คนเราหัดพูดภาษาจีนได้ใน 2 เดือนจริงไหม? ถอดรหัสความสำเร็จของ ‘ไอซ์ซึ’ กับบทบาทที่ภาษาคือหัวใจ ใน #สงครามส่งด่วน
หลังจากที่หลายๆ คนดูซีรีส์สุดฮิตประจำช่วงเวลานี้อย่าง ‘สงคราม ส่งด่วน (Mad Unicorn)’ กันไปแล้ว หนึ่งในความจริงที่น่าสนใจมากของซีรีส์เรื่องนี้คือการที่เราได้รู้ว่า ‘ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์’ ผู้มารับบทนำเป็นตัวละคร ‘สันติ’ มีเวลาฝึกภาษาจีนที่ต้องพูดในฉากเพียงแค่ 2 เดือนนิดๆ
ถ้าใครได้ดูจะรู้เลยว่าสัดส่วนบทภาษาจีนที่ตัวละครหลักอย่างสันติต้องพูดนั้นมีเยอะมาก และในบางฉากก็เป็นโมโนล็อกที่ต้องพูดคนเดียวค่อนข้างยาว ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจุดประกายให้หลายๆ คนที่กำลังอยากเก่งภาษาในระยะเวลาอันสั้น แต่คำถามสำคัญก็คือ คนทั่วไปจะสามารถทำแบบนั้นได้จริงหรือ?
วันนี้ BrandThink จึงอยากลองถอดรหัสความสำเร็จนี้ และวิเคราะห์ว่า ‘ความเก่งภาษา’ ในบริบทของการแสดงนั้นแตกต่างจาก ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ ในชีวิตประจำวันอย่างไร รวมถึงเราจะมีวิธีการปรับใช้กลยุทธ์เร่งโตเหล่านี้กับการเรียนภาษาของเราได้หรือไม่?
‘ความเก่งภาษา’ ของนักแสดง vs. ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ ของคนทั่วไป แตกต่างกันอย่างไร?
ก่อนอื่น เราต้องทำความเข้าใจความหมายของ ‘ความเก่งภาษา’ ในกรณีนี้ ‘ปันปัน’ เจ้าของเพจ Attentionchinese ผู้รับหน้าที่เป็นครูสอนภาษาจีนของนักแสดงไอซ์ซึระบุชัดเจนว่า โจทย์คือ “คนดูต้องเชื่อว่าสันติพูดภาษาจีนเก่ง” นี่คือ ‘ความเชี่ยวชาญเชิงการแสดง’ (Performance Proficiency) ซึ่งในเชิงเทคนิคแล้วจะเน้นไปที่
- การออกเสียงที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ: เพื่อให้บทพูดฟังดูน่าเชื่อถือ
- การจดจำบทพูด: สามารถพูดบทที่กำหนดไว้ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ
- การถ่ายทอดอารมณ์: แสดงความรู้สึกผ่านภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
สิ่งนี้ทำให้ความเชี่ยวชาญทางการแสดงแตกต่างจาก ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ (General Proficiency) ตามมาตรฐานสากลอย่าง CEFR (Common European Framework of Reference for Languages) ที่หมายถึงความสามารถในการสื่อสารได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพในสถานการณ์ที่หลากหลาย ทั้งการฟัง พูด อ่าน และเขียน และตามมาตรฐานของ CEFR แล้ว มักจะถือว่าความเชี่ยวชาญระดับ B2 เป็น ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ ที่สามารถโต้ตอบกับเจ้าของภาษาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น สิ่งที่ไอซ์ซึทำได้ถือเป็นการบรรลุเป้าหมายเพื่อใช้ในการแสดง ซึ่งแตกต่างจากการเป็นผู้ใช้ภาษาที่คล่องแคล่วในทุกสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ถ้าดูจากสิ่งที่ครูสอนภาษาจีนของไอซ์ซึได้แชร์ให้เรา อาจสามารถจับกลยุทธ์หลักสูตรเร่งรัดเพื่อนำไปปรับใช้กับการเรียนภาษาของเราเองได้เช่นกัน:
- ความทุ่มเท และความมุ่งมั่นในการเรียนรู้: คำว่า “มหากาพย์ที่ไอซ์ซึรับบทหนัก” และ “ท่องจำอย่างบ้าคลั่ง” บ่งชี้ถึงชั่วโมงการฝึกฝนที่มหาศาลในแต่ละวัน ซึ่งการเรียนรู้แบบเข้มข้นแบบนี้มักจะได้ผลดีกว่าการเรียนรู้แบบกระจายเวลา
- การเน้นการออกเสียงตั้งแต่เริ่มต้น: การเริ่มต้นด้วยพินอินและเก็บรายละเอียดการออกเสียงอย่างจริงจัง เพื่อให้คิดเป็นเสียงจีนโดยไม่เทียบกับภาษาไทย เป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสำเนียงที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติ เพราะโดยปกติแล้วเวลาเราเรียนภาษาในสมองเรามักจะเทียบสระและพยัญชนะที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว ซึ่งอาจทำให้การออกเสียงเพี้ยนไปจากเจ้าของภาษาได้
