รู้ไหม การ ‘ฉ้อโกงประชาชน’ ในกระบวนการยุติธรรมไทย หนีคดีเพียง 10 ปีก็ ‘พ้นความผิด’ ได้
ในช่วงเศรษฐกิจไม่สู้ดี เราก็คงจะได้ข่าวตั้งแต่การหลอกให้ลงทุน การขายบัตรสมนาคุณแล้วเชิดเงินหนีอะไรสารพัด ซึ่งอะไรพวกนี้ที่มันเป็นข่าว เพราะคนโดนกันเยอะมาก มูลค่าความเสียหายอาจสูงถึงหลักร้อยล้านพันล้านบาท
ความผิดพวกนี้ ในทางกฎหมายถือว่าเป็นการฉ้อโกงประชาชน (ดูบทบัญญัติได้ที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342-343) ซึ่งเป็นความผิดแบบที่เรียกว่าเป็น ‘อาญาแผ่นดิน’ หรือเป็นอาชญากรรมต่อรัฐ ซึ่งโทษสูงสุดคือการจำคุก 7 ปี
และก็ไม่แปลกเช่นกัน ที่คนที่กระทำความผิดพวกนี้จะ ‘หนีคดี’ ไปอย่างรวดเร็ว
แต่สิ่งที่หลายคนอาจไม่รู้ก็คือ จริงๆ การ ‘หนีคดี’ เหล่านี้ส่วนใหญ่ทำไปเพื่อให้ไม่ต้อง ‘โดนฟ้อง’ และขึ้นศาลในเวลาที่กำหนด และทำให้คดีหมดอายุความในที่สุด (ซึ่งภาษากฎหมายจริงๆ เขาจะใช้คำว่า ‘ขาดอายุความ’)
แล้วเมื่อไรคดีหนึ่งๆ จะหมดอายุความ? คำตอบคือแล้วแต่ระดับความผิด อายุความจะเป็นไปตาม ‘โทษ’ ของความผิดนั้นๆ พวกโทษเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่มีโทษจำคุก อายุความจะเพียงแค่ 1 ปี แต่โทษหนักๆ ถึงหนักที่สุด อายุความนั้นจะเต็มที่ไปถึง 20 ปี และมากกว่านั้น พวกความผิดระดับที่ยอมความได้ คือถ้าผู้เสียหายรู้เรื่องแล้วไม่ดำเนินคดี (ดู ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95-96)
นี่หมายความว่า แม้แต่คนที่ ‘ฆ่าคน’ และโดนตั้งข้อหาแล้ว แต่ถ้าไม่โดนจับได้และถูกส่งตัวไปขึ้นศาล ก็นับไป 20 ปีหลังวันก่อเหตุ คดีก็เป็นอัน ‘ขาดอายุความ’ และอำนาจกฎหมายไทยก็จะทำอะไรไม่ได้ ซึ่งอะไรพวกนี้ เราก็จะเห็นคน ‘หนีคดี’ จนขาดอายุความและไม่เคยต้องเข้าคุกแต่เปิดตัวกลับสู่สังคมได้ ตั้งแต่บรรดา ‘เสือ’ ทั้งหลายที่ยามแก่ตัวแล้วก็ออกมาเล่าวีรกรรมตอนเป็นโจรช่วงหนุ่มๆ หรือกระทั่งฆาตกรต่อเนื่องบรรลือโลกอย่าง ชาร์ล โสภราช (Charles Sobhraj) ชาวฝรั่งเศส ก็รอดจากคดีฆาตกรรมในไทยเพราะการขาดอายุความแบบนี้เช่นกัน (และจริงๆ หลายๆ คนก็อาจเพิ่งรู้ว่าในไทยมันมีข้อกำหนดแบบนี้ด้วยก็ตอนดูซีรีส์ The Serpent ทาง Netflix)
และนี่คือแม้แต่คดีที่มีโทษระดับ ‘ประหารชีวิต’ อายุความยังแค่ 20 ปี ซึ่งสำหรับการฉ้อโกงประชาชนที่โทษจำคุกสูงสุดเพียง 7 ปี อายุความมันก็เพียงแค่ 10 ปีเท่านั้นนับแต่ก่อเหตุ
ดังนั้นมันจึงไม่แปลกอะไรเลยที่เราจะเห็นคนมากมาย ‘หนีคดี’ ไปต่างประเทศ แล้ว 10 ปีกลับมาเมืองไทยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คีย์สำคัญของการหนีก็คือ ต้องหนีก่อนที่จะโดนจับไปขึ้นศาล เพราะถ้าขึ้นศาลแล้ว การหนีมันจะยาก และการนับอายุความก็จะรีเซ็ต หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าหนีคดีที่อายุความ 10 ปี มา 9 ปีแล้วโดนจับได้ ศาลไม่มีความจำเป็นใดๆ จะต้องพิจารณาคดีให้เสร็จใน 1 ปีเพื่อให้คดียังมีอายุความ เพราะถ้าจับได้คืออายุความจะโดนรีเซ็ตและหยุดนับอายุความ ดังนั้นก็จะโดนดำเนินคดีต่อไปยาวๆ และถ้าจำเลยสามารถ ‘หนี’ ขณะพิจารณาคดีได้อีก ถ้ารอให้หมดอายุความจะไม่ใช่นับแค่วันกระทำผิดแล้ว แต่จะนับตั้งแต่วันที่หนี ถ้าโดนจับได้ อายุความจะรีเซ็ต และเริ่มนับใหม่หากคดีต้องหยุดดำเนินการ ซึ่งเกิดได้จากการหนีระหว่างการพิจารณาคดีหรือไม่ก็ศาลสั่งยุติการพิจารณาคดี (ซึ่งเกิดขึ้นได้ถ้าผู้กระทำผิด ‘เป็นบ้า’ หรือถูกวินิจฉัยว่าวิกลจริต)
