คุยกับ ‘พลอย-สโรชา’ จากอดีตเด็กปิดตา สู่วันที่เติบโตเป็นนักจิตวิทยา เพราะหวังอยากเป็นที่ปรึกษาในเวลาคนรอบตัวกำลังทุกข์ใจ
‘จนกว่า เด็กปิดตา จะโต’
‘ก ไก่เดินทางนิทานระบายสี’
‘เห็น’
ทั้งหมดนี้คือผลงานหนังสือของ ‘พลอย-สโรชา กิตติสิริพันธุ์’ นักเขียนและนักจิตวิทยาการปรึกษา ผู้พิการทางสายตา ที่การมองไม่เห็นของเธอ ไม่อาจขัดขวางการทำสิ่งที่รัก โอกาสที่จะพบเจอความสุข และค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง
เพราะพลอย สโรชา ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดที่หลายคนมองว่าเป็นไปไม่ได้ ทำงานในบทบาทต่างๆ ทั้งในแวดวงวรรณกรรม เป็นบรรณาธิการฝึกหัดของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ ไปจนถึงการเป็นนักจิตวิทยาที่คอยเป็นที่ปรึกษาให้กับคนรอบตัวที่กำลังทุกข์ใจ
เพราะกำแพงแห่งการมองไม่เห็นใช่ว่าจะทำให้โลกมืดมนเสมอไป ขณะเดียวกันกลับเป็นโลกที่มีเรื่องราวมากมาย ที่อยากชวนทุกคนได้ลองมาสัมผัส รับรู้ด้วยหัวใจ ผ่านการถ่ายทอดมุมมอง ความรู้สึกของผีเสื้อปีกแข็งแรง ที่กล้าหาญบินออกจากความกลัว จนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตที่ได้ค้นพบการเรียนรู้และการเติบโตไปพร้อมกัน
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจออกจากการเป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์แล้วมาเลือกเรียนต่อด้านจิตวิทยา
เรานึกไม่ออกว่าจะไปต่อยังไงในเส้นทางของสำนักพิมพ์ ซึ่งตำแหน่งเราในตอนนั้นคือบรรณาธิการฝึกหัด แล้วก็มองไม่เห็นว่าเราจะช่วยเหลือคนพิการ หรือคนที่มองไม่เห็นได้มากกว่านี้ยังไง อีกทั้งเทคนิคการวาดรูป เราก็คิดไม่ออกแล้วว่าเราจะวาดอะไร วาดไปหมดแล้ว อะไรที่เราคิดออกเราคิดไปหมดแล้ว
เอาจริงๆ ก็เริ่มเบื่อ กับการที่เราต้องไปออฟฟิศทุกวัน 6 วัน มันเหนื่อยมาก นั่งทำงานจนถึงเย็น เรื่องการเดินทางรถไฟฟ้าที่เราเคยตื่นเต้น ก็ไม่ตื่นเต้นแล้ว เราเริ่มไม่เห็นอะไรใหม่ ทุกอย่างเหมือนเดิมหมด เลยคิดว่าเราต้องไปเจอคนใหม่ๆ ไปดูว่ามันมีอะไร นอกเหนือจากที่เราทำอยู่ทุกวันนี้บ้าง คนอื่นเขาทำอะไรกัน
จึงตัดสินใจขอลาไปเรียนต่อ เผื่อเราจะเอาวิชา หรืออะไรสักอย่างมาใช้ มาต่อยอด เพราะถ้าพูดตรงๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองคงไปต่อกับงานบรรณาธิการไม่ไหว ทำไม่ได้ เพราะมันดูเป็นเรื่องที่ละเอียดเหลือเกิน ต้องจัดหน้า ต้องเห็นภาพ ต้องมองหนังสือว่ามันสวยงามหรือยัง หรือคอยเช็กในขั้นสุดท้าย ซึ่งเรารู้สึกว่าการมองไม่เห็นเนี่ย ทำไม่ได้ รู้สึกว่าการที่เราเป็นบรรณาธิการ เป็นเรื่องที่เลื่อนลอยมากๆ เราคงไม่สามารถเป็นได้
ความเลื่อนลอยหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เคยปรึกษาหรือบอกกับใครไหม
บอกครู (มกุฏ อรฤดี ผู้ก่อตั้งสำนักพิมพ์ผีเสื้อ) ว่ารู้สึกว่ามันไปต่อไม่ได้ แต่ตอนนั้นครูก็ยังยืนยันนะ ว่าเราทำได้ คือครูไม่ได้คาดหวังให้เราไปจัดหน้า หรือทำอะไรที่เราทำไม่ได้ แต่ครูให้เราเรียนรู้ในสิ่งที่เราทำได้ แล้วรับผิดชอบทำส่วนนั้นให้ดี แต่ ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่า ถ้าจะเป็นบรรณาธิการต้องจัดหน้าให้ได้ ถ้าทำไม่ได้คือเป็นไม่ได้
