อำนาจทหารที่มีอยู่ มันผิดตั้งแต่ต้นแล้ว จะมาอ้างประชาธิปไตยใดๆ มันไม่มีทางเป็นไปได้ ก็เหมือนกับงาช้างไม่สามารถงอกออกจากปากหมาฉันใด ประชาธิปไตยก็ไม่สามารถงอกออกจากปลายกระบอกปืนของทหารได้ฉันนั้นนั่นแหละ

อย่างเรื่องเพศที่คุณขับเคลื่อนมาตลอด ทั้งในงานวิชาการและพื้นที่ของการชุมนุม คุณมองว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลเผด็จการส่งผลกระทบต่อประเด็นความเท่าเทียมทางเพศอย่างไร

มันชัดเจนด้วยตัวบทกฎหมายทั้งแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมาตรา 1448 ที่ให้ชายกับหญิงจดทะเบียนสมรสกันได้ แต่แล้วเพศอื่นล่ะ คนเพศเดียวกันที่เขารักกัน อยากจะแต่งงานจดทะเบียนสมรสกันก็ทำไม่ได้ การจดทะเบียนสมรสเป็นทรัพยากรอย่างหนึ่งของรัฐที่ประชาชนทุกคนควรเข้าถึงได้ แต่กลายเป็นว่ามันถูกผูกขาดโดยเพศวิถีเดียว นั่นคือการเป็นรักต่างเพศ ต้องเป็นชายคู่กับหญิงเท่านั้น

แต่ความรักความสัมพันธ์มีหลากหลายรูปแบบมากกว่านั้น มันมีทั้งชายและชาย หญิงและหญิง แต่รัฐยังคงผูกขาดรูปแบบเดียว อันนี้ไม่ถูกต้องนะ เพราะไม่สามารถทำให้คนที่มีความหลากหลายอยู่ได้อย่างมีความสุขในประเทศ จริงๆ มันส่งผลต่อปากท้องและคุณภาพชีวิตคนโดยตรง จะกู้ร่วมก็ทำไม่ได้ อีกคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และจะมี พ.ร.บ. ในการรับการเยียวยาก็รับเงินเยียวยาไม่ได้ ทั้งที่เขาก็ต้องสูญเสียรายได้ที่หามาด้วยกัน ถ้าโดนรถชนตายขึ้นมาจะทำยังไง ในฐานะที่ไม่ได้เป็นคู่สมรส เขาก็จะไม่ได้รับเงินใดๆ ชดเชยเลย

แค่นี้เราก็เห็นการเลือกปฏิบัติแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะคู่สมรส ในฐานะคู่รักกันก็ไม่ได้รับสิทธิ แม้กระทั่งเรื่องของมรดกที่สร้างมาด้วยกัน ถ้าอีกคนหนึ่งตายไป ทรัพย์สินต่างๆ ที่หามาก็ไม่ตกเป็นของแฟนนะ แต่ตกไปอยู่กับครอบครัวผู้ตายแทน นอกจากเบิกค่ารักษาพยาบาลให้แก่กันไม่ได้ บางคนที่ประสบอุบัติเหตุหรือว่าป่วยกะทันหัน เขาต้องการรักษาให้ทันท่วงที ปรากฏว่าคู่รักเพศเดียวกันไม่สามารถเซ็นยินยอมให้คู่รักของเขารักษาพยาบาลได้ ต้องรอให้ญาติพี่น้องที่อาจจะอยู่ต่างจังหวัด หรืออาจขาดการติดต่อกันยาวนานมารับรอง จนญาติบางคนมาไม่ทันก็ทำให้หลายเคสต้องเสียชีวิต แค่นี้ก็เป็นปัญหาที่มันส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของผู้มีความหลากหลายมากๆ เลย

แต่คุณก็มองเห็นความหวังเมื่อคนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิความเท่าเทียมทางเพศ

