เคยดู ‘หนังเก่า’ แล้วรู้สึกว่ามันแปลกๆ ไหม? เพราะมันมี ‘ข้อห้าม’ เหล่านี้ยังไงล่ะ

5 Min
1095 Views
01 Aug 2022

สำหรับคนชอบดูหนังที่บังเอิญได้ไปดูหนังฮอลลีวูดเก่าๆช่วงต้นและกลางศตวรรษที่ 20 ความรู้สึกที่ได้มันอาจประหลาดมาก เพราะสารพัดองค์ประกอบมันประดักประเดิดไปหมด มันดูขาดๆ เกินๆ ในมาตรฐานปัจจุบัน

ส่วนหนึ่งก็แน่นอนเป็นเพราะสุนทรียภาพของยุคนั้นที่ต่างกับยุคปัจจุบัน แต่อีกส่วนก็เป็นเพราะหนังยุคนั้นต้องทำตามข้อห้ามในการทำหนังที่เรียกรวมๆ ว่า Hays Code ตามชื่อประธานสมาคมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในยุคนั้นอย่าง วิล เอช. เฮย์ส (Will H. Hays)

บางคนอาจเกิดคำถามว่า อเมริกันเป็นสังคมที่รับประกันเสรีภาพในการแสดงออกนี่ ทำไมถึงยังมีการเซ็นเซอร์เกิดขึ้นได้ในภาพยนตร์?

ตรงนี้เราอยากจะพาย้อนไปดูประวัติศาสตร์สังคมของภาพยนตร์อเมริกัน ที่ไม่ใช่แค่ทำให้เราเข้าใจอดีต แต่จะทำให้เราเข้าใจหนังและซีรีส์อเมริกันทุกวันนี้มากขึ้นด้วย

อย่างแรก ขอย้อนไปต้นศตวรรษที่ 20 ก่อน ตอนแรกที่ภาพยนตร์เชิงพาณิชย์เกิดขึ้น มันมีการถกเถียงกันว่าเสรีภาพในการแสดงออกที่บทแก้ไขรัฐธรรมนูญรับรองเอาไว้นั้นครอบคลุมถึงภาพยนตร์ไหม? ซึ่งผลสุดท้ายเรื่องไปถึงศาลสูงและศาลสูงก็ฟันธงว่าไม่รับรองในปี 1915

แล้วผลที่ตามมาคืออะไร? อันนี้ไม่ต้องดูไกล ในปี 2022 ศาลสูงเพิ่งประกาศเพิกถอนคำวินิจฉัยในคดีที่รับรองสิทธิการทำแท้ง ผลที่ตามมาก็คือ รัฐต่างๆ เริ่มออกกฎหมายห้าม เพราะรัฐต่างๆ มีสิทธิที่จะออกกฎหมายหรือปกครองคนของตนยังไงก็ได้ ตราบที่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ

เช่นเดียวกัน เมื่อภาพยนตร์ไม่ได้รับการรับรองเสรีภาพ รัฐต่างๆ ในอเมริกาก็มีการตั้งกองเซ็นเซอร์ของตัวเองขึ้น เพื่อสกรีนไม่ให้หนังบางเรื่องฉายในรัฐได้ เพราะถือว่าฉากบางฉากในหนังผิดกฎหมายรัฐ

ทีนี้ก็เลยทำให้ช่วงทศวรรษ 1920 คนทำหนังก็เวียนหัวมากๆ เพราะต้องทำหนังหลายเวอร์ชั่นเพื่อให้ฉายได้ในแต่ละรัฐ มันก็เลยต้องการข้อสรุป และทางสมาคมภาพยนตร์เลยคุยกันว่าเอาไงดี ผลสุดท้ายก็คือให้ผู้อาวุโสทางศาสนาอย่าง วิล เอช. เฮย์ส มานั่งเป็นประธานสมาคมในปี 1922

ตรงนี้อยากย้อนนิดว่า อเมริกาช่วงทศวรรษ 1920 เป็นสังคมอนุรักษนิยมและคลั่งศาสนามากๆ สังคมนี้เพิ่งแก้รัฐธรรมนูญให้การผลิตและขายเหล้าผิดกฎหมายในปี 1920 โดยขบวนการที่ทำให้อเมริกาเลยเถิดไปถึงขั้นแก้รัฐธรรมนูญให้เหล้าผิดกฎหมาย เป็นฝีมือของพวกผู้นำศาสนาและพวกแม่บ้านหัวอนุรักษนิยม ซึ่งประเด็นก็คืออเมริกายุคโน้นไม่ใช่อเมริกาที่เรารู้จักทุกวันนี้

