จุดเริ่มต้นของการดูหนังฟังเพลง และอีกหลายสิ่งคุณอาจไม่รู้เกี่ยวกับอเมริกาในยุค 1920’s

5 Min
2005 Views
09 Oct 2020

ทุกวันนี้เราจดจำโลกเป็นทศวรรษ ซึ่งคนรุ่นเรา ๆ ก็อาจนึกถึงยุค 1990’s หรือ 1980’s ในฐานะยุคสมัยที่มีวัฒนธรรมเฉพาะของมันให้เราจดจำ (ไปจนถึงรำลึกความหลัง) แต่เอาจริง ๆ การแบ่งยุคสมัยเป็นทศวรรษนี้เป็นสิ่งที่เพิ่มเริ่มเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 20 ก่อนหน้านั้นการแบ่งยุคสมัยจะนับเป็น 100 ปี หรือเป็นศตวรรษ

สาเหตุที่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 การแบ่งยุคสมัยนั้นแบ่งกันแบบ 10 ปีส่วนหนึ่งก็เพราะศตวรรษนี้การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสุด ๆ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่วัฒนธรรม และเทคโนโลยีต่าง ๆ เปลี่ยนอย่างเชื่องช้า

ซึ่งคำถามก็คือแล้วทศวรรษไหนที่คนเริ่มจดจำมันในฐานะทศวรรษ? คำตอบคือยุค 1920’s ซึ่งเป็นยุคที่อเมริกามีการเปลี่ยนแปลงในสังคมแบบเร็วสุด ๆ จนมีคำเรียกว่า 1920’s สุดเดือด หรือ Roaring Twenties (หากสงสัยว่าตรงกับยุคไหนในไทยคำตอบคือช่วยปลายรัชกาลที่ 6 และต้นรัชกาลที่ 7 นะครับ)

Roaring Twenties | thoughtco.com

ทำไมต้องอเมริกา? ทำไมต้อง 1920’s? คำตอบคือ เอาจริง ๆ มองในแง่หนึ่งการแบ่งช่วงเวลาแบบนี้ก็คือการมองประวัติศาสตร์แบบอเมริกาเป็นศูนย์กลางจริง ๆ แต่ในทางกลับกัน เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่เกิดขึ้นในอเมริกาช่วงนี้มันก็ได้กลายมาเป็นการเปลี่ยนแปลงต่อโลกในวงกว้าง และมันก็กลายมาเป็นวิถีชีวิตที่ยังอยู่กับเราทุกวันนี้แม้ว่าเราจะอยู่อีกซีกโลก

แล้วทำไมต้อง 1920’s ล่ะ? ทำไมคนไม่จำ 1910’s? คำตอบคือยุคนี้ความเปลี่ยนแปลงมันเยอะสุด ๆ เยอะจนต้องยกให้มันเป็นยุคแห่งความเปลี่ยนแปลง หรือพูดอีกแบบก็คือยุคนี้แหละที่ทำให้โลกเข้าสู่ยุค “ศตวรรษที่ 20” อย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานในสังคมอเมริกาก่อน

ยุคนี้เปิดตัวมาอย่างเดือดมาก เพราะเปิดมาปี 1920 มีการแก้รัฐธรรมนูญให้ผู้หญิงอเมริกันได้รับสิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งแรก (หลังจากต่อสู้มายาวนาน) ซึ่งนี่เป็นการเซ็ตโทนให้ยุคสมัยสุด ๆ คือนี่เป็นยุคแรกที่ผู้หญิง “เริ่มมีอิสระภาพ” และเริ่มมี “แฟชั่น” แบบทุกวันนี้ ไม่ต้องมาใส่ชุดคอร์เซตต์รัดรูปแบบสมัยก่อน

การเปลี่ยนแปลงของสังคมที่ “เท่าเทียม” กันมากขึ้นก็เกิดจากภาวะ “สังคมเมือง” ที่ขยายตัวขึ้นโดยในทศวรรษนี้เองที่อเมริกามี “คนเมือง” มากกว่า “คนชนบท” เป็นครั้งแรก ซึ่งแนวโน้ม “คนเมือง” จะเป็นพวกหัวสมัยใหม่รักเสรีภาพ ส่วนคนชนบทก็จะเป็นพวกอนุรักษ์นิยมเคร่งศาสนา และภาวะแบบนี้ก็สร้างคู่ขัดแย้งทางการเมืองของอเมริกาที่มีมาอยู่ยาวนานจนถึงทุกวันนี้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ตลกมาก ๆ ในยุคที่ “สังคมก้าวหน้า” ขนาดนี้ก็คือ การต่อสู้ของขบวนการอนุรักษ์นิยมที่ต่อเนื่องมาหลายสิบปีในที่สุดก็ทำให้ทางสภาคองเกรสของอเมริกา ถึงกับแก้รัฐธรรมนูญให้การซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหมดเป็นสิ่งผิดกฎหมายในปี 1920 และทำให้เกิดยุคในประวัติศาสตร์ของอเมริกาทีเรียกว่า Prohibition Era (ช่วงปี 1920 -1933) และความที่กฎหมายดันสวนทางกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ของสังคมที่คนต้องการเสรีภาพขึ้น ผลมันก็คือทำให้ทั้งการผลิตเหล้า และบาร์เหล้า “ลงไปใต้ดิน” หมด เกิดแก๊งมาเฟียมากมายที่หากินกับ “สิ่งผิดกฎหมาย” อย่างเหล้า (เจ้าพ่อ Al Capone มาเฟียชื่อดังของอเมริกาก็ยิ่งใหญ่ในยุคนี้) ซึ่งสุดท้ายสภาคองเกรสก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญกลับในที่สุดให้เหล้ากลับมาถูกกฎหมายในปี 1933

