ทุกวันนี้ทุกคนที่ทำงานหรือไปงานสัมมนาน่าจะคุ้นกับช่วงเวลาที่เรียกว่า ‘ช่วง พักดื่มกาแฟ’ ซึ่งทั่วๆ ไปก็มักจะเป็นช่วงเวลาที่เกิดขึ้นหลังจากทำกิจกรรมต่างๆ ช่วงเช้าไปสัก 2 ชั่วโมง ก่อนจะทำต่อแล้วเข้าสู่ช่วง ‘พักเที่ยง’ เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
แน่นอน หลายคนอาจรู้แล้วว่า ‘ช่วงพักเที่ยง’ จนถึง ‘ข้าวเที่ยง’ คือคอนเซ็ปต์ที่เกิดมากับสังคมอุตสาหกรรม ที่เกิดจากความจำเป็นว่าคนทำงานในโรงงานต้องกินข้าว ไม่เช่นนั้นจะทำงานต่อไม่ได้เพราะไม่มีเรี่ยวแรง มันเลยเกิด ‘การพักเที่ยง’ ขึ้น และ ‘ช่วงพัก’ ที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นมาตอบสนองความจำเป็นทางกายภาพของเหล่าชนชั้นแรงงาน และกลายมาเป็นส่วนสำคัญของวงจรชีวิตมนุษย์มาถึงทุกวันนี้
แต่สิ่งที่เรียกว่า ‘ช่วงพักกินกาแฟ’ มันโผล่มาได้ยังไง? และทำไมช่วงเวลานี้ถึงเป็นเรื่องคนทั่วโลกต่างเข้าใจตรงกัน แม้ว่าในหลายประเทศน่าจะดื่มชากันมากกว่ากาแฟ
ต้องย้อนไปต้นศตวรรษที่ 20 ในประเทศที่ ‘ดื่มกาแฟเยอะที่สุดในโลก’ ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงปัจจุบัน
ที่สหรัฐอเมริกาเพิ่งมาดื่มกาแฟกันจริงจังกันราวๆ ช่วงศตวรรษที่ 19 และใช้เวลาไม่นาน กาแฟก็สามารถเป็นเครื่องดื่มที่ครองใจอเมริกันชนได้ ในแบบที่เรียกว่าปลายศตวรรษที่ 19 เมล็ดกาแฟที่ผลิตทั่วโลกถึง 80% คือผลผลิตที่ถูกส่งไปให้ชาวอเมริกันชงดื่ม (ซึ่งเมล็ดเหล่าเกินครึ่งคือผลิตในบราซิล ชาติที่ผลิตกาแฟอันดับ 1 ตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้)
ชาวอเมริกันบ้าดื่มกาแฟมาก จนเรียกได้ว่าเป็น ‘เครื่องดื่มสามัญประจำบ้าน’ ระดับที่เคยมีการสำรวจตอนต้นศตวรรษ 20 พบว่ามีครัวเรือนอเมริกันประมาณ 99% มีกาแฟอยู่ติดในบ้าน และมักจะบอกในตอนนั้นว่า..กาแฟเป็น ‘เครื่องดื่มประจำชาติง อเมริกันก็ได้ (ก่อนที่ชาวอเมริกันจะมาดื่มน้ำอัดลมเป็นหลักกันตอนหลังสงครามโลกครั้งที่ 2)
เมื่อกิจวัตรและพฤติกรรมประจำวันที่ดื่มกาแฟมากกันขนาดนี้ เวลาชาวอเมริกันไปทำงานที่เป็นเวลา อย่างการทำงานในโรงงาน พวกเขาจึงรู้สึกอึดอัดมากที่ต้องทนทำงานยาวๆ โดยไม่มีการ ‘พัก’ เพื่อดื่มเครื่องดื่มสุดโปรดนี้ และสุดท้าย โรงงานและสำนักงานต่างๆ ก็เริ่มค่อยๆ มี ‘ช่วงพักดื่มกาแฟ’ แทรกเข้ามาในเวลาทำงานในช่วงเวลาสายๆ
โดยช่วงเวลานี้จะราวๆ 10-20 นาที ซึ่งก็เป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าจะ ‘กินข้าว’ แต่ก็นานพอที่พอจะชงกาแฟดื่มได้ และสมัยนั้น ชาวอเมริกันต้องบดเมล็ดกาแฟต้มกับน้ำเอง เพราะยังไม่มีกาแฟสำเร็จรูป อย่าง เนสกาแฟ ที่เป็นสินค้าแพร่หลายช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จึงสามารถเรียกได้ว่า ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ หรือ The Great Depression ในทศวรรษ 1930 ชาวอเมริกันที่ยังมีงานมีการทำกันอยู่ ทุกคนจะมีช่วงพักดื่มกาแฟกันหมดแล้ว และก็ไม่แปลกที่กาแฟเป็นสิ่งหนึ่งที่ชาวอเมริกันบริโภคไม่ลดลงเลยแม้ว่าเศรษฐกิจจะดิ่งลงเหวก็ตาม แสดงให้เห็นว่า กาแฟเป็น ‘สิ่งจำเป็น’ ของคนในชาตินี้
และเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น สหรัฐอเมริกันก็กลายเป็นชาติมหาอำนาจ และได้ส่งออก ‘วัฒนธรรมการดื่มกาแฟ’ และ ‘ช่วงพักดื่มกาแฟ’ ไปทั่วโลกด้วย นี่เลยทำให้ช่วงเวลานี้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างเวลาทำงานและการประชุมสัมมนา แม้แต่ในหลายประเทศที่ไม่ได้ดื่มกาแฟกันจริงจังอย่างสหรัฐอเมริกาก็รับเอาวัฒนธรรมนี้ไปใช้
สุดท้าย เอาจริงๆ ช่วงเวลาพักดื่มกาแฟนั้นก็มีทั่วไปในชาติอื่นที่นิยมดื่มกาแฟเช่นกัน อย่างที่เยอรมนีมี ‘kaffeeklatsch’ หรือที่สวีเดนก็มี ‘fika’
ทั้งหมดนี้ดูจะเป็นสิ่งที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติในทุกชาติที่นิยมดื่มกาแฟ และช่วงเวลาที่เหมาะแก่การดื่มกาแฟที่สุดของร่างกายมนุษย์ก็เป็นช่วงสายๆ (เพราะหากดื่มในช่วงบ่ายมากเกินไปจะทำให้นอนไม่หลับ) แต่ก็เรียกได้ว่าสหรัฐอเมริกาที่เป็นหนึ่งในชาติดื่มกาแฟที่ ‘บังเอิญ’ กลายมาเป็นมหาอำนาจ และส่งออกคอนเซ็ปต์ ‘ช่วงพักดื่มกาแฟ ไปยังหลายๆ ประเทศ จนเราเลยรู้จักสิ่งนี้ในนาม ‘Coffee Break’ นั่นเอง
อ้างอิง:
- Bloomberg. A Brief History of the Coffee Break. https://shorter.me/Y_mcT