เหตุผลอะไรที่ทำให้เลือกเรียนจิตวิทยาการปรึกษา เพราะอยากเรียนรู้ทั้งตัวเองและคนอื่นหรือเปล่า
เดิมทีเราไม่รู้ว่าจิตวิทยาคือการเรียนรู้ตัวเอง และคนอื่น รวมถึงบรรยากาศการเรียนเป็นยังไง เราไม่รู้อะไรเลย ตอนนั้นรู้อย่างเดียวว่าการที่เรามีความรู้ด้านการปรึกษา มันน่าจะช่วยคนอื่น ช่วยให้เราสื่อสารได้ดีขึ้น เมื่อคนรอบๆ ตัว กำลังมีความทุกข์ เราจะมีวิธีตอบกลับที่ดีได้
เพราะเราไม่รู้ว่า ถ้าเขาทุกข์อยู่แล้วมาคุยกับเรา ควรตอบหรือช่วยเขายังไง ทั้งๆ ที่เราอยากช่วยเขา อันนี้เป็นความคาดหวังของเราก่อนที่เราจะเข้าไปเรียนจิตวิทยา
พอได้เข้าไปเรียนด้านจิตวิทยาแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง
คิดว่าเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตเลยสำหรับเรา นอกจากจุดเปลี่ยนแรกตอนทำงานที่สำนักพิมพ์ผีเสื้อ เราได้รับรู้ถึงบรรยากาศการมีกัลยาณมิตรที่ดี กับการต้องเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน เรียนรู้ในที่นี้หมายถึง ชีวิตของตัวเองแต่ละคน เติบโตคือต่างเติบโตในชีวิตของตัวเอง แต่การที่เราจะอยู่ด้วยกัน เราช่วยกันเรียนรู้ได้ ช่วยกันสะท้อนและทำให้อีกคนเติบโต ตระหนักถึงการเติบโตของตัวเองได้ ซึ่งตรงนี้มันเป็นสิ่งที่เราไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้มาก่อน
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเราต้องเรียนรู้อยู่คนเดียว อันนี้ต้องทำยังไง ต้องหาวิธีของตัวเองอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นเขายังมีครูมีตำรา มีอะไรมาป้อน แต่เราไม่มี สมมติอย่างเราจะวาดรูปก็คิดเองว่าจะวาดรูปยังไง ส่วนคนอื่นสามารถไปสมัครเรียนได้
แต่พอเรามาเจอเพื่อนๆ เราได้รับฟังปัญหาของเพื่อนๆ ได้รู้ว่า เออ แต่ละคนมันมีความท้าทายไม่เหมือนกัน เขาต้องมีการเรียนรู้ในแบบของเขาเอง มีประสบการณ์ที่เขาเองก็ต้องผ่าน ต้องไปเจอ เพื่อที่จะเติบโตขึ้นเหมือนกันกับเรา
‘อยากเป็นที่ปรึกษาเวลาที่เขามีความทุกข์’ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังมีความทุกข์อยู่
เวลาคนเราทุกข์มันปรากฏในทุกๆ อย่าง ทั้งวิธีพูด ท่าทีที่เปลี่ยนไป นิสัย พฤติกรรม อย่างเช่น เขาอาจจะเงียบผิดปกติ หรือเริ่มบ่น เริ่มด่า ไม่พอใจ เราก็รู้แล้วว่าเขาทุกข์ แต่เราไม่รู้จะทำยังไง แบบกำลังด่าอยู่ว่าคนนี้มันไม่ดี แล้วเราไปบอกว่าคนนี้เขาดี ก็กลายเป็นทะเลาะกันเลย เป็นงั้นจบ แทนที่จะช่วยพูดแล้วมันจะดีขึ้น ทำให้สองคนนั้นเขาดีกันได้ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้ แถมมาทะเลาะกับเราอีก กลายเป็นอย่างนั้นไป เลยรู้สึกว่ามันต้องมีวิธีอะไรสักอย่าง
หลังจากที่ได้เรียนจิตวิทยาการปรึกษา มองว่าเป็นไปตามที่คาดหวังไหม กับการเป็นที่ปรึกษาเวลาคนรอบตัวทุกข์
ไม่รู้เป็นอย่างที่เราหวังไหม มันก็คงเป็นบ้าง แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ทุกครั้ง เราได้เรียนรู้ว่านักจิตวิทยาการปรึกษา ก็คือมนุษย์คนหนึ่ง ที่บางวันเราก็ไม่ไหว บางวันที่เราโกรธอยู่ ง่วงอยู่ด้วย เราก็เป็นไม่ได้
“เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ฟังไม่ไหวคือไม่ไหว
เป็นสิ่งที่เรายอมรับว่า กำลังเรามีเท่านี้
โอเค เรามีวิชาทักษะนี้ แต่ไม่ต้องใช้ทักษะนี้ตลอดเวลาก็ได้”
เหมือนนักดนตรี เป็นนักดนตรีเราอยากเล่นดนตรีตลอดไหม ก็ไม่ ต้องกิน ต้องนอน ต้องคุยกับเพื่อน ต้องออกกำลังกาย ต้องทำกิจกรรมประจำวันหลายๆ อย่าง เป็นปกติของมนุษย์ และมักมีอารมณ์หลายๆ อย่างเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่เสมอ
การเรียนด้านจิตวิทยาช่วยให้เราหันมาโฟกัสกับตัวเองเยอะขึ้นไหม
เยอะขึ้นมาก เราได้สังเกตและทำความเข้าใจตัวเอง เคยมีบันทึกวันหนึ่งที่เราเขียนเรื่องของการทำไม่ได้ เหมือนที่ผ่านมาเราจะสะเทือนใจกับการทำไม่ได้ ทำไม่ได้ก็จะรู้สึกว่าเราไม่เก่ง เพราะเรามองไม่เห็นก็เลยทำไม่ได้ เราจะเจ็บปวดมาก เลยทำให้เราต้องพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา
จนไปคุยกับรุ่นพี่ ว่าเราไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย ความรู้สึกที่ทำไม่ได้ เหมือนกับเราแตกแยกแตกต่าง เขาก็บอกเขาก็ทำไม่ได้เหมือนกัน เขาไม่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ ก็ต้องให้รุ่นน้องมาสอนอยู่เสมอ ดังนั้นมันไม่ใช่ความผิดของเรา ไม่ได้ผิดที่เราทำอะไรไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับที่เรามองไม่เห็นด้วยซ้ำ
“ทุกคนก็มีสิ่งที่ทำไม่ได้
เรามองไม่เห็นแล้วทำบางอย่างไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องปกติ
ก็ให้คนอื่นช่วยก็ได้ ในส่วนที่เราทำไม่ได้
แต่ในส่วนที่เราทำได้ เราก็ทำ”
เมื่อก่อนถ้าพูดเรื่องนี้เราจะไม่เข้าใจ รู้สึกสะเทือนใจและยอมรับไม่ได้ แต่พอหลังจากวันนั้นเราก็ค่อยๆ ยอมรับมากขึ้น มีสิ่งที่เราทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ไม่มีใครทำได้ทุกอย่าง แล้วการเป็นบรรณาธิการที่เราจัดหน้าไม่ได้ ที่เคยรู้สึกจะเป็นจะตาย ก็เริ่มคิดว่าให้คนอื่นช่วยสิ ช่วยส่วนที่เราทำไม่ได้ แล้วอันไหนที่เราทำได้ก็ทำไปสิ เสร็จแล้วก็ช่วยกันดูงานมันก็เสร็จได้เหมือนกัน เลยเหมือนอนุญาตให้คนอื่นเข้ามามีส่วนในชีวิตของเรามากขึ้น
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าสังคมเรา ไม่ใช่อยู่คนเดียว ต่อให้เราเป็นคนเก่งมากๆ แต่เรามีอยู่สองมือ สองขา บางอย่างมันก็ต้องใช้สิบมือ ยี่สิบมือ ถ้าเรายืมมือคนอื่น กลายเป็นว่าเราทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ ความเป็นเราขยายใหญ่ขึ้น ไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว ความสำเร็จเป็นของทุกคน ก็สวยงาม มันก็ดีนี่ แล้วทำไมต้องมานั่งแบกทุกอย่างอยู่คนเดียว เรากลับชอบมากขึ้น และทุกข์ทรมานกับความรู้สึกที่ทำไม่ได้น้อยลง
แล้วมีคนไหนไหม ที่คุณอยากพูดคุย นั่งคุยกับเขา เพื่อที่จะได้เรียนรู้และเข้าใจเขา
คงเป็นตัวเอง อาจเป็นเพราะว่าธรรมชาติแล้วเราไม่ค่อยได้มีโอกาสให้เวลาตัวเอง เพราะจะให้เวลากิจกรรม งาน คนในสังคม แล้วตัวเองมักจะถูกลืม อยู่กับตัวเองไม่ค่อยได้ เวลาเงียบๆ ก็ไม่ได้ ต้องเปิดเพลงฟัง ต้องดูหนัง
