“ไม่ไปหรอกสวรรค์อะ จะอยู่กับหมา” ว่าด้วย ‘กุกกุริปะ’ โยคีที่ยอมทิ้งทุกสิ่งบนสวรรค์ เพื่อแลกกับสุนัขแสนรักของตน
ในศาสนาพุทธ มีเรื่องราวมากมายที่ ‘สัตว์น้อยใหญ่’ เข้ามาเกี่ยวข้องกับบรรดาผู้ปฏิบัติธรรม ตั้งแต่พระพุทธเจ้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับช้างและลิงป่า ลามไปจนถึงบรรดาพระสาวกที่ก็มีเรื่องราวให้เข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับสัตว์
วันนี้ BrandThink จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักกับโยคีชาวอินเดียท่านหนึ่งที่อุทิศชีวิตเพื่อการบรรลุธรรมทางศาสนา ทว่าสุดท้ายกลับพบว่าตนเองไม่ต้องการอะไรเลย นอกจากการได้ใช้ชีวิตอยู่กับสุนัขคู่ใจ
เรื่องราวต่อไปนี้เป็นชีวิตของ ‘กุกกุริปะ’ (Kukkuripa) โยคีชาวอินเดีย ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น 1 ใน 48 มหาสิทธา หรือ ผู้สำเร็จธรรมขั้นสูงตามคติความเชื่อของศาสนาพุทธแบบวัชรยาน ทว่าแม้จะมีสถานะสูงส่ง บรรดารูปภาพ รูปปั้น ที่เกี่ยวข้องกับท่านกลับปรากฏเป็นรูปของชายแก่ธรรมดา สวมกอดน้องหมาไว้ในอ้อมอกเท่านั้น จากการที่ชีวิตของท่านที่ผูกพันกับน้องหมาแบบแยกไม่ออก
แม้จะมีการถกเถียงในเชิงประวัติศาสตร์ว่าท่านเกิดเมื่อใด แต่ตามประวัติ ท่านกุกกุริปะเกิดในวรรณะพราหมณ์ และอยู่อาศัยอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ (ปัจุบันเป็นพื้นที่ของประเทศเนปาล) ทว่าวันดีคืนดีท่านก็เกิดเบื่อหน่ายทางโลก แล้วหันหน้าเข้าทางธรรม โดยได้เลือกศึกษาและปฏิบัติธรรมแบบตันตระ ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งในการปฏิบัติของศาสนาพุทธเเบบวัชรยาน
ศึกษาไปศึกษามาก็เลยตัดสินใจละทางโลก ทิ้งทุกอย่างทั้งบ้านเรือน ครอบครัว แล้วออกไปใช้ชีวิตเป็น ‘โยคี’ ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งแถวๆ สวนลุมพินี ที่ไม่ไกลจากกรุงกบิลพัสดุ์นัก ก่อนจะออกภิกขาจารเร่ร่อนไปตามที่ต่างๆ
วันหนึ่งขณะที่ท่านกำลังเดินทางไปยังต่างเมือง ท่านก็ได้พบสุนัขตัวผอมเห็นแต่กระดูก นอนครางหงิงๆ อยู่ใต้พุ่มไม้ ด้วยความสงสาร ท่านจึงนำมันกลับไปเลี้ยงที่ถ้ำ ก่อนจะให้ข้าวให้น้ำ จนมันกลับมาแข็งแรงอวบอ้วน ทำให้ต่อมาทั้งคู่กลายเป็นสหายที่เข้าขากันสุดๆ โดยน้องหมาจะคอยเฝ้าหน้าถ้ำตลอดเวลาที่กุกกุริปะทำสมาธิ หรือเฝ้าถ้ำเวลาท่านออกไปหาอาหาร
ทั้งคู่อยู่กันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยเช่นนี้ จนกระทั่งเวลาผ่านไป 12 ปี ท่านกุกกุริปะก็สำเร็จอภิญญาชั้นสูง จนบรรดาเทพเจ้าบนสรวงสรรรค์แห่กันลงมาที่ถ้ำเพื่อกราบนมัสการและอัญเชิญท่านขึ้นไปเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ ซึ่งท่านก็ยอมรับ
ทว่าระหว่างที่เพลิดเพลินกับอาณาจักรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ ก็มีแวบหนึ่งที่ท่านเกิดคิดถึงสุนัขที่ตนเองทิ้งไป ทำให้ท่านขอร้องเทวดาให้พาท่านกลับถ้ำโดยทันที เพราะเป็นห่วงหมา แต่ว่าเทวดาก็พยายามโน้มน้าวท่านว่า การอยู่บนสวรรค์มันดีอย่างนั้นอย่างนี้จนท่านใจอ่อน แต่นานวันเข้าท่านก็เริ่มคิดถึงน้องหมาขึ้นมาอีก
อย่างไรก็ตาม ฟางเส้นสุดท้ายก็มาถึง เมื่อท่านกุกกุริปะใช้จิตเพ่งลงมาจากสวรรค์ แล้วพบว่าน้องหมาของตนเองผอมแห้ง หิวโหย และเศร้าโศก ท่านจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่มี แล้วกลับมาที่ถ้ำทันที ตามตำนานระบุว่า เมื่อท่านถึงถ้ำแล้ว ท่านก็โผเข้ากอดน้องหมา แล้วเกาคางมัน หลังจากที่เกาคาง น้องหมาก็หายวับไปกับตา พร้อมกับกลายร่างเป็น ‘พระฑากิณี’
เอาล่ะ อ่านมาถึงตรงนี้ เริ่มมีศัพท์แปลกๆ เช่น ‘ฑากิณี’ ถ้าอธิบายความหมายของคำนี้ให้ง่ายที่สุดก็คือ เป็นเทพเจ้า (ผู้บรรลุธรรม) ที่คอยช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนให้เข้าสู่หนทางแห่งการรู้แจ้งได้เร็วที่สุด ตามคอนเซ็ปต์ของศาสนาพุทธแบบทิเบต และเมื่อน้องหมากลายร่างเป็นพระฑากิณีแล้ว พระฑากิณีก็ตรัสว่า บัดนี้กุกกุริปะได้เอาชนะโลกียสมบัติอันเป็นสิ่งล่อลวงบนสรวงสวรรค์ และหันเข้าสู่หนทางแห่งความกรุณาต่อสรรพสัตว์แล้ว ดังนั้นท่านจะช่วยประทานพรให้กุกกุริปะเข้าสู่หนทางแห่งความรู้แจ้งโดยเร็ว
พูดง่ายๆ ก็คือ น้องหมาที่กุกกุริปะเลี้ยงไว้ตลอด 12 ปี จริงๆ แล้วคือเทพเจ้าจำแลงกายลงมาเพื่อลองใจ ทั้งนี้ ว่ากันว่าหลังจากที่ท่านกุกกุริปะได้รับการอวยพรจากพระฑากิณีแล้ว ท่านก็บรรลุธรรมขั้นสูงสุด และได้ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อถ่ายทอดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแก่ประชาชนทั่วไปในแถบลุมพินีและกบิลพัสดุ์ จนนำพาผู้คนไปสู่หนทางแห่งการรู้แจ้งจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ด้วยประวัติที่มีความเกี่ยวข้องกับน้องหมา ทำให้คนยุคต่อมาเรียกท่านว่า ‘กุกกุริปะ ผู้รักหมา’ หรือ ‘Kukkuripa Dog Lover’ ในที่สุด
อ้างอิง
- Tricycle.kukkuripa,The Dog Lover.https://tricycle.org/magazine/kukkuripa-dog-lover/