โชคดีมากที่ชายหญิงรักต่างเพศเข้าใจประเด็นนี้ เขาเรียนรู้และทำความเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ คุณจะเห็นได้ว่าภาพประชาชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อสมรสเท่าเทียม มีคนลงชื่อเยอะมาก หลายคนเป็นผู้ชายและผู้หญิง เป็น Straight เยอะมาก แม้กระทั่งงาน Pride ที่ผ่านมาเราก็เห็นเขามาร่วมงาน ภาพการเคลื่อนไหวมันเปลี่ยนไปมากเลย จากแต่ก่อนเป็นแค่กลุ่มก้อนเล็กๆ เป็นการจัดงานขนาดเล็กๆ ของกลุ่ม LGBTQ+ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นว่าประชาชนหลายคนมาร่วมด้วยช่วยกัน ไม่ว่าคุณจะมีเพศวิถีหรือเพศสภาพแบบใด ในปัจจุบันนี้คนเข้าใจกันแพร่หลายแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ตัวบทกฎหมายยังไม่พัฒนาตามสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

จากเพื่อเทยสู่พรรคเพื่อไทย ทำไมจากการขับเคลื่อนเรื่องเพศอยู่ดีๆ ถึงเลือกกระโดดเข้ามาอยู่ในพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่มีอายุยาวนาน

บ้านเราเลือกพรรคนี้มาตลอด จริงจังกันมาก ใส่เสื้อแดงไปคูหาเลือกตั้งกันเลย เริ่มต้นเลยมาจากการสอนหนังสือของเรา ลูกศิษย์เราเริ่มแต่งงานมีลูกกันแล้ว แต่สังคมยังไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เราทำงานวิชาการมาตลอด แต่ก็แก้ไขปัญหาการเมืองไม่ได้ เลยคิดว่าต้องมีอีกแพลตฟอร์มหนึ่งในการขับเคลื่อนให้ได้ เพราะเริ่มไม่ทันใจ จนตอนนี้เริ่มแก่แล้วอายุ 30 กว่าแล้ว ประกอบกับคนรุ่นใหม่ในทางการเมืองได้เกิดขึ้นแล้ว และเขาไม่ได้มองการเมืองเป็นสิ่งเลวร้ายอีกต่อไป เขามองว่าการเมืองเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาประเทศนี้ได้

สมัยรัฐบาลไทยรักไทยของคุณทักษิณ กระทรวงมหาดไทยมีดำริว่าจะให้คนรักเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้ในปี 2545 ถือว่าก้าวหน้ามากนะ แต่ด้วยความที่ก้าวหน้าขนาดนั้น มันอาจล้ำหน้าเกินยุคเกินไป ทำให้คนออกมาโจมตี มีองค์กรออกมาด่าว่าจะทำให้สถาบันครอบครัวล่มสลายตั้งแต่สัปดาห์แรกที่มีดำรินี้ขึ้นมา นี่ขนาดเป็นแนวคิดเฉยๆ นะ ยังไม่ได้เป็นนโยบายใดๆ เลย ตอนนั้นโดนด่าเยอะมาก ขนาด LGBTQ+ ก็ยังไม่ได้เห็นด้วย เขาบอกว่าเป็นการเกาไม่ถูกที่คัน สังคมยังไม่รับความหลากหลายทางเพศ คนส่วนใหญ่ยังไม่ยอมรับพวกเรา ถ้ามีกฎหมายขึ้นมายังไงคนก็ยังไม่ยอมรับ กลายเป็นแบบนั้นไป

น่าเศร้านะ แต่ถือว่าเป็นผู้มาก่อนกาลในยุคสมัยนั้นมากๆ และในสมัยต่อมารัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ยุคปี 2554 ในปี 2555 จะมีการผลักดัน พ.ร.บ.คู่ชีวิต แต่ยังไม่ได้เป็นสมรสเท่าเทียมนะ เนื่องจากว่าบริบททั่วโลกตอนนั้นยังใช้ Civil Partnership Bill ไม่ได้ใช้ Marriage Equality เป็นกฎหมายเฉพาะให้คนรักเพศเดียวกันได้จดทะเบียนกัน และมีความพยายามจะปรับปรุงแก้ไขกันเรื่อยมา แต่กลับเกิดการรัฐประหารปี 2557 เสียก่อน

