กรุงไทย พาไปดูอะไรในเซินเจิ้น? ส่องนวัตกรรม สำรวจเทคโนโลยี ของ 2 บริษัท IT ยักษ์ใหญ่ ในเมืองเซินเจิ้น ‘Silicon Valley of China’
ถ้าตรงข้ามกับแสงคือ ‘เงา’ อดีตของ ‘มหานครเซินเจิ้น’ ก็เป็นเช่นนั้น
ในอดีต ‘เซินเจิ้น’ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไปแค่ 40 กิโลเมตร จากแสงไฟอันเรืองรองของเกาะฮ่องกง ถือเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ ที่ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไรมากนัก ทำให้บรรดาชาวประมงบนชายฝั่งแห่งนี้ ได้แต่คอยเฝ้ามองขอบฟ้าแห่งความเจริญของเกาะฮ่องกงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เร่งฝีเท้าก้าวหน้าไปไกลแบบเทียบไม่ติด
ทว่าตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้ ก็ถูก ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ (邓小平) อดีตผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาลของจีนจับอาบน้ำแปลงโฉมให้กลายเป็น ‘เขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของประเทศ’
ส่งผลให้ปัจจุบัน เซินเจิ้นมีฐานะเป็น ‘ซิลิคอนวัลเลย์แห่งประเทศจีน’ ที่เป็นทั้งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่ง และความเจริญด้านเทคโนโลยีต่างๆ ที่แม้แต่คนบนเกาะฮ่องกงยังต้องเหลียวหลังมามอง และนอกจากฉายา ‘ซิลิคอนวัลเลย์ของจีน’ แล้ว เซินเจิ้นยังรวมเอาความสุดยอดไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเป็นที่ตั้งของตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หรือจะเป็นการได้รับการจัดอันดับให้เป็น ‘เมือง Alpha City’ ที่หมายถึงการเป็นเมืองศูนย์กลางด้าน Globalization ทุกด้าน จากองค์กร The Globalization and World Cities Research Network (GaWC) ที่ระบุว่า เซินเจิ้นเจริญรุดหน้าเมืองใกล้เคียงอย่างกวางโจวและฮ่องกงแล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้น เซินเจิ้นยังเป็นถือเป็นหนึ่งในเมืองแห่งศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนําระดับโลก จากการเป็นฐานที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีตัวท็อป ที่ถ้าพูดชื่อไปแล้วคงไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่ว่าจะเป็น หัวเว่ย (Huawei), เทนเซนต์ (Tencent) หรือแม้แต่ ‘แอคเซนเจอร์’ (Accenture)
ด้วยเหตุนี้ทำให้ ‘ธนาคารกรุงไทย’(Krungthai Bank) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนพัฒนาองค์กร พร้อมทั้งสินค้าและบริการเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค จึงพาเราชาว BrandThink บินลัดฟ้าไปสำรวจความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของมหานคร ‘เซินเจิ้น’ แห่งนี้ ว่าก้าวกระโดดไปมากเพียงใด
ผ่านการดูงานกับบริษัทเทคโนโลยีสำคัญระดับท็อป 2 แห่ง ได้แก่ ‘หัวเว่ย’ (Huawei) และ ‘แอคเซนเจอร์’ (Accenture) เพื่อให้เราเห็นถึงทิศทางการพัฒนาด้าน IT ว่าจะมีส่วนขับเคลื่อนธุรกิจการเงินและโลกของเราอย่างไรในอนาคต
HUAWEI … เทพบรรพชนเอไอ … สถาบันวิจัยทรงยุโรป
โบสถ์ยอดแหลมสูงเสียดฟ้า หลังคาสีม่วงและอาคารรูปทรงคล้ายตึกในปารีส รวมถึงเสาดอริกอันประณีตที่สลักเสลาอย่างวิจิตร ชวนให้เรานึกว่าอยู่ในแผ่นดินยุโรปไปชั่วขณะหนึ่ง แต่แท้ที่จริงแล้ว ที่ที่เรายืนอยู่ตรงนี้คือ ‘สถาบันวิจัยและพัฒนาระดับโลก’ ของหัวเว่ยที่ชื่อว่า ‘HUAWEI Ox Horn Campus’ หรือเรียกสั้นๆ ว่า ‘Dongguan Campus’ (ตงกวน แคมปัส) ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเซินเจิ้นแค่ในระยะเวลาขับรถเพียงครึ่งชั่วโมง