เรารู้สึกว่าถ้าได้สื่อสารและได้เข้าใจตัวเอง จะได้ทำอะไรอีกหลายๆ อย่างที่เหมาะกับตัวเรา อาจเป็นสิ่งที่เราอยากพยายาม อยากทำ อาจจะเป็นสิ่งที่เราทำได้ดี ก็จะได้อยู่กับสิ่งนั้น เพราะถ้าเราไม่ได้คุยกับตัวเอง ไปคุยกับคนอื่น บางทีก็เผลอไปทำตามในสิ่งที่มันไม่ใช่ความต้องการของเรา แค่เพียงเป็นสิ่งที่คนอื่นเขาทำกัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราอยากคุยกับตัวเองมากที่สุด แล้วไม่อยากคุยกับคนอื่นเลย มันสำคัญทั้งคู่ ทว่าสิ่งสำคัญคือเราไม่อยากลืมตัวเอง
ถ้าให้เวลาอยู่กับตัวเองได้ คิดว่าอยากทำความเข้าใจกับตัวเองเรื่องอะไรมากที่สุด
มันคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลาในตอนนั้น แต่สิ่งสำคัญน่าจะเป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึก คือเวลาเราเกิดความรู้สึก ความรู้สึกมันมาจากสิ่งที่เราคิด ตีความ และรับรู้
แต่บางครั้งเราไม่รู้ว่าเราคิดอะไร เราตีความอะไร รับรู้อะไร อะไรทำให้หงุดหงิด หรือกังวล เลยรู้สึกว่าการเข้าใจความรู้สึกต่างๆ ของตัวเอง มันน่าสนใจ ความรู้สึกพวกนี้จะเป็นสัญญาณที่สำคัญมากๆ เพราะในความรู้สึกมีสิ่งที่จะบอกอะไรบางอย่างกับเราอยู่
อย่างเมื่อวานเราโกรธมาก แต่ไม่รู้ว่าทำไมโกรธได้ขนาดนั้น เราเลยโกรธตัวเราอีก เพราะรู้ทั้งรู้ว่าโกรธมันไม่ดี ก็ไม่ต้องโกรธไม่ได้เหรอ พอโกรธแล้วทำไมน่ากลัวขนาดนี้ กลายเป็นความโกรธมีความกลัวด้วย พอค่อยๆ มานั่งดูความรู้สึกนั้น ก็อ๋อ มันมีโกรธ มีกลัว มีหดหู่ด้วย พอทำความเข้าใจ แล้วถอยตัวเองออกมาจากคนที่รู้สึกตรงนั้น เราก็จะเจ็บปวดจากความรู้สึกน้อยลง
คิดว่าวันที่ดีของคุณเป็นแบบไหน
วันที่ดีบางทีมันง่ายมาก บางทีเป็นวันที่เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่เป็นวันที่เรารู้สึกดี ตื่นมาไม่มีเรื่องอะไรที่กังวล เป็นวันที่เราเห็นความสุข ซึ่งบางวันความสุขมันเกิดขึ้นง่ายๆ แต่บางทีเราก็ไม่เห็นอย่างนั้นจริงๆ แค่เราตื่นมาแล้วได้ดื่มน้ำชาสักแก้วหนึ่ง มันก็เป็นความสุข แต่บางวันสิ่งนั้นก็ไม่ใช่ความสุขของเรา เพราะว่าคาดหวังอะไรเยอะแยะ กังวลเต็มไปหมด
มีสิ่งไหนในชีวิตที่รู้สึกอยากขอบคุณ
คงเป็นทุกๆ วัน ทุกๆ วันที่ผ่านมา ต่อให้เป็นเรื่องแย่ เราก็รู้สึกว่ามันให้อะไรบางอย่าง ที่พาเรามาตรงนี้ได้ ทำให้คิดอะไรบางอย่างได้ เมื่อก่อนก็จะมีเรื่องที่เราไม่ชอบเลย มันแย่มาก แต่พอมาวันนี้เรารู้สึกว่าถ้าไม่เจอเรื่องนั้น จะทำให้เราคิดในสิ่งที่เราคิดอยู่ตอนนี้ได้ไหม
เราเลยขอบคุณทุกอย่างที่ทำให้เราได้คิด และรู้สึกอยู่ในตอนนี้ ทุกการตัดสินใจของเราในทุกๆ อย่างที่มันเข้ามาล้วนเป็นประสบการณ์ของเรา
กว่าจะขอบคุณในสิ่งเหล่านั้นได้ ใช้เวลานานไหม
ธรรมชาติเราเป็นคนที่ขอบคุณง่ายอยู่แล้ว มีอยู่วันหนึ่งเราเขียนบันทึกขอบคุณคนที่มากางร่มให้เราตอนฝนตก เพราะมันทำให้วันนั้นดีมากๆ เหมือนเราลืมทุกอย่าง เรื่องที่เรียนเครียด เรียนยาก เลยรู้สึกว่าการขอบคุณไม่ได้ยากสำหรับเรา เราชอบขอบคุณอยู่แล้ว
การขอบคุณทั้งเรื่องดีๆ และเรื่องแย่ๆ มันง่ายขนาดนั้นจริงหรือ?