เรายังคิดอยู่เลยว่า ถ้าไม่มีรัฐประหาร ประเทศเราอาจมี พ.ร.บ.คู่ชีวิต กันไปแล้ว และอาจจะพัฒนาเป็นสมรสเท่าเทียมไปตั้งนานแล้ว น่าเสียดายมาก รัฐประหารมันทำลายโอกาสในการพัฒนาชีวิตของหลายๆ คน แม้กระทั่งเรื่อง LGBTQ+ ทุกวันนี้ยังต้องมานั่งทะเลาะกันอยู่เลยว่าต้องเอาคู่ชีวิตหรือสมรสเท่าเทียม รัฐบาลประยุทธ์ก็บอกว่าจะเอาคู่ชีวิตอยู่นั่นแหละ ทั้งที่หลายประเทศมุ่งไปสู่ Marriage Equality ทั้งในอังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรีย หรือส่วนของสหรัฐอเมริกาในบางรัฐก็เปลี่ยนแล้ว น่าเสียดายโอกาสจริงๆ เพราะว่าในตอนนั้นถือว่ารัฐบาลตามเทรนด์โลกมากๆ

หมายความว่าความใส่ใจในประเด็นความหลากหลายของเพื่อไทย ทำให้คุณประทับใจในตัวพรรคมากยิ่งขึ้น

ใช่ เพราะเราไม่เคยเห็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองไหนที่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างได้ชัดเจนและเป็นระบบอย่างพรรคเพื่อไทยมาก่อน และเป็นโชคดีของเรามากที่พรรคเพื่อไทยเองก็เลือกเราเข้ามาทำงานด้วย

จากแฟนคลับพรรค คุณกระโดดเข้ามาร่วมทำงานกับพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร

ตอนนั้นมีโครงการ Change Maker เป็นโปรเจกต์สำหรับคนรุ่นใหม่ เราเป็นเหมือน Co-Mentor มาช่วยดูแลนโยบายต่างๆ ที่คนรุ่นใหม่นำเสนอ หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยก็มีการเปิดตัวครั้งใหม่ที่จังหวัดขอนแก่น เขาก็ให้เราขึ้นไปพูด ตอนแรกเรานึกว่าเป็นงานเสวนานั่งดีเบตกันเฉยๆ แต่ปรากฏว่าเป็นการซ้อมอย่างหนัก มีการประชุมกันอย่างจริงจัง จนกลายเป็นการเปิดตัวเลย เราสมัครสมาชิกพรรคไปช่วงก่อนหน้า แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เปิดตัวนโยบายเรื่องเพศ ได้เข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบหลักเรื่องนี้ ซึ่งตอนนั้นเราได้พูดประเด็นเรื่องสมรสเท่าเทียมและผ้าอนามัยฟรีด้วย

แล้วตอนนี้คุณรับบทบาทและหน้าที่แบบไหนภายในพรรคเพื่อไทยบ้าง

ที่ผ่านมาเราได้รับบทบาทเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายด้านอัตลักษณ์และความหลากหลาย เริ่มต้นจากเรื่องเพศขยายไปสู่เรื่องชาติพันธุ์ คนไร้บ้าน ผู้พิการ เด็ก และคนชรา หรือกลุ่มอื่นๆ ที่มักถูกผลักให้เป็นชายขอบของสังคม เราเคยทำประเด็นเหล่านี้ก่อนมาอยู่ที่พรรค ทั้งบทความและคอลัมน์ต่างๆ หรือการทำวิจัยวิชาการต่างๆ ก็เลยหยิบเอาประเด็นมาทั้งหมดเลย และเอามาทำต่อที่พรรคเพื่อไทยเพื่อทำให้เกิดนโยบายจริงให้ได้

