3 Min

ไม่ต้องมีสคริปต์ ไม่ต้องมีสูตรสำเร็จ ‘พชร์ อานนท์’ ผู้บันทึกเรื่องราวของยุคสมัย เป็นเสมือนจดหมายเหตุของประเทศไทย

3 Min
7 Views
27 Aug 2025

หลายคนที่ติดตามผลงานของ ‘พชร์ อานนท์’ อาจจะพอทราบกันแล้วว่าเขากำลังจะมีภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง ‘หมู่บ้านโค-กะโหลก’ เรื่องราวสุดผวาในหมู่บ้านเฮี้ยน พ่วงด้วยตำนานโคกะโหลกสุดหลอน ที่พร้อมพาผู้ชมอกสั่นขวัญผวาปนเสียงฮา แม้จะยังไม่กำหนดวันฉายแน่ชัด แต่ก็เกิดกระแสพูดถึงเป็นวงกว้างเป็นที่เรียบร้อย

ในวงการภาพยนตร์ไทย ชื่อของ ‘พชร์ อานนท์’ มักถูกพูดถึงในฐานะของผู้บันทึกประวัติศาสตร์สังคมไทย เพราะภาพยนตร์แฟรนไชส์ ‘หอแต๋วแตก’ ของเขามักถูกแซวอยู่เสมอว่าเปรียบเสมือนพงศาวดารแห่งประเทศไทย

สำหรับเสียงตอบรับจากผู้ชมทั่วไป แน่นอนว่าย่อมมีทั้งฝั่งที่ ‘ชื่นชอบ’ และ ‘ไม่ประทับใจ’ เป็นธรรมดาของงานประเภทนี้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือสไตล์การเล่าเรื่องในแบบฉบับของพชร์ อานนท์

นักเขียนบทหลายคนเคยอธิบายว่า ภาพยนตร์ของพชร์ อานนท์แทบจะไม่มีการวางสคริปต์หรือตัว ScreenPlay ตามสูตรดั้งเดิม ไม่มีการยึดโครงสร้างแบบสามองก์ (Three-Act Structure) ไม่มีการร่างสตอรี่บอร์ด รวมถึงการกำหนด ‘ฌอง’ (genre) ที่เหมือนผสมผสานทุกอารมณ์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสยองขวัญ แอ็กชัน ตลก และอื่นๆ

คำถามคือ นี่คือการกำกับแบบไร้โครงสร้าง แล้วเคยมีผู้กำกับท่านอื่นๆ ทำแบบนี้ด้วยหรือไม่?

หากมองในแง่ของภาษาภาพยนตร์สากล มาตรฐานการเขียนบทและการกำหนดโครงสร้างของเรื่อง มักถือเป็น ‘โครงสร้างขั้นพื้นฐาน’ ของวงการภาพยนตร์ทั่วทุกแขนง ไม่ว่าจะผู้กำกับหรือนักเขียนบทชื่อดัง ก็ล้วนเลือกที่จะเดินตามโครงสร้างดังกล่าว แต่กลับกัน ทำไมพชร์ อานนท์ ถึงไม่เลือกไม่เดินตามสูตรสำเร็จนั้นๆ และหันมาสร้างผลงานในรูปแบบของตนเองอยู่เสมอมา

เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่า ถึงแม้จะกำกับหนังดราม่าหรือหนังเสียดสีสังคมจนสามารถคว้ารางวัลมาได้ก็จริง แต่รายได้จากภาพยนตร์ประเภทดราม่าก็ถือว่าน้อยกว่าอยู่ดี เมื่อเทียบกับหนังตลก เพราะฉะนั้น นี่จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่พชร์ยังคงเลือกรังสรรค์หอแต๋วแตกออกมาอยู่เรื่อยๆ … “รางวัลก็เอามาทำอะไรไม่ได้ งั้นเอาเงินดีกว่า” พชร์ อานนท์ กล่าวไว้กับวอยซ์ ออนไลน์

แต่ถ้าหากมองในแง่ของทฤษฎีแห่ง Super Director อย่างทฤษฎีประพันธกร (Auteur Theory) ที่นิยามว่ามันคือ ‘อัตลักษณ์’ ของผู้กำกับภาพยนตร์ และ ‘หัวใจ’ ของผู้ประพันธ์ ที่แฝงอยู่บนหน้าจอจนเกิดเป็นคำว่า ‘ลายเซ็น’ กล่าวอย่างง่ายคือ ผู้กำกับคือ ‘เจ้าของภาษาภาพยนตร์’ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคภาพ แง่มุม สไตล์การเล่าเรื่อง ไปจนถึงทัศนคติที่มีต่อโลก

ยกตัวอย่าง ผู้กำกับหนังอินดี้อย่าง ‘เวส แอนเดอร์สัน’ (Wes Anderson) ที่มักใช้คู่สีที่ฉูดฉาดและจัดจ้านในการออบแบบฉาก หรือ ‘ยอร์กอส ลานธิมอส’ (Yorgos Lanthimos) ผู้กำกับสัญชาติกรีก ก็มักจะเขียนให้ตัวละครที่เฉิดฉายบนหน้าจอ เต็มไปด้วยพฤติกรรมสุดแปลกและดูบิดเบี้ยวจากโลกของความเป็นจริง ไปจนถึง ‘เดเมียน ชาเซล’ (Damien Chazelle) ที่มักจะใส่ความฝันและบทเพลงเข้าไปในหนังอยู่เสมอ

ทั้งนี้หากจะนำทฤษฎีประพันธกรมาใช้กับภาพยนตร์ของพชร์ อานนท์ ก็อาจอธิบายคำว่า ‘ลายเซ็น’ ในมุมมองของพชร์ได้ว่า การกำกับแบบด้นสดคล้ายๆ กับที่ ‘หว่อง กาไว’ ชอบทำ หรือการเน้นใส่มุกตลกแรงๆ การแทรกเหตุการณ์บ้านเมือง วงการบันเทิง ข่าวสังคม หรือกระแสโซเชียลแบบวันต่อวัน…สิ่งเหล่านี้นี่เองอาจนับเป็นลายเซ็นของเขา

ส่วนวิธีการเล่าเรื่องที่ดูไม่เป็นระเบียบ และไม่เน้นโครงสร้างสามองก์นั้น ถ้าจะให้ว่ากันตามตรง ก็สามารถพูดได้เต็มเลยปากว่า การเล่าเรื่องที่เปรียบเสมือนว่าผู้ชมกำลังตกอยู่ในห้วงมิติความฝัน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์ข้างหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นคืออะไร วงการหนังบ้านเราแทบยังไม่เคยมีใครลองใช้วิธีการเล่าแบบพชร์เสียด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุด ถ้าหากใช้มุมมองของทฤษฎีประพันธกรมาช่วยตอบคำถามในตอนต้น ‘ความไม่เป็นระเบียบ’ ของพชร์ อานนท์ จึงอาจเป็นระเบียบในแบบที่เขาตั้งใจให้คนดูรู้สึกว่า ‘หนังของพชร์ไม่ได้ตั้งใจทำ’ ก็เป็นได้ และในอนาคตการกำกับของพชร์ อานนท์ในจักรวาลหอแต๋วแตก อาจกลายเป็นแนวทางให้ผู้สร้างหนังหรือคนเขียนบทกล้าที่จะคิดนอกกรอบมากขึ้นไปอีกก็เป็นได้

อ้างอิง: