4 Min

อเมริกาเผย “อาวุธเลเซอร์” ใหม่ พลังงานล้านล้านวัตต์ทำลายได้ถึง “เครื่องใน” เครื่องจักร

4 Min
2785 Views
05 Mar 2021

Select Paragraph To Read

  • พัฒนาการของอาวุธเลเซอร์
  • ความจำเป็นของอาวุธเลเซอร์และ EMP
แม้ว่าโควิด-19 จะยังไม่หายไปไหน แต่ภาคส่วนอื่นๆ ก็ทำงานไปตามปกติ ซึ่งในเคสของอเมริกา ในกลางปี 2020 ที่โควิด-19 ระบาดอย่างหนัก ทางกองทัพอินทรีเหล็กก็ยังไม่หยุดพัฒนาอาวุธ และเปิดตัว “อาวุธเลเซอร์” ติดเรือรบตัวใหม่ที่แรงระดับเผาปีกโดรนลำใหญ่ๆ ได้
 
และล่าสุด ปี 2021 อาวุธเลเซอร์ก็ได้รับการอัปเกรดไปอีก ระดับยิง EMP ให้โดรนดับกลางอากาศและร่วงลงมาได้
 
เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนตื่นเต้น เพราะอาวุธราวกับหลุดมาจากหนังไซไฟ แต่ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะทัพเรืออเมริกาเคยโชว์อาวุธทำนองเดียวกันนี้มาตั้งแต่ปี 2017 แล้ว

พัฒนาการของอาวุธเลเซอร์

อเมริกาประกาศตัวว่ามีเลเซอร์ใช้ในกองทัพมาตั้งแต่ปี 2017 เพียงแต่ตอนนั้น “อาวุธเลเซอร์” ดูจะเบากว่าปัจจุบันนี้มาก ยิงได้แค่โดรนลำเล็กๆ เหมือนเครื่องบินบังคับ กับเรือลำเล็กๆ
 
 
ในปีนั้น ความแรงของ “อาวุธเลเซอร์” ยังอยู่เพียง 30,000 วัตต์ แต่หลังจากนั้น ปี 2020 “อาวุธเลเซอร์” ใหม่ของกองทัพเรือสหรัฐน่าจะแรงขึ้นถึง 150,000 วัตต์ หรือแรงกว่าอาวุธที่เคยเอามาโชว์เมื่อปี 2017 ถึง 5 เท่าตัว เรียกได้ว่าสามารถยิงถล่มวัตถุที่ใหญ่ขึ้นได้ สามารถเผาปีกโดรนลำใหญ่ๆ ได้ และนี่ก็เรียกได้ว่าเอาไปใช้จริงจังได้แล้ว
 
 
ถามว่าอเมริกาหยุดพัฒนาแค่นั้นไหม?
 
คำตอบคือ “ไม่” เพราะในปี 2021 กองทัพอเมริกาก็กลับมาอีกครั้งกับการเผยรายละเอียดของอาวุธเลเซอร์ใหม่ ที่โหดกว่าเดิมแบบทะลุมิติเลย เกินคาดทุกฝ่าย เพราะคราวนี้แรงถึง 1,000,000,000,000 วัตต์ หรือแรงกว่าเดิมกว่าล้านเท่า!!!
 
ถามว่าทำไมอาวุธเลเซอร์ถึงก้าวกระโดดแบบนี้ หลักๆ คือมันเปลี่ยนคอนเซ็ปต์อาวุธจากการ “ยิงแช่” ให้เกิดความร้อนจนไฟไหม้ เป็นการระเบิดพลังงานสูงสุดในระยะเวลาสั้นๆ แบบเสี้ยววินาทีแทน ดังนั้นความแรงของลำแสงเลยรุนแรงได้ทะลุมิติขนาดนี้ เพราะมันยิงในระยะสั้นลงมากๆ แบบเศษเสี้ยววินาที แทนที่จะใช้ยิงค้างหลายๆ วินาทีเหมือนเดิม
 
เลเซอร์ ปี 2021 แรงแค่ไหน เอาเป็นว่า ยิงแล้วเกิดสิ่งที่เรียกว่า EMP (Electro Magnetic Pulse) หรือเกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบเดียวที่แผ่จากการระเบิดของนิวเคลียร์และจะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่โดนคลื่นใช้การไม่ได้กันหมด
 
ความแรงระดับนี้ หลักๆ คือไม่ต้องยิงแบบแช่หลายๆ วินาทีให้ปีกโดรนร้อนจนไหม้อีกแล้ว วิธีใช้งานมันเปลี่ยน เพราะยิงไปแบบแว๊บเดียวเสี้ยวพริบตา วงจรต่างๆ ภายในของโดรนก็จะช็อต สูญเสียการควบคุม เรียกได้ว่า อาวุธใหม่นี่มันไม่ใช่แค่การ “ทำลายภายนอก” แบบเดิมๆ แต่ทำลายถึงภายในเลย
 
…ว่าแต่อเมริกาจะพัฒนาอาวุธทำนองนี้ไปทำไมกัน?

ความจำเป็นของอาวุธเลเซอร์และ EMP

หนึ่ง ต้องเข้าใจว่า อเมริกาคือมหาอำนาจด้านการทหารอันดับ 1 ของโลกแบบไร้ข้อกังขา ดังนั้นเทคโนโลยีทางการทหารของอเมริกาก็ต้องพัฒนาเรื่อยๆ ไม่งั้นอเมริกาก็จะเสียสถานะผู้นำด้านการทหารให้ประเทศอื่นอย่างจีนหรือรัสเซีย
 
แต่ทำไมต้องเลเซอร์? พัฒนาอย่างอื่นไม่ได้เหรอ?
 
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ในทางเทคนิค เลเซอร์นั้นเป็นอาวุธในหมวดหมู่อาวุธที่เรียกรวมๆ ว่า “อาวุธพลังงานทางตรง” โดยมันจะแยกไปได้อีกหลายอย่าง ซึ่งหลายๆ อย่างที่ว่าก็มีการพัฒนาอาวุธมาแล้วทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ และ “อาวุธเลเซอร์” ก็เป็นหนึ่งในความสำเร็จ
 
อาวุธเลเซอร์ หรือที่เราเรียก “แสงเลเซอร์” พื้นฐานมันคือเทคโนโลยีในการขยายแสง ซึ่งสิ่งที่เราอาจไม่รู้ก็คือคำว่า Laser นี่คือตัวย่อ ย่อมาจาก Light Amplification by Stimulated Emission of Radiation หรือแปลงตรงๆ ก็คือ ‘การขยายแสงโดยการกระตุ้นการแผ่รังสี’
 
พอเอามาทำเป็นอาวุธ “แสงเลเซอร์” มันก็ไม่ใช่แสงเป็นแท่งๆ ที่ยิงทะลุสิ่งต่างๆ ได้แบบที่เห็นในเกม แต่เป็นแสงแบบปกติที่ไปกระทบอะไรก็ไม่ได้ทะลุ ทว่าทำให้เกิดความร้อนสูงจนพื้นผิวที่กระทบลุกไหม้ และพอเพิ่มความเข้มข้นของแสงอีก ก็กลายเป็น EMP ไปในที่สุดในปี 2021 ดังที่เล่ามา
 
อาวุธเลเซอร์ในอเมริกา ตอนแรกพัฒนามาติดพวกเรือรบก่อน เพื่อเอามาใช้แทนพวกมิสไซล์ต้านขีปนาวุธต่างๆ เนื่องจากการ “ยิงเลเซอร์” มีต้นทุนที่ถูกกว่าการยิงมิสไซล์ต้านขีปนาวุธมาก
 
ถูกกว่าแค่ไหน คือพวกมิสไซล์ต้านขีปนาวุธนี่เผลอๆ ลูกนึงต้นทุนเป็นล้านบาท แต่การยิงเลเซอร์ ครั้งหนึ่งเสียก็แค่ค่าไฟฟ้า และในปี 2017 มีการประเมินกันว่า ยิงครั้งหนึ่งเสียแค่ประมาณ 1 เหรียญ หรือราว 30 บาท เท่านั้น
 