ซึ่งมีความท้าทายตรงที่สิ่งที่เราทำก่อนหน้านั้น มันเป็นการรื้อถอนโครงสร้างสังคม พอมาทำเป็นนโยบายก็จะมีผู้ได้รับผลกระทบเยอะมาก ทั้งนักธุรกิจหรือข้าราชการเอย เราก็ต้องมานั่งทบทวน ทำนโยบายใหม่ให้รอบคอบ จะทำอย่างไรเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดกับคนทุกกลุ่ม อย่างเช่นเรื่องผ้าอนามัยฟรี เราไม่เคยสนใจเลยว่านักธุรกิจจะคิดยังไง เมื่อมาทำงานให้พรรคก็ต้องคำนึงถึงเขาด้วย เพราะว่าเขาก็เป็นประชาชนเหมือนกัน ดังนั้นการที่มีผ้าอนามัยฟรีและมีสวัสดิการด้านนี้แล้ว ผู้ประกอบการผ้าอนามัยคิดยังไง เขาจะทำธุรกิจอย่างไร ก็ต้องใส่ใจกับประเด็นเหล่านี้ให้มากยิ่งขึ้นด้วย

อย่างตอนที่คุณทำ ‘นิทรรศกี’ เพื่อสื่อสารประเด็นเรื่องสวัสดิการผ้าอนามัยฟรีให้ผู้มีประจำเดือนทุกคน ช่วงนั้นก็เป็นกระแสฮือฮาในสังคมมากอยู่นะ

โชคดีมากที่พรรคทำนิทรรศกีขึ้นมา ตอนแรกเราเสนอเป็นนโยบายและโครงการสำเร็จรูปว่าต้องมีแนวทางปฏิบัติยังไงบ้างในเรื่องนี้ และเขาเห็นว่าเราทำมาแล้ว เมื่อปี 2565 เราขอให้จัดงานเสวนาช่วงวันที่ 8 มีนาคม ซึ่งเป็นวันสตรีสากล เขาเลยให้จัดเป็นนิทรรศกีขึ้นมาตลอดทั้งเดือนมีนาคมเลย อันนี้ไม่ใช่เราคนเดียวทำนะ แต่มีทีมวิจัยและทีมนโยบายที่ช่วยกันทำ เพราะบางเรื่องเราไม่ได้มีความรู้ทั้งหมด ทำให้งานออกมาค่อนข้างสมบูรณ์

คุณมองว่านี่เป็น Movement ใหม่ๆ ที่สำคัญของพรรคเพื่อไทยด้วยไหม

ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่พรรคเพื่อไทยได้ขยับแนวนโยบายประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ขยายกว้างมากขึ้น เพราะว่าเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่ดีมาก พรรคเพื่อไทยมีบทบาทในการสร้างสวัสดิการและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยมาตลอด เมื่อพรรคได้เริ่มขยับขยายไปยังสวัสดิการและคุณภาพชีวิตเพื่อประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่มีปัญหาอื่นๆ มากขึ้น โดยไม่ได้มองว่าเพศหญิงหรือเพศชาย เพราะต่างเพศสภาพ ต่างเพศสรีระ และเพศวิถี ต่างก็มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป การขยายสวัสดิการหรือว่าทรัพยากรในประเทศนี้ให้ทุกคนเข้าถึงได้ และแก้ไขปัญหาได้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เช่น การทำสวัสดิการผ้าอนามัยฟรีได้ ก็แก้ไขปัญหาทั้งผู้ชายและผู้หญิงเพราะว่าค่าผ้าอนามัยเป็นค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ไม่ใช่เรื่องของผู้หญิงเพียงคนเดียว แต่ดันถูกผลักภาระให้ผู้หญิงรับผิดชอบเองมาตลอด เรามั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยมีศักยภาพมากพอที่จะทำ เพราะเขาตามกระแสสังคมในข้อเรียกร้องที่เกิดจากปัญหาต่างๆ และเขาพร้อมที่จะเรียนรู้ไปกับสังคมด้วย

