ไมล์ส เทลเลอร์ จากไอ้หนูสู้ครูดนตรี ถึงวันที่สยายปีกเป็นนักบินใน Top Gun: Maverick (2022)
“ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่เคยมีใครมาบอกผมเลยนะว่านายดูเหมือน แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ หรือเหมือน เม็ก ไรอัน แม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนที่ผมไปเทสต์หน้ากล้องครั้งแรกพร้อมกับกัดสีผมให้อ่อนลง ไว้หนวด ทำผิวแทนพร้อมสวมชุดนักบิน ทอม ครูซ เดินมาบอกผมว่า พระเจ้าช่วย หนังนี่ต้องออกมาสุดยอดแน่ๆ!”
ไมล์ส เทลเลอร์ เล่าถึงนาทีที่เขารู้ตัวว่าจะได้รับบทเป็น แบรดลีย์ ‘รูสเตอร์’ แบรดชอว์ ในหนังฟอร์มยักษ์ทุนสร้าง 170 ล้านเหรียญสหรัฐ Top Gun: Maverick (2022) กำกับโดย โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) เป็นหนังภาคต่อที่ห่างจากภาคแรกอย่าง Top Gun (1986) กว่า 3 ทศวรรษ จับจ้องไปยังช่วงชีวิตของ ปีเตอร์ ‘มาเวอริค’ มิตเชลล์ (ทอม ครูซ) นักบินขับไล่ที่ยังฝังใจจากการเสียชีวิตของ นิค ‘กูส’ แบรดชอว์ (แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์) เพื่อนสนิทที่จากไประหว่างซ้อมบินกับเขา ทิ้งไว้แค่ แครอล (เม็ก ไรอัน) เมียรัก และแบรดลีย์ ลูกชายที่เติบโตมาเป็นนักบินเช่นเดียวกันกับกูส มิหนำซ้ำยังต้องมาเข้าเรียนเพื่อปฏิบัติภารกิจโดยมีมาเวอริคเป็นผู้ฝึกสอน นำไปสู่การสำรวจอดีตอันชวนบาดหมางและการสางปมในใจของคนทั้งสองรุ่น
และนักแสดงที่มารับบทเป็นแบรดลีย์คือ ไมล์ส เทลเลอร์ (Miles Teller) ผู้แปลงโฉมจนมีเค้าหน้าใกล้เคียงกันกับเอ็ดเวิร์ดส์และไรอันจนชวนสะดุดตา ก่อนหน้านี้ เราอาจจะคุ้นหน้าคุ้นตาเขาจากบท แอนดรูว์ มือกลองหนุ่มที่ไปเจอเข้ากับครูบ้าพลังที่มุ่งมั่นจะเค้นเอาความสามารถของเขาออกมาให้ได้ถึงขีดสุด โดยไม่สนว่าสภาพร่างกายและจิตใจของลูกศิษย์จะพินาศแค่ไหนใน Whiplash (2014) หนังแจ้งเกิดของ เดเมียน ชาเซลล์ (Damien Chazelle) เวลานั้นเทลเลอร์อายุได้ 27 ปี และยังไม่เป็นที่จดจำในหมู่คนดูหนังชาวอเมริกันมากนัก แม้จะแจ้งเกิดในหนังยาวเรื่องแรกได้อย่างน่าจับตาด้วยการรับบทในหนังดราม่าชวนสติแตกของคู่ผัวเมียที่ต้องรับมือกับการสูญเสียสมาชิกในบ้านไป จาก Rabbit Hole (2010) ก็ตาม
(ภาพ เทลเลอร์จาก Whiplash)
“ผมซ้อมตีกลองจนมือเป็นแผลพุพองเลย ซึ่งตลกมากเพราะตอนที่อ่านสคริปต์ครั้งแรก มันมีส่วนบรรยายที่บอกว่า แล้วเลือดก็กระเซ็นไปโดนฉาบ” เทลเลอร์เล่า
