ธารน้ำแข็งบนยอดเขาเอเวอเรสต์ที่ใช้เวลา 2,000 ปีในการก่อตัว แต่กลับละลายในเวลาเพียง 25 ปี

2 Min
416 Views
14 Mar 2022

วิกฤตโลกร้อนกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของโลกและเป็นเรื่องใกล้ตัวของเรามากขึ้นไปทุกที สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปก็นับว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อโลกของเราโดยตรง

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราน่าจะได้ยินเรื่องของปัญหาน้ำแข็งขั้วโลกละลายกันมาอย่างต่อเนื่อง เพราะอุณหภูมิของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี จึงทำให้น้ำแข็งขั้วโลกเกิดการละลายอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่แค่เพียงน้ำแข็งขั้วโลกเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อนนี้ เพราะล่าสุดมีผลการวิจัยที่ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นก็ทำให้ ‘ธารน้ำแข็งบนยอดเขาเอเวอเรสต์’ ธารน้ำแข็งที่สูงที่สุดในโลก กำลังละลายอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน

โดยงานวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยเมน (University of Maine) สหรัฐอเมริกา ระบุว่าธารน้ำแข็งบนยอดเขาที่สูงสุดในโลกกำลังละลายอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้สภาพอากาศเลวร้ายลง หิมะถล่มบ่อยขึ้น และแหล่งน้ำเกิดความแห้งแล้ง ซึ่งการละลายของธารน้ำแข็งนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้คนราว 1.6 พันล้านคนที่อยู่บริเวณเทือกเขาด้วย เนื่องจากการจัดหาน้ำสำหรับใช้เพื่อการบริโภคและการชลประทานอาจมีความยากลำบากมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทีมนักวิจัยได้ไปเยือนธารน้ำแข็งนี้ตั้งแต่ในปี 2019 และสกัดตัวอย่างแกนน้ำแข็ง พร้อมทั้งติดตั้งสถานีตรวจวัดสภาพภูมิอากาศอัตโนมัติที่สูงที่สุดในโลก 2 สถานีเพื่อรวบรวมข้อมูล จนได้มาซึ่งคำตอบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ ไม่เพียงส่งผลไปถึงพื้นที่บริเวณสูงสุดในโลกเท่านั้น แต่ยังทำลายสมดุลธรรมชาติจากการมีอยู่ของชั้นหิมะด้วย

นอกจากนี้งานวิจัยยังระบุเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ธารน้ำแข็งที่บนยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือที่เรียกว่า ธารน้ำแข็งเซาท์คอล (South Col Glacier) ที่ใช้เวลานานถึงประมาณ 2,000 ปีในการก่อตัว แต่กลับละลายไปแล้วมากกว่า 55 เมตร ในระยะเวลาเพียง 25 ปีเท่านั้น นั่นหมายความว่าธารน้ำแข็งบางลงเร็วกว่าที่ก่อตัวมากถึง 80 เท่าเลยทีเดียว

การละลายอย่างรวดเร็วของธารน้ำแข็งภายในระยะเพียงไม่กี่ปี ทำให้ธารน้ำแข็งต้องสูญเสียชั้นหิมะสีขาวไป และไม่สามารถสะท้อนสะท้อนรังสีจากดวงอาทิตย์ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ ธารน้ำแข็งจะมีอัตราการละลายที่เร็วขึ้นด้วย เนื่องจากการได้รับรังสีจากดวงอาทิตย์อย่างรุนแรง ธารน้ำแข็งนี้จึงมีแนวโน้มที่จะละลายเร็วได้มากขึ้นอีก 20 เท่า ซึ่งประกอบกับปัจจัยของระดับความชื้นสัมพัทธ์ที่ลดลงและลมที่แรงขึ้นด้วย

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจนทำให้ธารน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็วครั้งนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าเราควรเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญกับวิกฤตโลกร้อนกันให้มากขึ้น เพราะไม่เช่นนั้น ผลกระทบอื่นๆ ที่ตามมาก็อาจจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดหิมะถล่มซึ่งเป็นอันตรายต่อบรรดานักปีนเขาแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อประชาชนในทวีปเอเชียนับพันล้านคนที่ต้องใช้แหล่งน้ำจืดซึ่งมาจากธารน้ำแข็งบนยอดเอเวอเรสต์นี้ด้วย

อ้างอิง