ในฐานะคนที่ไม่เคยเล่นการเมืองมาก่อน การเข้าไปในพื้นที่แห่งอำนาจที่มีไดนามิกเยอะด้วย มันไม่เหมือนวันที่คุณเป็นประชาชนและเข้าไปอยู่ในม็อบแล้ว คุณจัดการกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองครั้งนี้อย่างไรบ้าง

ด้วยความที่เราใหม่มาก และต้องมาทำงานในออฟฟิศใหญ่ เราไม่รู้ว่าใครเป็นใครบ้าง คิดว่าเหมือนมาเข้าเรียนมหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง ต้องพร้อมเรียนรู้ว่าใครทำงานยังไง รูปแบบไหน เราขอความรู้ไปด้วยและเรียนรู้ไปด้วยก็เลยเป็นเรื่องสนุก มีเรื่องให้ตื่นเต้นและท้าทายตลอดเวลา ตื่นเต้นทุกเรื่องเลยเพราะเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับเรา แต่เรื่องที่ยากที่สุดคือการไปพูดในที่สาธารณะ ปราศรัยหรือแถลงข่าว เพราะเราจะต้องขับเน้นใจความบางอย่างให้ได้ ไม่ใช่แค่การพูดหรือเล่าไปเรื่อยๆ ในห้องเรียนเหมือนตอนที่เราสอนหนังสือ เพราะต้องสื่อสารว่าสิ่งที่ต้องการนำเสนอทั้งนโยบายและความคิดของเราต่อคนจำนวนมาก อย่างในสภามี กมธ. ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตและสมรสเท่าเทียม จะพูดยังไงให้คนอยากฟังและเข้าใจง่าย และต้องดึงดูดคนให้ได้ ตรงนี้เป็นความท้าทายใหญ่ของเรามากๆ

ทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นกับการให้สัมภาษณ์สื่ออยู่ เราต้องไปฝึกพูดและเรียนรู้เรื่อยๆ สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าเป็นปัญหาของเรามากๆ คือเราไม่รู้ว่าการแสดงออกต้องมีลิมิตมากน้อยแค่ไหน เป็นตัวของตัวเองหรือมีความเป็นทางการมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้เป็นเรื่องที่เราต้องชั่งตวงน้ำหนักของมันมากๆ ว่าจะนำเสนอในรูปแบบไหนให้ออกมาพอดี

เมื่อเข้ามาทำงานการเมือง คุณรู้สึกถูกเติมเต็มภาพการขับเคลื่อนสังคมในแบบที่ตัวเองอยากเห็นไหม

ตอนทำนิทรรศกีเติมเต็มมากๆ เพราะประชาชนได้รับรู้แล้วว่าต่อให้ผู้ชายที่ไม่มีเมนส์ก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญนะ ทำให้ผู้ชายเข้าใจปัญหาที่ผู้หญิงต้องเผชิญมาโดยตลอด แค่นี้เราก็แฮปปี้มากแล้ว อีกอย่างคือเราได้เห็นกล่องผ้าอนามัยในห้องน้ำพรรคด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่อยากให้เกิดในสังคมมานาน

หมวกของนักวิชาการช่วยซัพพอร์ตบทบาทและหน้าที่การทำงานทางการเมืองของคุณอย่างไรบ้าง

เราทำนโยบายเหมือนกับการทำงานวิจัยชิ้นหนึ่งไปเลย เราต้องหาข้อมูลให้เยอะมากที่สุด มีคนเสนอเรื่องนี้ในประเด็นนี้ยังไง เข้าไปหานักวิชาการ และ NGOs รวมไปถึงคนในภาคส่วนต่างๆ เมื่อทำเสร็จก็ให้ผู้ใหญ่ในพรรคช่วยดู เราต้องดูว่าตัวเองตอบคำถามต่างๆ ในงานได้ไหม ถ้ายังตอบไม่ได้ก็ต้องทำการบ้านเพิ่มอีกเรื่อยๆ ซึ่งการที่เราเติบโตมากับสายวิชาการทำให้เราสบายใจกับการทำงานรูปแบบนี้มาก