ถามว่าประเทศอื่นมีแบบนี้ไหม? คำตอบคือมี อายุความเป็นเรื่องปกติของระบบกฎหมายทั่วโลก มีเอาไว้เพื่อเร่งให้ ‘ผู้เสียหาย’ ไม่ชะล่าใจ รีบๆ ดำเนินคดี ซึ่งนั่นเป็นประโยชน์กับการดำเนินคดีด้วย เพราะเวลายิ่งผ่านไป ‘หลักฐาน’ ต่างๆ ยิ่งหายไป การดำเนินคดีก็เป็นไปได้ยากลำบาก และในทำนองเดียวกัน ในหลายๆ กรณีที่ความผิดไม่ได้ชัดเจน มันก็สร้างหลักประกันว่าฝ่ายผู้ที่ถูกกล่าวหาจะไม่ถูกเล่นงานในภายหลังจากเรื่องที่ตัวเองอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นคนก่อเหตุ (เช่น การหมิ่นประมาท อายุความ 5 ปี ดังนั้นจาก 5 ปีคือเคลียร์ จะมาเอาเรื่องย้อนหลังไม่ได้)
อย่างไรก็ดี ความต่างคือ ในหลายๆ ประเทศ คดีบางแบบจะไม่มีการหมดอายุความ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคดีความผิดระดับร้ายแรงมากๆ ต่อรัฐ เช่น ฆาตกรรม รัฐประหาร อะไรพวกนี้ ซึ่งก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมในไทยคดีพวกนี้ถึงมีอายุความ ‘แค่’ 20 ปี
สุดท้าย ความรู้เรื่องอายุความนั้นสำคัญพอสมควรสำหรับประชาชนอย่างเราๆ ที่ทุกวันนี้ขยับตัวทำอะไรก็อาจ ‘ผิดกฎหมาย’ ได้ทั้งหมด เราควรรู้เช่นกันว่าเมื่อไรถึงเรียกว่าเคลียร์ เช่น ทุกวันนี้เราทำอะไรก็อาจจะเข้าข่าย ‘ละเมิดลิขสิทธิ์’ โดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็ต้องรู้ว่า ถ้าเจ้าของลิขสิทธิ์เขารู้เรื่อง แล้วไม่ฟ้องเราภายใน 3 เดือน ก็คือเขาหมดสิทธิ์แล้ว หรือถ้าเราไม่รู้ว่าเขารู้เรื่องหรือไม่ การละเมิดลิขสิทธิ์ถ้าไม่ทำไปเพื่อการค้าจะไม่มีโทษจำคุก ดังนั้นอายุความจะแค่ 1 ปี ส่วนการละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้า โทษสูงสุดคือจำคุก 4 ปี ซึ่งมาเทียบอายุความในการพิจารณาคดี ก็จะพบว่ามันมีอายุความ 10 ปี ดังนั้นใครเคยโหลดโปรแกรมเถื่อนหรือปั๊มแผ่นขายเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็จงรู้ไว้ว่าตอนนี้ตัวเองถือว่า ‘เคลียร์’ แล้ว ไม่มีใครจะมาฟ้องคุณได้แล้ว
เช่นเดียวกัน ความผิดยอดฮิตแห่งยุคของคนรุ่นใหม่อย่าง กฎหมายอาญามาตรา 112 ที่โทษจำคุกที่ระบุสูงสุดคือ 15 ปี เราก็จะพบว่าถ้าเลือกจะ ‘หนี’ ก่อนที่จะโดนจับ เวลาที่จะต้องหนีเพื่อให้ตัวเอง ‘เคลียร์’ จากความผิดก็คือ 15 ปีหลังจากการกระทำผิด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกงประชาชนหรือ 112 ถึงเราจะเคลียร์ตัวเองได้แล้วในทางกฎหมาย แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือประเทศนี้ก็ ‘เถื่อน’ มิใช่น้อย เพราะถึงจะหนีคดีฉ้อโกงประชาชนจนรอดมาได้ ถ้าบรรดาลูกหนี้แค้นพอ พวกลูกหนี้ก็อาจรวมหัวกันจ้างมือปืน มา ‘เก็บ’ ผู้ฉ้อโกงก็ได้ และเช่นเดียวกัน ถึงเราจะหนี 112 ได้จนคดีขาดอายุความไปแล้ว แต่กลับมาไทย ก็ใช่ว่ารัฐจะตั้งข้อหาอื่นๆ กับเราไม่ได้
อ้างอิง
- ประมวลกฎหมายอาญา. https://www.krisdika.go.th/librarian/getfile?sysid=390505…