นักเรียนไม่ได้เหมือนกันทุกคน และ ‘การเรียนออนไลน์’ ไม่ใช่เรื่องง่ายของใครสักคน
Select Paragraph To Read
- ‘เบส’ - นักเรียนชั้นมัธยม 3 ห้องต้นๆ ที่อาจารย์แนะนำว่าเป็นหัวหน้าห้องและอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีความกระตือรือร้นเรียนหนังสือ
- ‘โอ’ – นักเรียนชั้นมัธยม 3 ซึ่งเรียนห้องเดียวกันเล่าว่าปัญหาหลักก็คือจำนวนงานที่เยอะขึ้นมาก เพราะต้องเก็บคะแนนในส่วนที่ขาดจากการสอบกลางภาค
- ‘ท้อป’ - นักเรียนมัธยม 3 โรงเรียนเดียวกันซึ่งอาจารย์แนะนำว่าตรงตามนิยามของ ‘เด็กท้ายห้อง’ ที่มีโดดเรียนบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง ไม่ค่อยมีสมาธิ
‘เบส’ - นักเรียนชั้นมัธยม 3 ห้องต้นๆ ที่อาจารย์แนะนำว่าเป็นหัวหน้าห้องและอยู่ในกลุ่มเด็กที่มีความกระตือรือร้นเรียนหนังสือ
เรียกว่าเป็นกลุ่มหัวแถวของห้องเรียน แม้ว่าจะต้องย้ายมาเรียนผ่านหน้าจอมือถือจากที่บ้านก็ยังเข้าเรียนเป็นประจำ
“เรียนในโทรศัพท์เป็นหลัก แต่การนั่งจ้องโทรศัพท์วันละ 8 ชั่วโมงมันก็แย่ครับ มันปวดตา”
นักเรียนส่วนใหญ่เรียนออนไลน์ผ่านมือถือซึ่งไม่ได้มีขนาดใหญ่ การเรียนคาบแรกจะเริ่มตอน 8 โมงเช้าแต่จะต้องมีโฮมรูมเพื่อพูดคุยกับครูประจำชั้นก่อนเข้าเรียน หมายความว่านักเรียนต้องตื่นมาเพื่อจ้องหน้าจอโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าถึงช่วงบ่ายรวม 8 ชั่วโมง ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย การจ้องหน้าจอและเพ่งเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้เกิดอาการปวดตาได้
นอกจากนี้ ตามหลักสูตรที่ต้องเรียนให้ครบในเทอมทำให้โรงเรียนต้องเร่งสอนตามหลักสูตร แต่คาบเรียนในคลาสออนไลน์ถูกปรับให้ระยะเวลาสั้นลง เลยต้องกระชับเนื้อหาและเร่งสอนเพื่อให้ครบตามหลักสูตร ซึ่งเบสเล่าว่าการเรียนไปเร็วๆ บางครั้งก็ตามไม่ทัน ที่สำคัญที่สุดคือการบ้านในช่วงเรียนออนไลน์เยอะกว่าเดิมมากๆ เพราะไม่มีสอบกลางภาคให้เก็บคะแนน
“พวกใบงานเก็บคะแนนก็เยอะขึ้นมาก แต่ผมว่าปัญหาหลักๆ คืองานมันเยอะแล้วก็ทำงานกลุ่มไม่ได้ด้วย พวกใบงานก็แล้วแต่คนด้วยว่าเป็นยังไง ถ้าคนมีเครื่องปรินต์ก็ปรินต์ ส่วนคนที่ไม่มีก็ให้จดใส่สมุด”
เทียบกับการเรียนออนไลน์ในปีที่แล้ว ในปี 2564 นี้ หลักสูตรถูกวางไว้จริงจังกว่ามาก เมื่อล็อกดาวน์ครั้งแรกเบสเล่าว่าส่วนใหญ่จะเป็นการให้ดูคลิปจากยูทูปหรือเรียนเอง แต่ปีนี้จะเป็นห้องแชทออนไลน์เป็นหลัก มีเช็กชื่อ มีงานที่ต้องส่งซึ่งจริงจังกว่ามาก และจำนวนงานที่เยอะขึ้นในแต่ละวิชา รวมทั้งวิชาที่เคยเป็นภาคปฏิบัติก็เป็นภาระที่นักเรียนต้องแบกรับ
“อยากให้ปรับวิชาครับ อยากให้มีแต่วิชาหลักๆ เพราะวิชาแบบพละ มันยาก ตอนนี้ครูก็จะให้วิดพื้น ซิทอัพ แล้วถ่ายวิดีโอส่งมา แล้วก็ถ้าเป็นไปได้อยากให้ลดงานน้อยลงแต่คะแนนเท่าเดิม เหมือนจากงานที่ 5 คะแนน เป็น 10 คะแนนได้ไหม…”
‘โอ’ – นักเรียนชั้นมัธยม 3 ซึ่งเรียนห้องเดียวกันเล่าว่าปัญหาหลักก็คือจำนวนงานที่เยอะขึ้นมาก เพราะต้องเก็บคะแนนในส่วนที่ขาดจากการสอบกลางภาค
“ถ้ามาโรงเรียนมันก็น่ามามากกว่าเรียนออนไลน์อยู่แล้ว เรียนออนไลน์มันน่าเบื่อ มันไม่ค่อยเข้าใจด้วย แล้วก็งานเยอะ”
ส่วนใหญ่จากที่เคยทำงานในคาบเรียนที่โรงเรียน ตอนนี้จะเป็นการสั่งงานให้ทำหลังเลิกเรียนและส่งในเที่ยงคืนของวันนั้นๆ ซึ่งพอทุกวิชาทำแบบนี้จำนวนการบ้านที่ต้องทำเลยเพิ่มพูนขึ้นมากๆ
ส่วนวิธีการเรียนออนไลน์ก็ทำให้ขาดแรงจูงใจในการเรียนไปเยอะ รู้สึกขี้เกียจเข้าเรียน เพราะการจ้องหน้าจอตลอดมันน่าเบื่อมากกว่าและขาดสมาธิได้ง่าย ยิ่งถ้าหากพลาดเช่นวิชาประเภทคณิต-วิทยาศาสตร์ ซึ่งเข้าใจยากอยู่แล้ว ถ้าไม่เข้าใจตั้งแต่ต้น ก็จะหลุดความเข้าใจไปเลย
“อีกอย่างคือมีเพื่อนบางคนที่มีปัญหาเรื่องอินเทอร์เน็ต”
“บางทีตัวหนังสือไม่เป็นตัวหนังสือ ภาพมันแตก แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคนด้วย เน็ตแรงไม่แรง ถ้าดูในคอม ภาพจะชัดกว่า”
ในห้องเรียนไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าถึงอินเทอร์เน็ตอย่างเสถียรภาพตลอดทั้งวัน หลายคนมีปัญหาเรื่องอุปกรณ์ ไม่สามารถเข้าเรียนออนไลน์ได้ ซึ่งในห้องของโอมีประมาณ 1-2 คน แต่ในห้องอื่นที่รู้มาคือมีนักเรียนที่เข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ต 5-6 คน ในขณะที่คนอื่นๆ ก็มีบ้างที่อาจจะภาพไม่ชัด ภาพแตก หรือดีเลย์เพราะอินเทอร์เน็ตไม่แรงพอ
โอยังพูดถึงประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียน เพราะอยู่ที่บ้านอย่างเดียวและเรียนผ่านมือถือ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้โรงเรียนช่วยลดค่าเทอมให้กับนักเรียน
‘ท้อป’ - นักเรียนมัธยม 3 โรงเรียนเดียวกันซึ่งอาจารย์แนะนำว่าตรงตามนิยามของ ‘เด็กท้ายห้อง’ ที่มีโดดเรียนบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง ไม่ค่อยมีสมาธิ
“คือพูดตรงๆ ว่าเมื่อก่อนผมโคตรขี้เกียจ แต่เรียนออนไลน์มันขี้เกียจกว่ากันเยอะครับ”
แต่เมื่อเข้าสู่วิถีการเรียนออนไลน์ ท้อปเล่าว่ากลายเป็นคนละคน เพราะตั้งแต่เรียนออนไลน์มาประมาณ 1 เดือน เขาเข้าเรียนไป 2 วัน
“เหมือนปรับตัวไม่ทันครับ ตอนมาโรงเรียนคิดว่าตั้งใจกว่านี้”
“ถ้าอยู่โรงเรียนโดดเรียน ครูก็ตาม ไปห้องปกครองบ้างอะไรบ้าง พอเรียนออนไลน์ก็ไม่มีไรแบบนั้นแล้ว”
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่นักเรียนทุกคนที่ชื่นชอบการเรียนหนังสือ นักเรียนต้องการตัวกระตุ้นความกระตือรือร้นที่ไม่เหมือนกัน แต่การไปโรงเรียน ครูยังสามารถติดตามได้ ไปเข้าห้องปกครองได้ ท้อปเล่าว่าพอเรียนออนไลน์การดีลกับตัวเองบังคับให้ตัวเองขยัน มันเป็นเรื่องยาก
ซึ่งในช่วงที่เรียนออนไลน์ คุณครูก็มีการติดต่อผู้ปกครองเพื่อถามไถ่ถึงลูกศิษย์ตัวดี เช่น คุณครูคนหนึ่งมาหาแม่ที่มีอาชีพขายขนมไทย และรู้ว่าท้อปไปช่วยแม่ขายขนมอยู่ที่ตลาด สุดท้ายท้อปก็ทำงานส่ง แต่งานที่ทำส่งมีแค่ของครูคนนี้วิชาเดียว
“ถ้าโรงเรียนเปิดก็ต้องมาเรียนอยู่แล้ว ถึงเราจะไม่ได้ตั้งใจเรียนมาก แต่ก็มาครับ”
แววตาของ ‘เด็กท้ายห้อง’ อย่างท้อปบอกว่า เขาคิดถึงโรงเรียนไม่น้อย