สำหรับที่นี่ ‘กรุงไทย’ ได้พาเราไปเปิดประสบการณ์ด้าน IT ระดับ World Class บนศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สร้างอยู่บนพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 1.4 ล้านตารางเมตร บริเวณริมทะเลสาบซงซาน ของเมืองตงกวน ภายในมณฑลกวางตุ้ง แต่แม้จะอยู่ในกวางตุ้งสถาบันแห่งนี้กลับถูกออกแบบให้มีบรรยากาศคล้ายกับว่าเราอยู่ในยุโรป จากการประกอบด้วยกลุ่มอาคารทั้งหมด 12 โซน ที่ถอดแบบจากสถานที่สำคัญระดับท็อปของยุโรปทั้ง ไฮเดลเบิร์ก บริดจ์ เกต ในเยอรมนี หรือจะเป็นมหาวิทยลัย Cité Internationale Universitaire de Paris ในฝรั่งเศส และเมืองสำคัญต่างๆ อย่าง เชสกี ครุมลอฟ (Cesky Krumlov), เวโรนา (Verona), โบโลญญา (Bologna), บูดาเปสต์ (Budapest), ทาลลินน์ (Tallinn) และกรานาดา (Granada)
ทั้งหมด 12 โซนนี้จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันด้วยระบบรถรางที่ถูกจำลองมาจากรถไฟขึ้นเขาอย่าง ‘Jungfrau Railway’ ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ แล้วถ้าถามว่า ทำไมหัวเว่ยต้องสร้างสถาบันวิจัยของตนเองให้เป็นทรงยุโรปนั้น คำตอบก็คือ สถาปัตยกรรมลักษณะนี้เป็นไปเพื่อสะท้อนตัวตน วิสัยทัศน์ และอัตลักษณ์ของหัวเว่ยในฐานะองค์กรระดับโลก และเพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโลก ที่มีผลิตภัณฑ์และบริการอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และโซลูชันสำหรับธุรกิจต่างๆ
สำหรับ ‘HUAWEI Ox Horn Campus’ แห่งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาที่มุ่งให้ความสำคัญในด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) อย่างต่อเนื่องของหัวเว่ย ผ่านการลงทุนมากกว่า 130 พันล้านดอลลาร์ ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อดึงดูดบุคลากรชั้นนำมากมายให้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรเพื่อส่งออกนวัตกรรมที่ล้ำสมัยที่สุดให้กับผู้บริโภค อย่างใน Dongguan Campus แห่งนี้ (เพียงที่เดียว) ก็มีบุคลากรทำงานไปแล้วมากกว่า 30,000 คน
โดย ‘กรุงไทย’ ได้เริ่มพาเราสำรวจ Dongguan Campus ด้วยการเข้าเยี่ยมชม ‘Huawei Cyber Security Center’ ซึ่งเป็นศูนย์จัดแสดงกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ของหัวเว่ย ที่แสดงให้เราเห็นถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานด้าน ICT มาตรฐานระดับโลก รวมไปถึงการรักษาความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของ Smart Devices ต่างๆ ก่อนที่ต่อมาหัวเว่ยจะแนะนำเราให้รู้จักกับเทคโนโลยี AI ใหม่ล่าสุดที่ชื่อว่า ‘PANGU’ (ผานกู่) AI ที่ได้ชื่อมาจาก ‘เทพบรรพชน’ ที่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นมนุษย์คนแรกของโลก
โดย PANGU นี้ เป็น AI Large Language Model (LLM) คล้ายๆ กับ ChatGPT หรือถ้าให้อธิบายง่ายๆ ก็คือ เป็นโมเดลพื้นฐานการประมวลผลของ Generative AI ที่จะเรียนรู้ผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบเชิงลึก (Deep learning) ผ่านการถูกเทรนด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้เกิดเป็นโมเดลที่สามารถประมวลผลภาษาและมีความสามารถในการโต้ตอบและสร้างสรรค์ข้อความได้เสมือนมนุษย์ ทำให้ AI ประเภทนี้ถูกเน้นสำหรับนำไปใช้ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้ง E-government ภาคการผลิต อุตสาหกรรมยา เหมือง Virtual Human คอลเซ็นตอร์ ซัปพลายเชนต่างๆ
ในปัจจุบันก็มีหลายภาคส่วนที่นำ AI PANGU ไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขององค์กร อย่าง ธนาคาร ICBC ธนาคารพาณิชย์ที่มีเครือข่ายใหญ่ที่สุดในประเทศจีนที่ใช้ AI PANGU ในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบคอลเซ็นเตอร์ ทำให้ลดระยะเวลาในการคุยกับผู้ใช้บริการไปถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และลดเวลาในการ review ลงไปถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากตัว AI ได้เข้ามาช่วยลดขั้นตอนการทำงาน จาก 5 ขั้นตอน เหลือเพียง 1 ขั้นตอนเท่านั้น และนอกจากธนาคาร ICBC แล้ว ธนาคารอีกหนึ่งแห่งที่มีความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมก็คือ ธนาคารกรุงไทย จากประเทศไทย ที่ได้ Huawei มาเป็น Strategic Partner สำคัญที่ร่วมมือกันพัฒนาระบบ Cloud เพื่อรองรับการดำเนินงานของธนาคารให้มีประสิทธิภาพ พร้อมส่งมอบการใช้บริการคุณภาพให้กับผู้ใช้บริการทุกคน
หลังบ้าน ของบ้านใหญ่หลายหลัง กับพลังของ Gen AI … By Accenture
นอกจากหัวเว่ยแล้ว อีกหนึ่งบริษัท IT ยักษ์ใหญ่ที่กรุงไทยพาเราไปสัมผัสกับสุดยอดนวัตกรรมก็คือ ‘บริษัทแอคเซนเจอร์’ (Accenture)
โดยบริษัทนี้ถือเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านธุรกิจและเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลก ที่โดดเด่นในเรื่องการส่งมอบโซลูชันด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้กับองค์กรธุรกิจ รัฐบาล และองค์กรต่างๆ ทั่วโลก เพื่อการสร้าง ‘Digital Core’ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พัฒนาการเติบโตของรายได้ รวมทั้งพัฒนาบริการที่นำเสนอให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้บริการได้ดียิ่งขึ้นผ่านเทคโนโลยี ‘Gen AI’
ปัจจุบัน แอคเซนเจอร์ (Accenture) มีพนักงานกว่า 750,000 คน ให้บริการลูกค้ากว่า 120 ประเทศทั่วโลก อย่างในประเทศไทย บริษัทแอคเซนเจอร์ถือเป็น ‘Strategic Partner’ และที่ปรึกษาให้กับธนาคารกรุงไทย ในการพัฒนา Digital Solutions รวมถึงการพัฒนา Digital Talents ผ่านการร่วมทุนในบริษัท Arise by INFINITAS ที่วางตัวเป็นศูนย์กลางการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ รวมถึงดึงดูดผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ และเสริมความแข็งแกร่งด้าน Digital Capabilities พร้อมกับรองรับการขยายธุรกิจของกลุ่มธนาคารกรุงไทย
และในโอกาสนี้ธนาคารกรุงไทยก็ได้พาเราไปเยี่ยมชม ‘Innovation Hub’ สุดล้ำของ Accenture อย่าง ‘Gen AI Studio Shenzhen’ ที่ตั้งอยู่ใน Shenzhen Bay Tech-Eco Park ของเขตหนานชาน ในเมืองเซินเจิ้น ซึ่งถือเป็นหนึ่งใน Gen AI Studio จาก 24 แห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่โรม ประเทศอิตาลี หรือจะเป็นที่ดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดย ‘Gen AI Studio’ ของแต่ละแห่งนั้นก็จะมีจุดโฟกัสที่แตกต่างกันออกไปตามอุตสาหกรรมเด่นๆ ของแต่ละภูมิภาค
แต่สำหรับ ‘Gen AI Studio’ ที่เมืองเซินเจิ้นนี้ถือเป็นสตูดิโอแบบครบวงจร ที่ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและฟังก์ชันการใช้งาน ทำให้ Gen AI Studio แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่ผู้เชี่ยวชาญด้าน AI และ Data Scientists ของ Accenture ทั้งหลายจะได้ทำงานใกล้ชิดกับลูกค้า โดยจะมีการจัดเวทีให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจในหัวข้อการนำ Gen AI มาใช้เพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร อย่างในธุรกิจธนาคาร Accenture ก็ได้นำเทคโนโลยี Large Language Model (LLM) เข้าไปใช้ในธุรกิจธนาคารทั้งหมด 3 บทบาท
ได้แก่ 1) LLM as Knowledge Manager หรือ การนำเอาความสามารถในการจัดการข้อมูลของ AI มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และทำให้ Knowledge Sharing มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่นการนำมาใช้ในการตอบคำถามใน Contact Center 2) LLM as Coach หรือ การนำมาใช้ในการมอนิเตอร์ อบรมพนักงาน หรือเป็นผู้ช่วยในการ Coding และสุดท้าย 3) LLM as an Advisor หรือการนำเอาความสามารถด้านการใช้เหตุผลของ LLM มาใช้ในการให้คำแนะนำและให้ข้อมูลประกอบการตัดสินใจให้กับผู้ใช้บริการ
ตัวอย่างการใช้ Gen AI
ใช้เครื่องมือ Gen AI มาเป็นผู้ช่วยในการขายและการให้บริการลูกค้า ทั้งในช่วงเตรียมตัวก่อนพบลูกค้า ระหว่างการพบลูกค้า และหลังการพบลูกค้า โดยเครื่องมือนี้สามารถแนะนำประเด็นที่จะพูดคุยกับลูกค้า วิธีการตอบ และเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับลูกค้ามานำเสนอได้อย่างตรงจุด รวมถึงเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทอื่นได้ ทำให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและยอดขายของพนักงาน
ใช้ AI มาทำให้ Business Intelligence (BI) ดีขึ้น ทั้งในเรื่องของการทำ 1) Descriptive Analytics อย่างการรายงาน และ Visualization ข้อมูลทางธุรกิจต่างๆ 2) Diagnostic Analytics หรือการวิเคราะห์หาสาเหตุ ทำความเข้าใจข้อมูลเพื่อให้ทราบความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค 3) Predictive Analytics หรือการคาดการณ์หรือวางแผนสำหรับอนาคต และ 4) Predictive Analytics หรือการให้คำแนะนำว่า จากข้อมูลทางธุรกิจที่มีควรจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทำไม ‘กรุงไทย’ ต้องพาไป ส่องนวัตกรรม-สำรวจเทคโนโลยีที่ ‘เซินเจิ้น’
‘เพราะโลกที่เปลี่ยนไป ทำให้ต้องปรับตัวตาม’
‘ผยง ศรีวณิช’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ด้วยแนวคิดที่ต้องไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำให้ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาอย่างน้อยตั้งแต่ปี 2014 ธนาคารกรุงไทยได้พยายามปรับตัวและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ผ่านการ Digital Transformation ที่ดึงเอานวัตกรรมต่างๆ มาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อการตอบโจทย์ยุคดิจิทัลในปัจจุบันได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเซินเจิ้นเองก็ถือเป็นเมืองต้นแบบของการ Digital Transformation ทั้งยังเป็นเมืองที่กรุงไทยมี Strategies Partners อยู่หลายแห่ง จึงทำให้กรุงไทยอยากพาทุกคนมาสัมผัสและ เรียนรู้
และด้วยการที่กรุงไทยได้ริเริ่ม ต่อยอด พัฒนา Digital Transformation เช่นนี้ ก็ทำให้ในปัจจุบันธนาคารกรุงไทยมีลูกค้าที่เข้าใช้บริการทาง O2O หรือ Online to Offline ถึง 35 ล้านคน ในขณะที่มีกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้อยู่ในช่องทางดิจิทัลเหลือเพียง 7 ล้านคนเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า กรุงไทยได้เปลี่ยนตัวเองด้วยการใช้เทคโนโลยีทั้ง 4 แกนหลัก อันได้แก่ 1. Core Platforms 2. Acquisition Engines 3. Digital Enables และ 4. Monetization จนสามารถต่อสู้กับยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้ ทั้งยังสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการจนตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกเจเนอเรชันได้อย่างตรงจุด ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นคนเจนไหน ยุคไหน กรุงไทยก็พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้คุณได้อย่างตรงใจ