- การเรียนรู้แบบมีเป้าหมาย: การเลือกใช้คำและรูปประโยคที่พบบ่อยในบทละครเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เพราะเป็นการมุ่งเน้นไปที่ภาษาและรูปประโยคที่จำเป็นเท่านั้น ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในระยะเวลาที่จำกัด
- การเรียกคืนข้อมูลแบบ Active Recall: การที่ครูภาษาจีนอัดเสียงให้นักแสดงท่องจำ และนักแสดงสามารถพูดบทได้โดยไม่ผิดพลาด เป็นตัวอย่างของการเรียกคืนข้อมูลแบบ Active Recall ซึ่งช่วยให้ข้อมูลถูกเก็บไว้ในสมองอย่างมั่นคงยิ่งขึ้น
- การฝึกพูดตั้งแต่เนิ่นๆ และการได้รับคำแนะนำที่ถูกต้องเหมาะสม: แม้จะเป็นบทที่ท่องจำ แต่การฝึกพูดและปรับความธรรมชาติของการแสดงออก ถือเป็นการฝึกพูดที่สำคัญ การมีครูสอนภาษาคอยให้คำแนะนำและแก้ไขข้อผิดพลาดอย่างละเอียด เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้เราพัฒนาแบบก้าวกระโดด
แล้วมันเป็นไปได้แค่ไหน สำหรับคนทั่วไปที่อยากเชี่ยวชาญภาษาจีนใน 2 เดือน?
สำหรับภาษาจีนกลาง (Mandarin Chinese) จัดอยู่ในกลุ่มภาษาประเภทที่ 5 โดยสถาบันบริการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (FSI) ซึ่งถือเป็น ‘ภาษาที่ยาก’ สำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เนื่องจากมีความแตกต่างทางภาษาศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างมาก (ในกรณีนี้คนที่ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่แบบเราอาจจะไม่ยากเท่า แต่ก็อาจไม่ได้ง่ายไปกว่ากันสักเท่าไหร่)
เขาบอกว่าชั่วโมงที่จำเป็นในการเรียนภาษาโดยเฉลี่ยแล้ว หากต้องการบรรลุความเชี่ยวชาญระดับสามารถทำงานได้ (เทียบเท่าประมาณ CEFR C1) ในภาษาจีนต้องใช้เวลาประมาณ 2,200 ชั่วโมงเรียน
เทียบความเป็นไปได้ใน 2 เดือน (ประมาณ 60 วัน) ถ้าเราต้องการบรรลุระดับ B2 ในภาษาที่ง่ายกว่า (ประเภทที่ 1 เช่น สเปน ฝรั่งเศส) ต้องใช้เวลาประมาณ 8.2 – 11.7 ชั่วโมงต่อวัน สำหรับภาษาจีนซึ่งยากกว่ามาก การบรรลุระดับ B2 หรือ C1 ภายใน 2 เดือนนั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับคนส่วนใหญ่ แม้แต่การบรรลุระดับ A1 (ผู้เริ่มต้น) ก็ยังต้องใช้เวลา 60-80 ชั่วโมง และนั่นหมายถึงเราต้องเรียนวันละ 1-1.3 ชั่วโมงอย่างสม่ำเสมอด้วย
ดังนั้นการบรรลุ ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ (B2 ขึ้นไป) ในภาษาจีนภายใน 2 เดือนนั้นเป็นเรื่องที่ออกจะบ้าคลั่งและต้องใช้พรสวรรค์อย่างมากสำหรับคนทั่วไป
เพราะการเรียนรู้ภาษาคือการเดินทางที่ต้องใช้เวลาและความมุ่งมั่น ถ้าใครอยากเก่งภาษาในระยะเวลาอันรวดเร็ว การตั้งเวลาที่บีบคั้นเกินไปอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุด แต่การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน ด้วยระยะเวลาที่เป็นไปได้ ควบคู่ไปกับใช้เทคนิคต่างๆ ต่างหากที่จะช่วยให้เราก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน แม้จะไม่ใช่ ‘ความเชี่ยวชาญทางภาษา’ ใน 2 เดือน แต่เราก็สามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาทักษะการสื่อสารที่ใช้งานได้จริงได้อย่างแน่นอน
อ้างอิง
- Understanding Language Fluency Levels: Systems of Measurement + Examples. https://shorturl.at/svnO3
- 5 Crazy Effective Strategies to Accelerate Your Language Learning Progress. https://shorturl.at/Pu8gK
- Attentionchinese. https://shorturl.at/cDxoG