“บางครั้งเวลาผมไปกองถ่าย ผมจะมองไปที่ไม้กลองแล้วเห็นเลยว่ามันมีเลือดกรังอยู่ แล้วผมจะพูดว่า นี่เดเมียน ผมว่านี่มันเยอะไปนิดนะ เอาออกเถอะ เลือดมันเยอะเกินไป แล้วเขาก็จะบอกว่า ไม่ล่ะพวก ตอนผมหัดเล่นกลอง ไม้กลองผมทุกชิ้นนี่มีแต่เลือดล้วนๆ นี่ล่ะของจริง
“จนเวลาต่อมาที่ผมซ้อมหนักขึ้นเรื่อยๆ แผลพุพองที่มือผมก็แตกจนได้เลือด ผมต้องเอาผ้าพันแผลมาพันไว้ มันเป็นธรรมชาติของการถ่ายหนังแบบนี้เลยล่ะที่เรามีเวลาถ่ายทำฉากตีกลองที่บ้าพลังมากๆ แค่ 19 วันเท่านั้น เหงื่อที่เห็นในหนังนี่ของจริงทั้งนั้นนะครับ ซึ่งดีแท้ๆ เพราะคุณไม่ต้องแสดงว่าเหนื่อยตอนที่คุณเหนื่อยใจจะขาดอยู่จริงๆ”
เทลเลอร์เริ่มสนใจงานแสดงตั้งแต่ชั้นมัธยม (ด้วยเหตุผลซื่อๆ ว่า ครูสอนการแสดงเซ็กซี่มาก “ผมคิดในใจว่า เอาวะ จะลองแสดงดูหน่อยซิ แบบนั้นเลย” เขาบอก) และปรากฏตัวในหนังสั้นอีกหลายเรื่องก่อนจะได้มาแสดงใน Rabbit Hole ตามด้วยการรับบทนำในหนังโรแมนติก-ดราม่า The Spectacular Now (2013)
นี่เองที่เป็นจุดส่งให้เขาอยู่ใน ‘แสงสี’ ครั้งแรกๆ และยังผลให้เทลเลอร์ถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องรูปร่างหน้าตา โดยเฉพาะเรื่องที่ว่าเขามีแผลเป็นฉกรรจ์อยู่ที่คาง แก้มซ้ายและลำคอ
“ผมเคยอ่านเจอเหมือนกัน ที่คนบอกว่า ไอ้หมอนี่หน้าตาน่าเกลียดชะมัดยาดเลยว่ะ แม่งได้เล่นหนังเรื่องนี้ได้ไงวะ หรือไม่ก็อาจจะอีกแบบคือพวกความเห็นแบบ ก็นะ เขาก็ไม่ได้ดูหล่อแบบมาตรฐานนิยมอะไร แต่นั่นแหละ อะไรทำนองนี้เยอะมาก” (The Guardian เขียนถึงเขาว่ามีหน้าตา ‘ชวนง่วง’ ขณะที่ Vulture บอกว่าเทลเลอร์นั้น ‘หน้าตาธรรมดาแถมยังดูไม่โตอีกต่างหาก’)
(ภาพประกอบ เทลเลอร์จาก Rabbit Hole)
เทลเลอร์ได้รับแผลเป็นที่ว่าจากอุบัติเหตุที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปสิ้นเชิงเมื่อปี 2007 เมื่อรถยนต์พุ่งเข้าประสานงาส่งร่างเขาลอยละลิ่วออกจากตัวรถเกือบ 30 ฟุต เป็นช่วงเวลาก่อนหน้าที่เขาจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์คไม่นาน
“ผมต้องทำศัลยกรรมเพียบเลย แบบเดียวกับที่พวกเขาทำตอนลบรอยสักออกจากผิวหนังคนเราน่ะ แล้วมันเจ็บโคตรๆ” เขาเล่า และอีกปีต่อมา เทลเลอร์ก็เสียเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตสองรายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ส่งผลสะเทือนต่อเขาอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
