2 Min

เมื่อเสียงความคิดในหัว ดังกว่าสิ่งที่ต้องทำ จนไม่เป็นอันทำอะไรสักที ภาวะนี้แก้ยังไงดี?

2 Min
16 Views
22 Oct 2025

เคยเป็นไหม เปิดคอมขึ้นมา ตั้งใจจะเคลียร์งานให้เสร็จ แต่กลับนั่งนิ่งอยู่ตั้งนาน… เพราะมัวแต่ตีกับตัวเองในหัว 

“ไม่มีเวลาแล้วนะ” 
“งานก็ไม่ได้ยาก ทำไมไม่เริ่มสักที” 
“จริงๆ ควรทำเสร็จตั้งแต่เมื่อวานแล้ว” 
“ถ้าเริ่มเร็วกว่านี้ ฉันคงทำออกมาได้ดีกว่านี้” 
“ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้เสมอ” 

เจ้าเสียงความคิดเหล่านี้ก็ไม่ต่างกับเสียงคลื่นวิทยุที่เปิดแข่งกันจนเราแยกอะไรไม่ออก สุดท้ายทำได้แค่หยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น 

หรือหลายคนอาจตีความว่า นี่อาจเป็นอาการของความขี้เกียจ? แต่ MOODY ว่าอาจไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว และเราไม่ได้ไม่มีความสามารถ แต่เรากำลังติดกับความย้อนแย้งของการ ‘รู้แต่ไม่ทำ’ อยู่ต่างหาก 

หมายความว่า สมองพยายามจะทำงาน แต่ขณะเดียวกันก็เหล่าความคิด คำวิจารณ์ และการตัดสินตัวเองอย่างไม่ปรานีจากความกลัว ความวิตกกันวลก็เข้ามาเล่นงาน ผลลัพธ์คือพลังงานถูกดูดออกไปจนหมด ซึ่งนักประสาทวิทยาอธิบายว่า เสียงบ่นคิดวนเหล่านี้เกิดจากการทำงานของ ‘Default Mode Network’ (DMN) หรือ เครือข่าวของสมองที่เปิดการทำงานเมื่อสมองของเราหันมาโฟกัสโลกภายในมากกว่าภายนอก ไม่ว่าจะเป็นการฝันกลางวัน การสะท้อนคิด หรือการประเมินตัวเอง ซึ่งโดยปกติแล้วเมื่อเราเปลี่ยนมาโฟกัสกับงานที่มีเป้าหมาย เสียงนี้จะค่อยๆ เงียบไปเอง 

แต่สำหรับบางคน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะกังวล ซึมเศร้า หรือสมาธิสั้น เสียงนั้นกลับยิ่งดังขึ้น จนยากจะเปลี่ยนจาก ‘ความคิด’ ไปสู่ ‘การลงมือทำ’ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่แค่การเลื่อนงาน แต่คือการติดอยู่ในการเล่าเรื่องไม่รู้จบ “ทำไมไม่เริ่มสักที” “ฉันผิดปกติหรือเปล่า” คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเบียดพื้นที่สมาธิ แต่ยังทำให้เราแบกความละอายและความกลัวไว้หนักขึ้นทุกที และยิ่งโทษตัวเองเท่าไร สมาธิก็ยิ่งพังทลายมากขึ้นเท่านั้น หลายคนจึงติดอยู่ในลูปเดิมๆ คือ 

“ฉันรู้ว่าต้องทำอะไร แต่ทำไมถึงไม่ทำสักที” 

โดยวิธีที่จะทำให้เสียงในหัวเบาลง ไม่ใช่การปิดมันไปเลย แต่คือการเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมันอย่างสมดุล โดยวิธีต่อไปนี้

1 – ตั้งชื่อให้เสียงนั้น: เพื่อสร้างระยะห่าง รู้ทันว่า “อ้อ นี่เสียงผู้วิจารณ์ในหัวอีกแล้ว” 

2 – เปลี่ยนสภาวะด้วยร่างกาย: เพื่อดึงเรากลับสู่ปัจจุบัน เช่น การหายใจลึกๆ การยืดเส้น หรือใช้น้ำเย็นล้างหน้า 

3 – เริ่มจากการทำจากขั้นตอนเล็กๆ: การลงมือทำสิ่งเล็กๆ ก็มีพลังมากกว่าที่คิด แม้เพียงแค่หนึ่งนาที ก็สามารถสร้างโมเมนตัมที่ทำให้สมองเงียบลงได้ เช่น หากต้องเขียนบทความ แต่ยังทำไม่ได้ เขียนไม่ออกสักตัว ลองทำอะไรที่เป็นฟังก์ชันที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการคิดซับซ้อนอย่าง การสร้างเอกสารขึ้นมา ใส่ข้อมูลที่กำหนดไว้แล้ว เป็นต้น 

4 – ฝึกเมตตาตัวเอง: การฝึกพูดกับตัวเองอย่างอ่อนโยนเหมือนที่เราจะพูดกับเพื่อนสนิทหรือเด็กเล็ก ก็ช่วยคืนพื้นที่ให้สมองกลับมาโฟกัสและสร้างสรรค์ได้อีกครั้ง 

5 – ให้รางวัลตัวเองเป็นระยะ: เมื่อใดก็ตามที่เรามีชัยชนะเล็กๆ อย่างการติ๊กเช็กลิสต์หนึ่งข้อหรือเขียนย่อหน้าเดียวจบ มันก็เพียงพอที่จะปล่อยสารโดพามีนและทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำต่อ

MOODY อยากย้ำว่า เป้าหมายของเราไม่ใช่การทำให้เสียงในสมองเงียบสนิท เพราะมันทำไม่ได้ เราควบคุมความคิดไม่ได้ แต่เราเลือกได้ว่าจะจัดการมันยังไง เลือกได้ว่าจะฟังให้ต่างออกไปยังไง รู้ว่าเมื่อใดการสะท้อนตัวเองเป็นประโยชน์ และเมื่อใดที่ควรปล่อยให้การกระทำดังยิ่งกว่าความคิด 

เมื่อเราฝึกที่จะฟังอย่างมีสติ สมองก็จะค่อยๆ ทำงานประสานกันมากขึ้น ความคิดและการกระทำจะเลิกเป็นคู่แข่ง และเริ่มทำงานร่วมกันเพื่อพาเราไปข้างหน้า

บางครั้ง ความท้าทายที่สุดไม่ใช่การ ‘คิดให้ออก’ แต่คือการ ‘เริ่มทำ’ และบางครั้ง การเริ่มจากสิ่งเล็กๆ นี่แหละ คือก้าวแรกที่สำคัญที่สุด

อ้างอิง: