เสียงสุดท้ายก่อนตายของ ‘เด็กหญิงปลอบขวัญ’ เรียกร้องสังคมตระหนักปัญหาครอบครัว-ระบบการศึกษาล้มเหลว
การจบชีวิตของ ‘เด็กหญิงปลอบขวัญ’ ที่มาพร้อมกับแฮชแท็ก #รรชื่อดังย่านโคลี ในทวิตเตอร์ เป็นประเด็นเศร้าสะเทือนใจมาตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพราะนี่คือเรื่องราวของเด็กหญิงอายุ 14 ปี ที่พ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็ก ต้องไปอาศัยอยู่กับญาติ แต่ก็มีข้อมูลว่าถูกญาติลวนลาม เมื่อพยายามไปขอความช่วยเหลือจากพ่อ พ่อก็ปฏิเสธ ไปขอความช่วยเหลือจากแม่ก็ไม่ได้รับความใส่ใจ สุดท้ายเลือกพึ่งครูที่โรงเรียน แต่ระบบการศึกษาและเงื่อนไขของโรงเรียนได้บีบบังคับให้เด็กหญิงตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง และล่าสุด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนเผยว่า เพื่อนของเด็กหญิงที่เผยแพร่แชทสนทนาครั้งสุดท้าย ถูกกดดันจากเจ้าหน้าที่และครูหลายคนที่สอบปากคำ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่ 13 พฤษภาคม 2565 หลังมีการพบร่างเด็กหญิงวัย 14 ปีเสียชีวิตในบ้านพักแห่งหนึ่ง ในอำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ก่อนที่จะมีการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมจนพบว่า เด็กหญิงคนดังกล่าวถูกพ่อทิ้งไปตั้งแต่เล็ก แม่ก็ไม่รับไปอยู่ด้วย เธอจึงต้องอยู่กับแม่เลี้ยงที่ดูแลมาตั้งแต่เด็ก ที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จนกระทั่งแม่เลี้ยงประสบเหตุจนพิการ จึงถูกส่งไปอยู่กับน้าที่จังหวัดพัทลุง แต่ถูกน้าลวนลามทำร้ายร่างกาย และถูกไล่ออกจากบ้าน
เด็กหญิงพยายามเรียกร้องความรับผิดชอบจากพ่อและแม่ ใช้เวลา 2 เดือนจึงติดต่อพ่อได้ แต่ได้รับเพียงความเมินเฉยเงียบงันกลับมา ส่วนผู้เป็นแม่ที่ติดพนัน เด็กหญิงพยายามขอให้แม่เลิก แต่สุดท้ายแม่ก็ส่งข้อความบอกให้ลูกสาวลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่สามารถหาเงินกู้ได้ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวมีผู้นำมาโพสต์ในเว็บไซต์พันทิปดอทคอม และตั้งคำถามเพิ่มเติมว่า กฎหมายสามารถเอาผิดกับพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกได้หรือไม่?
หลังจากนั้น ในโลกโซเชียลมีการเปิดเผยแชทไลน์ที่เด็กหญิงปลอบขวัญคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนก่อนจบชีวิตตัวเอง โดยระบุว่า การตัดสินใจของเธอในครั้งนี้ “จะทำให้ครอบครัวเกิดความตระหนักได้”
เมื่อบ้านไม่ใช่ที่พึ่งสุดท้าย โรงเรียนก็ผลักไสเด็กจากระบบ
นอกจากคำพูดทิ้งท้ายพาดพิงครอบครัวแล้ว ยังมีข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่าฟางเส้นสุดท้ายจริงๆ เกิดขึ้นหลังจากเด็กหญิงปลอบขวัญคุยกับครูที่ปรึกษาของโรงเรียน อ้างอิงข้อมูลจากแคมเปญรณรงในเว็บไซต์ change.org ที่เรียกร้องว่า ทุกโรงเรียนต้องมีนักจิตวิทยา–ครูต้องเรียนรู้สิทธิเด็ก ป้องกันไม่ให้กรณี #รรชื่อดังย่านโคลี เกิดซ้ำ โดยผู้ทำแคมเปญนี้ระบุว่า เป็นรุ่นพี่ของเด็กหญิงปลอบขวัญที่โรงเรียนดังกล่าว และเคยพูดคุยกับน้องซึ่งเป็นทั้งคนขยันและสดใสน่ารัก