Al Capone | wikipedia.org

ส่วนหนึ่งที่การแบนเหล้าไม่สำเร็จก็เพราะเศรษฐกิจในอเมริกายุคนี้อู้ฟู่สุด ๆ เศรษฐกิจอเมริกาโตเกิน 2 เท่าตัวในช่วง 10 ปี และแม้ว่าความเหลื่อมล้ำจะสูงถ้าเทียบกับปัจจุบัน การโตทางเศรษฐกิจนี้ก็ทำให้ชนชั้นกลางมีรายได้มากขึ้นมหาศาล สามารถลืมตาอ้าปากบริโภคสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน และมันก็ไม่น่าจะแปลกใจอะไรเลยที่การแบนสิ่งที่คนอยากจะบริโภคกันอย่างเหล้าจะ “ผิดคิว” สุด ๆ ในยุคที่คนเพิ่มกำลังบริโภคมาอย่างมหาศาล

กำลังการบริโภคที่เพิ่มขึ้นทำให้คนออกไปหาความบันเทิงนอกบ้านมากขึ้น และมรดกที่ตกจากยุค 1920’s มาถึงปัจจุบันก็คือการ “ดูหนังฟังเพลง”

ต้องเข้าใจก่อนว่าดนตรีมันอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ และเทคโนโลยีภาพยนตร์ก็เกิดขึ้นมาเป็นสิบปีแล้วก่อน 1920’s แต่ความต่างที่สำคัญก็คือยุคนี้สองสิ่งนี้กลายมาเป็น “รูปแบบความบันเทิงหลัก” ของคนในสังคม

ก่อนหน้านั้นคนอเมริกันยามว่างจะไปดูโชว์ตามร้านเหล้าที่เรียกว่า Vaudeville (ไม่รู้จะเทียบกับอะไรในไทยดี จะบอกว่ามันคือ “ตลกคาเฟ่ฝรั่ง” ก็ไม่เชิง เพราะมันเป็นรวมโชว์หลายอย่าง มีตั้งแต่ตลก ดนตรี กายกรรม ฯลฯ) แต่พอมายุค 1920’s สิ่งที่ปฏิวัติการใช้เวลาว่างก็คือการเกิดขึ้นของภาพยนตร์ที่มีเสียงประกอบ (ก่อนหน้านั้นภาพยนตร์ทั้งหมดเป็น “หนังเงียบ”) โดยภาพยนตร์ที่เกิดยุคนี้ก็คือ The Jazz Singer ในปี 1927 ที่ดังเป็นพลุแตก และทำให้การดูภาพยนตร์เป็นรูปแบบหลักหนึ่งในการใช้เวลาว่างของมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน (ส่วนโชว์แบบ Vaudeville ก็ค่อย ๆ เจ๊งไป เพราะไม่มีใครดู) กล่าวอีกแบบก็คือการฉลอง 100 ปี 1920’s ด้านหนึ่งก็คือการฉลอง 100 ปีของการดูภาพยนตร์ของมวลชนด้วย

The Jazz Singer | wikipedia.org

ในทางดนตรียุคนี้ถือว่าเป็นยุคของดนตรีแจ๊ส (ซึ่งแจ๊สยุคนี้ถ้าจัดแบบปัจจุบันก็มักจะเรียกว่า Swing Jazz) และเป็นยุคคลาสสิคที่ “คนแจ๊ส” ก็ยังรำลึกกันถึงทุกวันนี้ โดยนักดนตรีเด่น ๆ ในยุคนั้นก็ได้แก่ Louis Armstrong, Duke Ellington และ Count Basie

ซึ่งอีกด้านหนึ่งบางคนก็จะเรียกยุคนี้ว่ายุค Swing และการเต้น Swing ที่กลับมาฮิตอยู่เนือง ๆ ในปัจจุบันก็มาจากยุคนี้ และดนตรีของยุคนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ดีสิ่งที่เราต้องเข้าใจก็คือยุคนั้นก็ไม่ได้มี Spotify แต่สิ่งที่ไฮเทคสุด ๆ ในยุคนั้นก็คือ “วิทยุ” เรียกได้ว่าคนมีวิทยุอยู่บ้านนี่ทันสมัยสุด ๆ แล้ว และการฟังเพลงอยู่บ้านยามว่างของมนุษย์ก็เริ่มแพร่หลายจากยุคนี้นี่แหละ เพียงแต่มันเป็นการฟังวิทยุ ไม่ใช่จิ้มเลือกเพลงแบบที่เราทำในปัจจุบัน (ทั้งนี้ สมัยนั้นก็เริ่มมี “แผ่นเสียง” แล้วนะครับ แต่ถือว่าเป็นของแพงมาก ๆ สำหรับคนที่มีเงิน คนทั่ว ๆ ไปฟังวิทยุกันเป็นหลัก)

ซึ่งจะพูดอีกแบบก็คือ 1920’s นี่แหละเป็นยุคที่มนุษย์เริ่ม “ดูหนังฟังเพลง” กันยามว่างแบบทุกวันนี้

และเราอาจไม่คิดว่ามันยิ่งใหญ่เท่าไร แต่มองในเชิงประวัติศาสตร์ระยะยาวแล้วนี่คือการ “ปฏิวัติการใช้เวลาว่าง” ของมนุษย์เลย และทำให้เกิดอุตสาหกรรมภาพยนตร์ และอุตสาหกรรมดนตรีในยุคต่อ ๆ มา และเราก็คงไม่ต้องพูดกันมากว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้ยิ่งใหญ่แค่ไหนในปัจจุบัน

สุดท้าย สิ่งที่เป็นมรดกของยุค 1920’s ก็คือการขับรถยนต์ของมนุษย์นี่แหละครับ รถยนต์เป็นสิ่งที่มีมาก่อนหน้านั้นแล้ว Ford Model T ที่ผลิตมาราคาถูกขายชนชั้นกลางโดยเฉพาะผลิตมาตั้งแต่ปี 1908 อย่างไรก็ดี ก็อย่างที่เล่าครับ ในยุค 1920’s คนอเมริการวยขึ้นมาก นี่เลยเป็นยุคแรกที่คนจำนวนมาก “มีปัญญา” จะซื้อรถมาขับ และทำให้อเมริกาเป็นประเทศแรก ๆ ที่มีรถยนต์เต็มท้องถนน ซึ่งนี่ก็เป็นจุดหมายที่สำคัญมาก ๆ ของอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่เป็นอุตสาหกรรมหลักอย่างหนึ่งของอเมริกาจนถึงปัจจุบัน

Ford Model T | wikipedia.org

มันฟังดูเป็นยุคที่รุ่งเรืองสุด ๆ ว่าแต่ 1920’s จบลงยังไง? หลัก ๆ คือมันจบลงในปี 1929 ที่หุ้นในตลาดร่วงเละระเนระนาด จนส่งผลใหญ่โตทำให้เศรษฐกิจซบเซาทั้งระบบ และทำให้อเมริกาเข้าสู่ยุค The Great Depression หรือพูดอีกแบบก็คือในขณะที่คนอเมริกันรวยกันสุด ๆ ใน 1920’s ช่วย 1930’s ก็คือยุคแห่งความแร้นแค้นแสนสาหัสกับวิกฤติเศรษฐกิจ

Great Depression in the United States | wikipedia.org

ซึ่ง “บทเรียน” ของการล่มสลายของความอู้ฟู่ของยุค 1920’s ในครั้งนั้นก็ทำให้เกิดอะไรอีกมากมายในเชิงนโยบายรัฐบาล ตั้งแต่แนวคิดว่าต้องมีการกำกับดูแลตลาดหุ้น และระเบียบต่าง ๆ ที่อยู่มาถึงทุกวันนี้ เพราะการล่มสลายยุคนั้นมันทำให้คนเห็นแล้วว่าถ้าปล่อยให้ตลาดหุ้นดำเนินไปตามใจชอบ เวลาตลาดพัง เศรษฐกิจพังทั้งระบบ นอกจากนี้ ทางรัฐบาลก็เริ่มมีแนวคิดเรื่อง “การใช้เงินอัดฉีด” เข้าไปในเศรษฐกิจที่ซบเซาเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกอีกด้วย (พูดในเชิงเศรษฐศาสตร์ วิกฤติครั้งนี้แหละที่ทำให้เกิดคอนเซ็ปต์ “นโยบายการคลัง)

ทั้งหมดนี่แหละครับมรดกจากยุค 1920’s สุดเดือดที่ยังคงอยู่กับเราทุกวันนี้ เกือบ 100 ปีให้หลัง