“ผมอยู่ในโรงพยาบาลตอนที่พวกเขาตัดสินใจดึงปลั๊กเครื่องช่วยหายใจของเพื่อน” เขาบอก
5 สัปดาห์ต่อมา เขาคว้าบทเด็กหนุ่มที่เป็นประจักษ์พยานคู่สองผัวเมียที่เพิ่งเสียสมาชิกในบ้านไปจาก Rabbit Hole -หนังเรื่องแรกในชีวิตของเทลเลอร์- ที่เขาใช้ห้วงความรู้สึกเข้มข้นขณะมองเพื่อนสนิทจากไปมาใช้แสดงเสียจนได้รับคำชมกราวใหญ่
ถัดจากนั้นคือการระเบิดฟอร์มร้อนจนเป็นที่ตราตรึงใน Whiplash กับสีหน้าเคียดแค้น เอาเป็นเอาตายของเด็กหนุ่มที่หมายชนะทั้งตัวเองและครู ปีเดียวกันนั้น เขายังปรากฏตัวในแฟรนไชส์หนังดิสโทเปีย Divergent (2014) ในบทศัตรูตัวฉกาจของตัวละครหลักในเรื่อง War Dogs (2016) พ่อค้าอาวุธสงครามที่ริจะขายอาวุธให้กองทัพอัฟกานิสถานจนทำชีวิตตัวเองลงเหวในพริบตา ตามด้วย Bleed for This (2016) ดัดแปลงจากชีวิตของ วินนี นักมวยที่ประสบอุบัติเหตุรถชนจนร่างกายขยับแทบไม่ได้ และด้วยความทะเยอทะยานระดับนรกแตก เขาหวนคืนสังเวียนด้วยการเข้าตารางฝึกซ้อมของโค้ชจอมเนี้ยบ (รับบทโดย อารอน แอ็คฮาร์ต ผู้เคยร่วมแสดงกับเทลเลอร์มาแล้วใน Rabbit Hole) ยังผลให้เทลเลอร์ต้องตะบี้ตะบันหัดชกมวยอยู่พักใหญ่
“ผมรู้มาตลอดแหละว่า การชกมวยคือการฝึกซ้อมที่หนักหนาที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา มันไม่มีกีฬาไหนเหมือนชกมวยเลย” เขาว่า
“ผมใช้เวลาออกกำลังกายกับคุมอาหารอยู่ 8 เดือน จนพอใกล้จะถึงเวลาถ่ายจริง ผมก็ต้องซ้อมชกวันละ 4 ชั่วโมง เล่นเวตวันละ 2 ชั่วโมง และอีก 2 ชั่วโมงฝึกสำเนียงให้เหมือนวินนีตัวจริง แถมยังมีการบำบัดร่างกายต่างๆ ด้วย เพราะผมทำตัวเองเจ็บไปไม่น้อยระหว่างที่ฝึกนี่น่ะ”
และนี่เองคือเรื่องราวก่อนหน้าการเดินทางมาถึงของ Top Gun: Maverick ที่เทลเลอร์ต้องรับบทเป็นชายหนุ่มผู้มีความหลังฝังใจกับครูฝึกที่เป็นเพื่อนของพ่อ และตัดสินใจเดินตามรอยพ่อผู้จากไปด้วยการเป็นนักบินขับไล่กับภารกิจเสี่ยงชีวิต
“หนังทั้งเรื่องนี่เราไม่ใช้ฉากเขียว (green screen – หมายถึงการใช้ฉากเขียวเป็นฉากหลังเพื่อง่ายต่อการตัดต่อ ใส่สิ่งต่างๆ เข้าไปภายหลัง) เลยนะครับ ทุกฉาก ทุกการแสดงสตันท์ เป็นเนื้องานของเราจริงๆ เหงื่อจริง และนี่แหละครับที่ทำให้กระบวนการถ่ายทำกินเวลาตั้งปีเต็มๆ นับเป็นหนังที่ถ่ายทำนานที่สุดเท่าที่ผมเคยแสดงมาเลย”