ก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แต่ก็เกิดขึ้นได้จริงๆ ส่วนใหญ่รู้สึกเวลาเรานึกย้อนกลับไป เราขอบคุณกับบางเหตุการณ์ที่เรายังรู้สึกเจ็บปวดกับมัน ขอบคุณเลยไม่ได้แปลว่าไม่เจ็บปวดแล้ว หรือไม่ได้โกรธคนนั้นที่มาทำร้ายเรา แต่เราก็ยังชอบที่เรารู้สึกขอบคุณ เพราะทุกๆ อย่างทำให้เราเป็นเราในตอนนี้ ลองนั่งฟังเสียงตัวเอง นั่งดูว่าเราผ่านอะไรมาแล้ว จะเห็นว่าไม่ง่าย เลยเกิดความรู้สึกซาบซึ้ง ขอบคุณสิ่งต่างๆ ขึ้นมา แต่มันก็ใช่ว่าความรู้สึกนี้จะอยู่ตลอดไป มันกลับไปกลับมาได้
ทุกวันนี้นอกเหนือจากการเป็นนักเขียน นักจิตวิทยา มีอะไรที่อยากทำอีกไหม
มันตอบไม่ได้ เพราะว่าน่าจะเกิดขึ้นมาใหม่อยู่เสมอ อย่างตอนเด็กๆ มีคนมาถามว่าอยากทำอะไร เราคงไม่ตอบว่าอยากเป็นบรรณาธิการ อยากเป็นนักจิตวิทยา นึกไม่ออกหรอก แต่เรารู้สึกว่าในทุกๆ วัน มันจะพาเราไปเสมอ พาเราไปรู้จักความอยากของเราในวันนั้น
ตอนนี้เราแค่อยากทำในสิ่งที่เราทำอยู่ให้เต็มที่ มีความสุขกับสิ่งที่เราทำ และเรียนรู้กับสิ่งที่เราทำเรียนรู้กับสิ่งที่เราเป็นอยู่ ได้รู้จักตัวเองและคนอื่น แค่นี้เอง เราไม่ได้คิดอยากเป็นอะไรใหญ่โต
แน่นอนว่า ตอนนี้เราเป็นนักจิตวิทยาก็ต้องอยากเป็นนักจิตวิทยา แต่ถ้าวันหนึ่งไม่ได้อยากเป็นนักจิตวิทยาแล้ว อยากเป็นอย่างอื่นก็ค่อยว่ากัน ถ้าเป็นนักจิตวิทยาก็คงอยากคุยกับเคสวันนี้ให้ดี อยากช่วยเหลือเคสนี้ให้ได้ เรารู้สึกว่าทุกคนก็ทำได้ทุกอย่างแหละ แค่เอนจอยกับโมเมนต์ตรงนั้นก็พอแล้ว
สุดท้าย อยากให้ทุกคนจดจำคุณในแบบไหน หรือในฐานะอะไร
ไม่ได้คิด ยากจัง เราไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักจิตวิทยา นักเขียน หรือคาดหวังให้ใครมาจดจำเรา ซึ่งบางทีคงขึ้นอยู่กับว่าเราได้เจอกันแบบไหน ตรงไหน ที่ไหน แล้วก็รู้สึกว่าชีวิตคนเราเติบโตขึ้นได้เสมอ เราเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนอื่น คนอื่นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเราเหมือนกัน
ฉะนั้น ถ้าเกิดเขาอาจจะจำอะไรไม่ได้เลย ก็ไม่ได้แปลว่าเขาไม่ได้มีส่วนในชีวิต เรารู้สึกว่าในทุกๆ ก้าวที่เราโตขึ้น เราได้สื่อสาร พูดคุยกัน มันคือการมีส่วนร่วมในชีวิตของกันและกัน เท่านี้ก็พอแล้ว