ดังนั้นก็ไม่แปลกเลยที่ในช่วงทศวรรษ 1920 ทางสมาคมภาพยนตร์จะเชิญทั้งพระและผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงศาสนาคริสต์สารพัดนิกายมาคุยกันเพื่อหาข้อสรุปถึงข้อห้ามร่วมกันว่าภาพยนตร์ต้องห้ามมีสิ่งเหล่านี้ และมันจะฉายได้ในทุกรัฐ เพราะยุคนั้น พวกผู้นำทางศาสนาเหล่านี้คือคนมีอำนาจจริงๆ ในสังคมอเมริกัน

ซึ่งก็ต้องเน้นว่าข้อห้ามร่วมกันที่ว่านี้ มันสะท้อนแนวคิดของความเป็นรัฐหัวอนุรักษนิยมเป็นหลัก เพราะรัฐหัวสมัยใหม่แบบนิวยอร์คนั้นก็ไม่ได้มีปัญหากับฉากโป๊เปลือยหรือการดื่มเหล้าในหนังมาตั้งแต่ยุคแรกๆ ของการมีภาพยนตร์ เพียงแต่รัฐพวกนี้ในตอนนั้นถือเป็นส่วนน้อยมากๆ ของสังคมอเมริกันที่สมัยโน้นอนุรักษนิยมสุดๆ (ตอนนี้ก็ยังอนุรักษนิยม แต่สู้ตอนโน้นไม่ได้แน่ๆ)

ผลสุดท้ายของการเอาบรรดาผู้นำทางศาสนามาคุยกัน ก็เลยได้ข้อกำหนดประมาณ 10 กว่าข้อ พร้อมทั้งข้อพึงระวังอีก 20 กว่าข้อ ซึ่งนิตยสารอย่าง Variety ก็ได้ตีพิมพ์เพื่อเปิดเผยให้สังคมอเมริกันเห็นในปี 1930 ซึ่งถ้าจะสรุปแล้วก็คือ มันก็เอาข้อห้ามแบบสังคมอนุรักษนิยมมาเป็นข้อห้ามการทำหนังน่ะแหละ ห้ามฉากเซ็กส์ ห้ามเสพยา ห้ามล้อเลียนศาสนา รวมถึงห้ามมีฉากคู่รักคนขาวคนดำ และฉากรักร่วมเพศด้วย นอกจากนี้ ถ้ามีฉากใช้ปืนไปจนถึงการพยายามก่ออาชญากรรมต่างๆ ผู้ที่ทำก็ต้องได้รับการลงโทษในหนังด้วย และห้ามหนังทำให้คนดูเห็นใจคนพวกนี้เด็ดขาด

แน่นอนว่าข้อห้ามพวกนี้ก็ดูบ้าบอมากในมาตรฐานปัจจุบัน และจริงๆ ตอนแรกที่เผยแพร่ออกมาคนก็หัวเราะเยาะว่าไม่น่าจะมีใครปฏิบัติตามหรอก แต่สำหรับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำร้ายแรงในทศวรรษ 1930 ก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะทำหนังแล้วไปฉายบางรัฐไม่ได้ก็คือเจ๊ง ดังนั้นการเพลย์เซฟก็คือต้องทำตามข้อกำหนดของสมาคมที่ว่านี้เพื่อจะการันตีว่า หนังจะฉายได้ทั่วอเมริกาแน่นอน ซึ่งก็ต้องย้ำว่ามันไม่ใช่กฎหมายด้วยซ้ำ

หนังฮอลลีวูดตั้งแต่ทศวรรษ 1930 จนถึง 1950 ก็เลยปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้อย่างเคร่งครัด และถ้าไม่มีข้อกำหนดนี้ ฉากจบของหนังคลาสสิกหลายๆ เรื่องก็อาจไม่เป็นแบบที่เราเห็น (เช่น Casablanca นั้นพระเอกที่เป็นชู้ก็คงจะได้หนีไปกับนางเอกไปแล้ว)

แต่แล้วทศวรรษที่ 1960 จุดจบของ Hays Code ก็เริ่มขึ้น ภาพยนตร์เรื่องต่างๆ เริ่มไม่ทำตามข้อกำหนด บางเรื่องก็ลักไก่ บางเรื่องก็ขอเป็นข้อยกเว้นจริงจังเลย

คำถามคือ ทำไม?

คำตอบเร็วๆ คือ อุตสาหกรรมภาพยนตร์อเมริกันยุคนั้นโดนแรงกดดันจากสองด้าน ด้านแรกคือการขยายตัวของอุตสาหกรรมทีวีอเมริกันเอง อีกด้านคือการเข้ามาของภาพยนตร์ต่างประเทศที่ไม่มีข้อห้ามใดๆ ในการผลิต

การแพร่หลายของทีวีในระดับที่เป็นของมันต้องมีในทุกครัวเรือนชนชั้นกลางในยุค 1950 ทำให้คนจำนวนมากไม่ไปดูหนัง ถ้ามันไม่มีอะไรต่างจากทีวี ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่านี่เป็นยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่คนอยู่บ้านก็มีภาพเคลื่อนไหวให้ดูกัน ต่างจากยุคก่อนหน้าที่ต้องไปดูในโรงเท่านั้น

หรือพูดง่ายๆ หนังในโรงต้องมีอะไรที่มันไม่มีให้ดูในทีวีมันถึงจะขายได้ คนถึงจะยอมเสียเงินไปดู

อีกด้าน สิ่งที่ไม่มีให้ดูในทีวีนั้นก็ได้รับการตอบสนองจากหนังต่างประเทศจากฝั่งยุโรป ที่มีฉากทั้งโป๊เปลือย รุนแรง และมียาเสพติดครบ (แน่นอนมีฉากรักร่วมเพศเช่นกัน) และตรงนี้ก็เข้าใจว่า หนังพวกนี้เข้าโรงได้แน่นอนในพวกรัฐที่หัวเสรีๆ หน่อย เพราะอย่างที่บอก Hays Code มันไม่ใช่กฎหมาย แต่เป็นข้อห้ามของทางอุตสาหกรรมภาพยตร์อเมริกันตั้งมาห้ามกันเองเท่านั้น

ซึ่งเงินก็อยู่ในรัฐที่หัวเสรีๆ และเมืองใหญ่ๆ ในอเมริกายุคนั้นก็เป็นพวกหัวเสรีทั้งนั้น และภาพยนตร์อเมริกันก็สู้พวกภาพยนตร์ยุโรปไม่ได้เลยในตลาดพวกนี้

ทางสตูดิโอก็เลยเริ่มสู้กลับ เริ่มลักไก่ไม่ทำตามข้อกำหนดบางข้อบ้าง บางทีก็ไปต่อรองให้ทางสมาคมหยวนๆ หรือประกาศข้อยกเว้นมาชัดๆ เลย

สุดท้าย บรรยากาศภาพยนตร์อเมริกันยุคทศวรรษ 1960 ก็เสรีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน และคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากถึงเรื่องการปฏิวัติทางเพศของวัยรุ่นยุคนี้

นอกจากนี้ ในทางกฎหมายมีการแก้รัฐธรรมนูญให้ยุติกฎหมายแบ่งแยกเชื้อชาติทั้งอเมริกา ดังนั้นพวกข้อห้ามคนต่างเชื้อชาติแต่งงานกันที่เป็นกฎหมายในบางรัฐก็ต้องยกเลิก และข้อกำหนดใน Hays Code ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่จะไม่ยกเลิกตาม

ในที่สุดปลายทศวรรษ 1960 Hays Code ก็เป็นเพียงแค่ระเบียบของพวกคนแก่คลั่งศาสนาในอดีตที่ตกยุคไปแล้ว และก็ไม่มีใครปฏิบัติตาม ซึ่งผลที่ตามมาก็คือ เกิดระบบเรตติ้งที่ใช้มาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 1968 จนถึงทุกวันนี้ เพราะสุดท้ายถึงผู้ใหญ่จะดูหนังอะไรก็ได้ แต่เด็กๆ ก็ต้องได้รับการปกป้องจากความรุนแรงอยู่ดี และระบบเรตติ้งมันเลยเป็นคำตอบที่ดีกว่าในการรักษาความอิสระของการทำหนังเอาไว้

ทั้งนี้ แม้ว่าอเมริกาจะเลิกใช้ Hays Code มากว่าครึ่งศตวรรษแล้ว แต่การต่อสู้ก็ยังมีอยู่ เช่น ข้อห้ามใน Hays Code ไม่มีแล้วในยุคทศวรรษ 1990 แต่การแสดงตัวละครคู่รักต่างเชื้อชาติหรือกระทั่งคู่รักเพศเดียวกันก็ยังไม่ค่อยปรากฏในสื่อ ซึ่งเอาจริงๆ ก็ต้องรอจน Netflix ออกทุนทำหนังและซีรีส์นี่แหละ ตัวละครพวกนี้ถึงออกมาเยอะไปหมด จนบางทีเราอาจจะรู้สึกว่ามันจะอะไรนักหนา

ซึ่งเราก็ต้องไม่ลืมว่า สังคมอย่างอเมริกันกดสิ่งเหล่านี้มายาวนานเหมือนกัน พอมันระเบิดออกมาที ก็เลยจะดูล้นๆหน่อย และอาจต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่กว่าความพอดีจะมาถึง

อ้างอิง