เทลเลอร์รวมทั้งนักแสดงนำในเรื่องต้องเข้าฝึกการอบรมอันแสนเข้มข้น 3 เดือนเต็ม เช่น การฝึกขับเครื่องบิน ไปจนถึงเข้าคอร์สกับกองทัพเรือที่จับพวกเขาดำดิ่งลงใต้น้ำเพื่อให้หัดดีดตัวออกจากเครื่องในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝันได้ทันท่วงที (ทั้งหมดเลยต้องกลั้นหายใจขณะที่ถูกโยนตีลังกาขึ้นลงนับครั้งไม่ถ้วน) แล้วจากนั้นจึงไปเข้ารับการอบรมกับ ทอม ครูซ นักแสดงที่มีประสบการณ์การบินเดี่ยวอันยาวนานเพื่อให้ชินกับพื้นที่เล็กแคบในตัวเครื่อง ตามมาด้วยการหัดใช้กล้องซึ่งติดตั้งไว้ในตัวเครื่องบินเพื่อจะได้บันทึกสีหน้าตัวเองขณะแสดง จากนั้นจึงถูกส่งไปฝึกบินผาดโผน
“พวกเราต้องฝึกให้ทนกับแรงจี (G-force – แรงที่กระทำต่อวัตถุที่หยุดนิ่งอยู่บนพื้นผิวโลก) เพราะหนังเกือบทั้งเรื่องถ่ายทำฉากบนอากาศเป็นสำคัญ” เทลเลอร์เล่า
“แล้วก็ต้องเรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากอุบัติเหตุบนเครื่องบินจากหน่วยของกองทัพเรือ อย่างคุณต้องรู้ให้ได้ว่าต้องทำอะไรก่อนหลังหากว่าถูกดีดออกจากเครื่องแล้วร่อนลงสู่มหาสมุทร เพราะงั้นกองทัพเรือเลยลากเราลงน้ำ จับเราพลิกคว่ำพลิกหงายเพื่อจะได้รู้ว่าเราทนได้ถึงประมาณไหน แล้วค่อยส่งเราไปเข้าโปรแกรม The Dunker ที่มีตัวเครื่องเหมือนเฮลิคอปเตอร์ดัดแปลงอยู่ใต้น้ำ จับเรานั่งในนั้นแล้วเอาสายรัดรัดตัวเราไว้ แล้วหมุนไอ้เจ้าตัวถังนี้ในแกลลอนขนาดยักษ์
“พวกเขาจะหาผ้ามาผูกตาเรา บางจังหวะจะให้เราโผล่พ้นน้ำขึ้นมาหายใจแล้วลากลงน้ำอีกครั้ง แล้วหมุนไอ้ตัวถังนั่นขณะที่เราต้องดิ้นรนทำตามขั้นตอนเพื่อหนีออกมาให้ได้ อย่างเยือกเย็นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยนะครับ”
แต่ที่เหนือชั้นมากๆ คือการที่นักแสดงทุกคนต้องกำกับตัวเองผ่านกล้องขณะแสดงฉากบินบนเครื่องบินจริงๆ (และนอกจากแสดงบท, กำกับภาพตัวเอง พวกเขายังต้อง ‘บิน’ เองด้วย!)
“ไม่มีใครเคยทำฟุตเตจแบบนี้มาก่อนหรอกครับ” เทลเลอร์บอก “ทอมเนี่ยฝึกพวกเราทุกคน รวมทั้งตัวเขาเองด้วย เพราะเขาเป็นคนที่พบว่าต้องถ่ายทำแต่ละฉากอย่างไรขณะบินอยู่บนเครื่องบินเจ็ต
“พูดตรงๆ นะครับ ทอมน่ะคือเครื่องจักรแท้ๆ เลย” เทลเลอร์ปิดท้าย
อย่างไรก็ตาม เทลเลอร์ยังคงร่วมงานกับผู้กำกับโคซินสกีอีกครั้งใน Spiderhead (2022) จนนับเป็นหนังลำดับที่ 3 ที่พวกเขาร่วมงานด้วยกันนับจาก Only the Brave (2017) และ Top Gun: Maverick โดยหนังเล่าเรื่องแพทย์ที่พยายามใช้ยาเพื่อระงับอารมณ์ ความรู้สึกของมนุษย์โดยทดลองผ่านนักโทษจนเกิดเป็นเหตุร้ายแรงขึ้นมา
เรื่อง: Man On Film
#FilmAnalysis #TOPGUNMaverick #BrandThinkCinema