มีนโยบายไหนที่คุณนำเสนอแล้วพรรคเพื่อไทยนำไปผลักดันต่อบ้าง

อย่างเรื่องหนึ่งที่ดีมาก พรรคยอมรับกฎหมายสมรสเท่าเทียม ไม่เอา พ.ร.บ.คู่ชีวิต ก่อนเข้าสภาต้องประชุมกันว่าร่างไหนพิจารณาแบบไหน อย่างเราได้คุยกับพี่อิ่ม-ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ เขาก็บอกว่า ‘ไม่ต้องกลัวนะป้อง ยังไงเราก็ไม่เอา พ.ร.บ.คู่ชีวิต อยู่แล้ว’ เราก็สบายใจที่คนในพรรคเข้าใจปัญหา

เมื่อเราเข้าไปในพรรค เราก็ได้พูดคุยและผลักดันเรื่องผ้าอนามัยอย่างเต็มที่ รวมถึงสวัสดิการด้านต่างๆ เช่น การลาคลอด 180 วัน การให้แรงงานชายลาไปเลี้ยงลูกโดยไม่ผลักภาระให้ผู้หญิงดูแลลูกฝ่ายเดียว สวัสดิการฮอร์โมนในการข้ามเพศ พรรคบอกว่าทำได้หมดเลยนะ แต่คุณต้องไปสื่อสารกับประชาชนให้ได้ก่อน อย่างเรื่องลาคลอดเมื่อ 30 ปีที่แล้วที่สังคมของเรามีการเคลื่อนไหวลาคลอดจาก 45 วันเพิ่มเป็น 90 วัน ตอนนั้น NGOs ก็ทำงานหนักกันมาก เราต้องคิดว่าต้องสื่อสารกับนักธุรกิจยังไง ต้องสื่อสารกับลูกจ้างและนายจ้างยังไงให้เขาเข้าใจถึงความสำคัญ พรรคไฟเขียวให้เราไปจัดงานเสวนาต่างๆ เพื่อให้นักธุรกิจมีส่วนร่วมในการพูดคุยแลกเปลี่ยน และประชาชนก็จะได้เกิดความตระหนักรู้ เรื่องพวกนี้ต้องสื่อสารกับประชาชนให้เขาเข้าใจได้มากที่สุด

อีกเรื่องคือการผลักดันให้หนึ่งเมืองในประเทศไทยก้าวเข้าไปสู่ Rainbow City Network ให้เป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าเมืองนี้เป็นมิตรกับ LGBTQ+ จริงๆ และจะมีการพยายามผลักดันให้ประเทศไทยจัดงาน Gay Pride ได้จริง ซึ่งประเทศต้องได้รับการยอมรับว่ามีกฎหมาย และมีความพยายามผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมทางเพศในหน่วยงานราชการ รวมถึงการมีหลักสูตรตำราเรียนที่ทำให้คนเข้าใจความหลากหลาย ซึ่งนี่คือความเป็นมิตรกับความหลากหลายทางเพศจริงๆ และเป็นการยอมรับรัฐหนึ่งจากสากลว่าเราทำเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง

การเลือกตั้ง 2566 นี้ คุณถูกพรรควางให้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ด้วย ตัวคุณเองมีความหวังต่อตำแหน่งนี้อย่างไรบ้าง