ดังนั้นเลเซอร์เลยเป็นอาวุธต่อต้านขีปนาวุธราคาประหยัด และเหตุที่ต้องติดบนเรือรบ ก็เพราะเรือรบนี่แหละเป็นเป้าของขีปนาวุธ และแน่นอน ถ้าโดนขีปนาวุธจนล่มไป มันสูญเสียมหาศาล เพราะเรือรบก็ไม่ใช่ถูกๆ ดังนั้นก็เลยต้องมีระบบป้องกันที่เหมาะสม
 
พูดง่ายๆ คือเลเซอร์ที่ทัพเรืออเมริกาเอามาติดเรือรบตอนแรก ไม่ใช่ “อาวุธจู่โจม” แต่เป็นอาวุธเพื่อการป้องกันมากกว่า
 
ทีนี้ ถามว่ามันทำได้แค่นั้นเหรอ? คำตอบคือไม่ ข้อได้เปรียบของอาวุธพลังงานทางตรงแบบเลเซอร์คือ ยิงได้ไกลมากแบบไม่เปลี่ยนวิถีและวิ่งได้ด้วยความเร็วแสง (ก็มันคือแสงน่ะสิ) ดังนั้นถ้าพัฒนาต่อ มันจะเป็นอาวุธระยะไกลแบบยิงข้ามทวีปกันได้ชิลๆ เลย
 
ถามว่าลักษณะเด่นแบบนี้ของเลเซอร์เอาไปทำอะไรได้?
 
เราคงเคยได้ยินเรื่อง “กองทัพอวกาศ” ของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการไปแล้ว ตั้งแต่สมัยของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งคำถามต่อมาว่า “กองทัพอวกาศ” จะใช้อะไรเป็นอาวุธ ในภาวะไร้แรงโน้มถ่วง เพราะอาวุธต่างๆ ในโลกที่ใช้ๆ กันก็จะแทบไร้ประโยชน์ในอวกาศ
 
คำตอบก็คือ “เลเซอร์” นี่แหละ ใช้ในอวกาศได้แน่นอน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่จรวดมิสไซล์อะไรต่างๆ ใช้ไม่ได้แบบบนโลก
 
หรือจะมากกว่านั้น ถ้าใครตามข่าวสารด้านการทหาร ก็คงรู้ว่าพวกกองทัพประดับท็อปๆ ของโลกที่เขาพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ สู้กัน (โปรดอย่าเปรียบเทียบกับกองทัพของบางประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) หลังๆ เขาฮิตพัฒนา “หุ่นยนต์” มาก และก็ไม่แปลก เพราะหลายๆ ประเทศมีแผนชัดๆ แล้วว่าจะมีการใช้พวกหุ่นยนต์แทนกองกำลังทหารในประเทศ
 
พูดง่ายๆ คือในอนาคต เขาคิดซีเรียสว่าจะรบกันด้วย “หุ่นยนต์” นี่ไม่ใช่เรื่องไซไฟ แต่อยู่ในแผนการสิบยี่สิบปีของกองทัพหลายๆ ประเทศแล้ว
 
ทีนี้เมื่ออเมริกาพัฒนาอาวุธเลเซอร์ระดับยิง EMP ได้ สถานการณ์อาจเปลี่ยน…
 
เพราะนี่หมายความว่าถ้าเอาอาวุธเลเซอร์ตัวล่าสุดพลังงานล้านล้านวัตต์ไปยิงหุ่นยนต์ในสนามรบ ผลคือหุ่นยนต์ก็ดับ เพราะมันทำลายถึง “เครื่องใน” ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และหุ่นยนต์ก็ไม่น่าจะรอด
. ดังนั้นในแง่นี้ การที่อเมริกาโชว์ว่าตัวเองมี “อาวุธเลเซอร์” มันเลยไม่ได้เป็นแค่เอาของประหลาดๆ ดูไซไฟมาโชว์เฉยๆ แต่ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพว่า อเมริกามีเทคโนโลยีด้านการทหารที่พร้อมใช้ในอวกาศแล้ว เท่านั้นไม่พอ ศักยภาพล่าสุดของอาวุธเลเซอร์ยังเป็นเครื่องการันตีว่าอเมริกาจะเหนือชั้นกว่าชาติอื่นๆ ใน “สงครามหุ่นยนต์” ที่ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ
 
มันก็ต้องระดับนี้แหละครับ ถึงจะรักษาสถานะของผู้นำด้านการทหารของโลกได้
 
อ้างอิง: