ก่อนหน้านี้เราอาจเคยได้ยินว่าการล่าช้างเพื่อเอางาคือสาเหตุหลักที่ทำให้จำนวนช้างแอฟริกาลดลงจนเกือบจะสูญพันธุ์กันมาแล้ว
แต่ถึงวันนี้ อาจต้องมีการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาเสียใหม่ เพราะดูเหมือนปัจจัยที่ทำให้ช้างถึงฆาตเป็นจำนวนมากอาจเปลี่ยนเป็น ‘วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ’ ขึ้นมายืนหนึ่งแทน
ตามคำบอกเล่าของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานอนุรักษ์สัตว์ป่าของเคนยา เพิ่งเผยความจริงอันน่าเศร้าในปี 2021 ที่ผ่านมาว่า มีช้างนอนผึ่งแดดแห้งกรังเพราะอดอยากและขาดน้ำตาย สูงถึง 179 ตัว
ในขณะที่ข้อมูลการลักลอบล่าช้างเอางา มีบันทึกเหตุการณ์ไม่ถึง 10 ตัว
เรื่องนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากวิกฤตภัยแล้งที่เคนยา และอีกหลายๆ ประเทศในภูมิภาคจะงอยแอฟริกา (แอฟริกาตะวันออก) กำลังเผชิญ แถมเป็นภัยแล้งขั้นรุนแรงที่กินเวลามาเป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน
ตามการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีส่วนทำให้ปัญหาภัยแล้งในเคนยามีสภาพเลวร้ายมากกว่าที่ควรจะเป็น
ในสภาพสังคม มีผู้คนราว 4 ล้านคน ประสบภาวะความไม่มั่นคงทางอาหาร เด็กๆ ป่วยจากภาวะทุพโภชนาการมากถึง 900,000 คน วัว แพะ แกะ ที่เลี้ยงไว้ขายล้มตายจนรายได้ครัวเรือนขาดหาย กลายเป็นคนหมดตัวได้เพียงข้ามวัน (การเลี้ยงสัตว์ไว้ขายคือรายได้หลักในช่วงฤดูแล้ง)
และแม้แต่สัตว์ป่าเองก็หลบไม่พ้นบ่วงกรรมอันโหดร้ายนี้
ตามปกติ เมื่อถึงฤดูแล้ง สัตว์ป่าในพื้นที่อนุรักษ์ต่างๆ ของเคนยามักอพยพไปยังอุทยานแห่งชาติซาโว ที่ซึ่งยังมีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์ ต้นไม้ใบหญ้ายังเขียวขจี แต่ดูเหมือนในปีนี้อุทยานดังกล่าวเองก็ประสบปัญหาภัยแล้งไม่ต่างจากพื้นที่อื่นๆ บรรดาช้างที่อพยพไปตามหาความหวังจึงล้มตายมากถึง 179 ตัว ไปอย่างอดสู
เพื่อความอยู่รอด ช้างต้องการพื้นที่กว้างใหญ่ในการหาอาหาร ช้างสามารถกินอาหาร 300 ปอนด์และน้ำมากกว่า 50 แกลลอนต่อวัน แต่เมื่อแม่น้ำ ดิน และทุ่งหญ้าแห้งแล้ง ย่อมส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งและเป็นอันตรายถึงชีวิต
ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นาจิบ บาลาลา (Najib Balala) รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและสัตว์ป่าของเคนยา ออกมายอมรับว่าสะเพร่าที่ไม่ได้ประเมินความเสี่ยงในเรื่องนี้ไว้มากนัก
เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเคนยาพยายามเอาจริงเอาจังอย่างมากในการแก้ไขปัญหาเรื่องการลักลอบล่าสัตวป่าเป็นหลักซึ่งมีผลสัมฤทธิ์ที่จับต้องได้
จากที่เมื่อก่อน อัตราการล่าช้างในเคนยาอยู่ที่หลักร้อยตัวต่อปี ในช่วงปี 2008-2014 มากสุดคือปี 2012 ที่มีช้างถูกล่าปีเดียวสูงเกิน 300 ตัว แต่หลังจากนั้นความพยายามในการอนุรักษ์ก็เริ่มจริงจังมากขึ้น เข้มข้นมากขึ้น และการบังคับใช้กฎหมายที่ค่อยๆ เพิ่มโทษให้หนักขึ้นเรื่อยๆ จนจำนวนการล่าค่อยๆ ลดลง จนเหลือเพียงหลักสิบในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
มิหนำซ้ำ จำนวนช้างยังเพิ่มขึ้น ตามรายงานเมื่อปลายปีที่แล้ว เคนยามีช้าง 36,169 ตัว ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา
แต่ก็มาพลาดท่าต้องลบออก 179 ตัว
ที่ต้องบอกว่าพลาด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีช้างจำนวนมากตายเพราะภัยแล้ง
ก่อนหน้านี้ในปี 2019 วงการอนุรักษ์สัตว์ป่าในแอฟริกามีบทเรียนมาแล้วจากการตายของช้างในประเทศซิมบับเว คราวนั้นมีชีวิตคชสารต้องจากไปมากถึง 200 ตัว (ภายหลังได้มีการอพยพช้างครั้งใหญ่ 600 ตัว ไปอยู่ในป่าสมบูรณ์ ซึ่งใช้เงินและงบประมาณมหาศาลทีเดียว)
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา และกำลังสืบเนื่องมาจนถึงนาทีนี้ นอกจากช้างแล้วยังมียีราฟ และสัตว์กินพืชอีกหลายชนิดที่อดตายเหลือแต่ซากแห้งเหี่ยว (ยังไม่มีรายงานตัวเลขของสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ ที่แน่ชัด)
การตายของสัตว์ป่าจำนวนมากในเคนยา ถือเป็นวาระสำคัญอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเคนยาลงทุนกับเรื่องนี้ไปมาก โดยมีผลตอบแทนที่เกิดจากการท่องเที่ยว ที่มีนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมชมสัตว์ปีละประมาณ 3 ล้านคน (ก่อนโควิด-19 ระบาด)
โดยตัวเลขทางเศรษฐกิจของธุรกิจท่องเที่ยวเยี่ยมชมสัตว์ป่าในเคนยาเติบโตขึ้น 68 เปอร์เซ็นต์ นับจากปี 1977-2016 ซึ่งเป็นช่วงที่จำนวนสัตว์ป่าของประเทศลดลง
หรือกล่าวคือ ถ้ามีสัตว์ป่ามาก การท่องเที่ยวก็ยิ่งเฟื่องฟู เศรษฐกิจท้องถิ่นไปจนถึงระดับประเทศก็จะดีงามไปด้วย
ตอนนี้ทางการของประเทศพยายามหาน้ำและพืชอาหารสัตว์เข้ามาเสริม นอกเหนือจากแหล่งอาหารตามธรรมชาติ (ที่ยังเหลืออยู่) รวมถึงการช่วยเหลืออาหารให้กับคนเลี้ยงสัตว์
แต่การแก้ปัญหาคราวนี้ก็ยังมีอุปสรรคอีกอย่างขวางกั้นเพราะราคาพืชอาหารสัตว์มีราคาแพงขึ้นเพราะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
นับว่าคราวนี้ถือเป็นวิกฤตหนักสำหรับสัตว์ป่าในประเทศเคนยาจริงๆ
อ้างอิง
- Washington Post. Climate change is killing more elephants than poaching, Kenyan officials say. https://wapo.st/3zoh9Kt
- Bloomberg. Elephant, Giraffe Populations Rebound as Kenya Fights Poachers, https://bloom.bg/3SyM3Ze
- Wio News. Climate change has killed more elephants than poachers: Kenyan government, https://bit.ly/3OYWjqQ