ผู้ทำแคมเปญบอกว่า วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 โรงเรียนสตรีพัทลุงเปิดเรียนเฉพาะชั้น ม.1 ม.2 และ ม.4 วันนั้นน้องที่อยู่สงขลาจะต้องเตรียมตัวกลับมาพัทลุง แต่ติดขบวนเสด็จ ไม่มีใครไปส่งที่สถานีขนส่งได้เลย วันต่อมาครูก็โทรมาถามว่าทำไมถึงไม่มาโรงเรียน น้องบอกเหตุผลไป และเล่าให้ครูฟังว่าเครียดและเหนื่อยจากปัญหาที่บ้าน บอกครูว่ามีเงินติดตัวแค่ 200 บาท แต่ครูพูดกับน้องว่าถ้าไม่มีเงินย้ายไปเรียนที่อื่นดีไหม
“น้องบอกเพื่อนว่ารู้สึกมืดแปดด้าน อยากย้ายไปอยู่โรงเรียนอื่น อยากฆ่าตัวตาย จากนั้นได้ขาดการติดต่อกับเพื่อน จนเป็นข่าวฆ่าตัวตาย ต่อมาเพื่อนของน้องได้โทรศัพท์ไปหาครูถึงเรื่องนี้และบันทึกเสียงไว้ ส่วนหนึ่งจากคลิปเสียงครูพูดว่า ‘ปลอบขวัญจะอยู่ได้อย่างไรถ้ามีเงินแค่ 200 บาท แล้วไม่มีผู้ปกครอง ขณะที่เราโทรหาพ่อแม่เขาเนี่ยไม่ได้เลย ตอบครูมาสิว่าครูต้องทำยังไง’…
“น้องมีเรื่องให้เครียดอยู่แล้ว ต้องการคำแนะนำและแนวทางแก้ไข ครูควรที่จะเข้าใจและช่วยเหลือเด็ก จริงๆ แล้ว ถ้าเด็กไม่มีเงินเรียนต่อ โรงเรียนมีระเบียบให้ขอให้ยกเว้นเงินบำรุงการศึกษาได้ ตัวเราเองเป็นเด็กกิจกรรมและทำเรื่องยกเว้นเงินบำรุงการศึกษามา 1-2 ปีแล้วเหมือนกันก่อนจะเรียนจบ เราสงสัยว่าคุณครูท่านนี้เสนอแนวทางนี้ให้ปลอบขวัญหรือไม่?”
นอกจากนี้ หลังกรณีการตายของเด็กหญิงปลอบขวัญ ยังมีเพื่อนนักเรียนเปิดเผยแชทที่เคยคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียน เพื่อร้องเรียนเรื่องครูคนหนึ่งที่สอนภาษาอังกฤษใช้คำพูดรุนแรง บอกเด็กว่าถ้าอ่านไม่ออกก็ไปตายซะ และเด็กบางคนถูกครูด่าจนร้องไห้ แต่กลับแก้ตัวว่าพูดทีเล่นทีจริง สร้างความกดดันเพื่อให้นักเรียนฮึดสู้
“โลกใบนี้มีความโหดร้ายและรุนแรงมากอยู่แล้ว อย่างน้อยเราขอให้โรงเรียนเป็นสักที่หนึ่งที่เป็นเซฟโซนให้เด็ก ขอทุกคนมาร่วมลงชื่อกันค่ะ” รุ่นพี่น้องปลอบขวัญระบุ
ผอ. ยืนยัน ทางโรงเรียน ‘ทำดีที่สุดแล้ว’
ส่วนโรงเรียนสตรีพัทลุงได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม โดย มาลี แก้วละเอียด ผู้อำนวยการโรงเรียนยืนยันว่า โรงเรียนรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ระบบการดูแลนักเรียนของทางโรงเรียนก็ทำดีที่สุดแล้ว
จากมุมของโรงเรียนชี้แจงว่า เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม นักเรียนรายนี้ไม่ได้มาโรงเรียน หลังจากที่ติดต่อสื่อสารกับเด็กก็พบว่าเด็กไม่มีที่พักและไม่มีผู้ดูแล ครูผู้ดูแลเด็กจึงนำเรื่องนี้แจ้งให้หัวหน้างานการดูแลเด็กนักเรียน ชื่อว่า ‘จรรยา’ ให้รับทราบและเร่งแก้ปัญหาให้นักเรียนคนดังกล่าว โดยได้เสนอแนวทางเลือกไป 2 ทาง (1) พอที่จะสามารถศึกษาต่อในโรงเรียนใกล้บ้านได้หรือไม่ เพราะสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย (2) หากจะมาเรียนที่จังหวัดพัทลุง จะต้องไปพักอาศัยในบ้านพักเด็กโคกชะงาย อำเภอเมืองพัทลุง ซึ่งมีรถรับส่งไป–กลับ และมีอาหารกินฟรี แต่ผู้เป็นแม่จะต้องมาเซ็นชื่อยินยอมในวันที่ 17 พฤษภาคม 2565 แต่ต่อมาในวันที่ 13 พฤษภาคม ก็ทราบว่าเด็กเสียชีวิตเสียแล้ว ซึ่งทางคณะผู้บริหาร คณะครู ก็ได้เข้าร่วมในงานศพดังกล่าว และมอบเงินสวัสดิการให้ครอบครัวจำนวนหนึ่ง
“การที่เด็กนำเรื่องไปพูดคุยกับเพื่อนนั้นอาจจะเป็นการแปลเจตนาของครูที่ผิดพลาดไปก็ได้ ในส่วนของที่มีข่าวในโซเซียลระบุว่าเด็กคนนี้ไม่ได้รับทุนการศึกษานั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เนื่องจากเขาได้รับทุนมาทุกๆ ปี”ผอ.โรงเรียนสตรีพัทลุงบอกกับสื่อมวลชน
“การที่พูดกันว่าไม่มีเงินแล้วมาเรียนในโรงเรียนนี้ไม่ได้ ไม่เป็นความจริงและเป็นไปไม่ได้ นักเรียนคนไหนจะขอลดค่าบำรุงการศึกษา หรือจะขอยกเว้นการจ่ายค่าบำรุงการศึกษาก็ขอให้ยื่นคำร้องได้ โดยในแต่ละเทอมจะมีนักเรียนได้รับการยกเว้นการจ่ายค่าบำรุงฯ เกือบ 100 คน
“ขณะนี้ทางโรงเรียนได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว และตนจะเน้นย้ำให้ครูได้ระมัดระวังในการสื่อสารกับนักเรียน เนื่องจากนักเรียนแต่ละคนอาจจะมีปัญหาสลับซับซ้อนไม่เหมือนกัน ซึ่งอาจจะส่งผลให้การสื่อสารระหว่างครูกับนักเรียนผิดพลาดขึ้นได้”
ปัญหาระดับโครงสร้าง ต้องฟังความรอบด้าน
จากกรณีที่เกิดขึ้น วรา จันทร์มณี เลขาธิการเครือข่ายประชาชนพิทักษ์สิทธิเสรีภาพและความเป็นธรรม ที่ติดตามประเด็นนี้ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวในที่ 20 พฤษภาคม 2565 ระบุว่า “เห็นใจครู” แต่คิดว่าต้องฟังความรอบด้าน และควรให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อย่าสอบสวนแบบรวบรัดตัดตอน และก่อนหน้านี้เขาระบุว่า เพื่อนของเด็กหญิงปลอบขวัญที่นำบทสนทนาในแชทมาเปิดเผยถูกครูและเจ้าหน้าที่รัฐสอบปากคำเช่นกัน
“เรื่องนี้ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะในโรงเรียนสตรีพัทลุง แต่เป็นปัญหาระดับโครงสร้างที่สังคมควรมีส่วนร่วมผลักดันให้นำไปสู่การหาทางออก จะต้องไม่มีเด็กตายแบบน้องปลอบขวัญอีก อย่างไรเสียผมคิดว่าพฤติกรรมที่โรงเรียนสตรีพัทลุง และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดพัทลุงทำ เป็นการรวบรัดตัดตอน และไม่เป็นธรรมกับเด็กๆ ทั้งน้องปลอบขวัญและเพื่อน รวมถึงเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียนที่ต้องตกอยู่ภายใต้การบริหารงานมาตรฐานแบบนี้ เราไม่ควรปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป อย่างน้อยก็มีเพื่อนของน้องปลอบขวัญอีกคน ที่ต้องได้รับการปกป้อง”
จากกรณีนี้มีคำถามที่สังคมโซเชียลสงสัยกันมากคือ สามารถเอาผิดพ่อแม่ที่ทอดทิ้งลูกได้หรือไม่ พบว่าที่จริงแล้วมีระบุอยู่ในกฎหมายมาตรา 306 “ผู้ใดทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกินเก้าปีไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” นี่เป็นอีกปมปัญหาหนึ่งที่อยู่ในข้อกฎหมาย เพราะข้อเท็จจริงที่พบคือ เด็กอายุยังไม่ถึง 15 ปี ยังต้องการผู้อุปการะ เพราะไม่สามารถทำงานช่วยเหลือตนเองได้
ปัญหาของเด็กหญิงปลอบขวัญจึงมีข้อเท็จจริงหลากหลายมุม และก็ทับซ้อนกันหลายเรื่อง ทั้งปัญหาครอบครัว การคุกคามทางเพศที่ผู้ถูกกล่าวหาว่าก่อเหตุยังไม่ถูกสอบสวนหรือดำเนินคดี ปัญหาการรับมือของโรงเรียน สังคมจึงตั้งคำถามว่าทุกฝ่ายได้ดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเหมาะสมและทันท่วงที เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้น้องปลอบขวัญแล้วหรือยัง และยังมีเด็กอีกกี่คนที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีมาตรการใดเพื่อป้องกันกรณีอื่นๆ ในอนาคตแล้วหรือไม่
อ้างอิง
- Facebook. วรา จันทร์มณี. https://bit.ly/3yQzdye
- PPTV HD36. ผอ.ตั้งกรรมการสอบปม นร.หญิงฆ่าตัวตาย| โชว์ข่าวเช้านี้ | 16 พ.ค. 65. https://bit.ly/3PsIAdv
- Thai PBS News. จาก #รรชื่อดังย่านโคลี สู่ทางออก นร.ฆ่าตัวตาย. https://bit.ly/3G5P8tW