ใจเราอยากเป็น ส.ส. มากนะ เราอยากเป็นตัวแทนของประชาชน อยากทำเพื่อชุมชน LGBTQ+ เราเห็นปัญหาเพราะอยู่กับปัญหามาโดยตลอด ปัญหาในประเทศนี้มีเยอะเหลือเกิน ทั้งเรื่องคนไร้บ้าน ผู้สูงอายุ คนพิการ แต่คนที่เป็นตัวแทนประชาชนได้ ไม่ได้หมายถึงตัวแทนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น คุณได้รับภาษีประชาชนมาทำงาน และได้รับการเลือกตั้งเข้ามา ฉะนั้นคุณต้องเป็นตัวแทนของคนทุกคนจริงๆ เรามีเรื่องที่อยากจะผลักดันแก้ไขปัญหาในช่วงสามสิบกว่าปีที่มีชีวิตมามากมาย อีกอย่างเราไปม็อบบ่อยมาก เราได้เห็นว่า ส.ส. ประกันตัวคนที่โดนจับในม็อบได้ ที่ผ่านมาเราไปยืนเกาะรั้วรอให้กำลังใจ เราคิดว่าสักวันถ้าเราเป็น ส.ส. เราจะไปประกันตัวให้พวกเขา เรารู้สึกว่าเราเหมาะกับการทำงานนโยบายและการผลักดันประเด็นให้เกิดการแก้ไขปัญหาได้

ในฐานะคนหน้าใหม่ในแวดวงการเมือง คุณอยากเปลี่ยนวัฒนธรรมการเมืองเก่าๆ ในไทยอย่างไรบ้าง

เราเป็นคนหน้าใหม่มากๆ ที่เข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ เราจึงต้องพยายามเรียนรู้ว่า คนรุ่นผู้ใหญ่ที่คร่ำหวอดในวงการนี้มาอย่างยาวนาน เขามีธรรมเนียมอะไร ข้อปฏิบัติอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้ ก็พยายามเรียนรู้กันไป บางอันเราไม่เห็นด้วย บางอันเราก็พอจะยืดหยุ่นเพื่อให้นโยบายสำเร็จได้ เราคิดว่าไม่ว่าจะขนบธรรมเนียมแบบเก่าหรือใหม่ สุดท้ายเรามั่นใจว่าเขาให้ความสำคัญกับความต้องการของประชาชนเป็นที่ตั้ง สำหรับเรากลไกและกระบวนการจะมีลักษณะแบบไหน ถ้าสิ่งไหนทำให้เกิดประโยชน์กับประชาชนได้มากที่สุดและรวดเร็วที่สุดก็ทำไปเถอะ

ในเรื่องของการทำงานมีพี่ในพรรคหลายคนช่วยให้คำปรึกษาและซัพพอร์ตเราตลอด และด้วยความที่คนรุ่นใหม่เข้าไปในพรรคมากขึ้น เราสังเกตว่าในหลายพรรคการเมืองมีความเปลี่ยนแปลง อย่างเราจะคุยกับคนในพรรคอื่นๆ ทั้งเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง สิทธิสตรีและการต่อต้านความรุนแรงต่อ LGBTQ+ เราแทบทุกคนคิดว่าปัญหาและความทุกข์ของชุมชนเราเป็น priority ไม่ใช่พรรค เพราะฉะนั้นเราพร้อมที่จะผลักดันการแก้ไข เพื่อนๆ ที่อยู่พรรคอื่นซึ่งเป็นพรรคประชาธิปไตยด้วยกันก็เห็นด้วย เรื่องอื่นจะมีความขัดแย้งกันบ้างก็ได้ แต่เรื่องนี้เราจะไม่ตีกัน เพราะสุดท้ายเรามีอุดมการณ์ร่วมกัน

คุณคิดว่าวัฒนธรรมแบบไหนในแวดวงการเมืองไทยที่ควรเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน

เรื่องการไม่ยอมรับความหลากหลายทางเพศ เป็นสิ่งที่เราเบื่อมาก ซึ่งในพรรคเพื่อไทยเราไม่เคยเจอเลยนะ แต่ไปเจอตอนทำงานในกมธ. ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตและสมรสเท่าเทียม ที่มีพรรคการเมืองอื่น และเราเห็นว่ามันมีทัศนคติแบบนี้อยู่ เมื่อไปเจอคนพรรคอื่นที่เขา homophobic หรือ sexist เราจะคิดว่าคุณมาจากโลกไหนเนี่ย เราจะอธิบายให้คุณเข้าใจยังไงดีในเมื่อคุณมีตรรกะคนละชุดไปแล้ว ก็จะมีความหงุดหงิดกับพวกเขามาก

ถือว่าคุณเข้าไปทำงานใน กมธ. ร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิตและสมรสเท่าเทียม เร็วมาก และได้ทำงานเยอะมากภายในระยะเวลาเพียงปีเดียว สิ่งนี้ทำให้คุณมั่นใจที่เลือกเพื่อไทยหรือเปล่า

ตอนแรกเรามองว่าเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองเก่า มีผู้ใหญ่และคนแก่เยอะ และเราเป็นกะเทยเข้าไปมันจะเป็นยังไงวะ ปรากฏว่าไม่มีใครเป็น homophobic นะ ทุกคนที่เข้ามาคุย บางคนก็ไม่เข้าใจว่า LGBTQ+ คืออะไร คนเข้ามาถามก็มี ทั้งที่เดินมาถามและส่งข้อความมาถาม มันคืออะไรวะป้อง มันแตกต่างยังไงก็มาคุยกัน มีการปรึกษาว่าเราจะสามารถใช้คำนี้ได้ไหม คำนี้พูดได้ไหม เราประทับใจตรงที่เขาไม่รู้หรอก แต่อยากจะเรียนรู้ และอยากจะทำความเข้าใจร่วมกัน เพื่อก้าวไปด้วยกัน เพื่อหาคำตอบว่าเราจะอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความหลากหลายทางเพศยังไง

คุณน่าจะเป็นคนแรกในพรรคเพื่อไทยเลยที่เปิดตัวเป็น LGBTQ+ อย่างชัดเจน และไม่กังวลว่าจะต้องปกปิดเรื่องเพศ

เราเปิดมาก่อนทำงานพรรคนะ และพรรคก็เห็นตัวตนที่มีศักยภาพ เขาถึงดึงเข้ามาทำงานร่วมกัน เราคิดว่าสังคมก็เปลี่ยนไปแล้วด้วยแหละ ประชาชนและพลเมืองยกระดับเพดานความคิดมาเยอะแล้ว พรรคการเมืองมีหน้าที่สานต่อการขับเคลื่อนของประชาชน จากนอกสภาไปอยู่ในสภาให้ได้ ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาที่ทำงาน เราทำงานที่พรรคเพื่อไทย ก็ได้เห็นพี่ๆ ผู้ใหญ่ และเพื่อนๆ ที่ทำงานซัพพอร์ตประเด็นความหลากหลายของเรามาโดยตลอด

หากเลือกตั้ง 2566 คือการรับน้อง และเพื่อไทยได้คะแนนเสียงมากพอ แล้วคุณต้องไปทำงานในฐานะ ส.ส. จริงๆ คุณพร้อมจะรับมือกับความโหดหินที่มีคนพร้อมปาก้อนหินและให้ดอกไม้แล้วหรือยัง

เราคิดว่าเราพร้อมมากนะ เพราะยังไงก็จะมีพรรคเพื่อไทยคอยให้คำแนะนำและสนับสนุนอยู่แล้ว เราคิดว่าพวกเราทำงานเป็นทีมเวิร์กกันมากๆ คอยซัพพอร์ตข้อมูลและช่องทางการทำงานต่างๆ เพื่อการขยับและพัฒนาประเทศไทย ก็เลยคิดว่าไม่ได้กังวลมาก เพราะเราอยู่ในพรรค เขาเลือกเรา และเราเลือกเขาแล้ว ในฐานะเด็กใหม่นะคะ ชื่อแนนโน๊ะค่ะ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ (หัวเราะ)