“ทุกเรื่องตลกล้วนมีเหยื่อ” มิสเตอร์บีนชี้ Cancel Culture ทำลายอารมณ์ขัน วงการนี้ควรมีอิสระที่จะเล่นมุก ‘อะไรก็ได้’
หากใครที่ติดตามผลงานของ ‘โรแวน แอตคินสัน’ (Rowan Atkinson) นักแสดงตลกและนักเขียนชาวอังกฤษ ผู้โด่งดังจากบทบาท ‘มิสเตอร์บีน’ ในซิทคอมยอดนิยมที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์อีกหลายตอน ก็น่าจะพอทราบว่าเขากำลังจะหวนคืนจอกลับมาสร้างเสียงหัวเราะอีกครั้งกับซีรีส์แนวตลก ‘Man VS Bee’ ซึ่งจะฉายทาง Netflix ในวันที่ 24 มิถุนายน 2022
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นถกเถียงอีกอย่างคือ การที่ โรแวน แอตคินสัน ย้ำจุดยืนต่อต้าน ‘วัฒนธรรมคว่ำบาตร’ หรือ Cancel Culture ที่เป็นกระแสในหลายประเทศทั่วโลกมาสักพักแล้ว ซึ่งก็คือการที่คนจำนวนมากประกาศคว่ำบาตรหรือต่อต้านคนดังด้วยการ ‘เลิกสนับสนุน’ ‘แขวนประจาน’ เพื่อตอบโต้ในกรณีที่คนดังคนนั้นมีการกระทำที่ ‘ไม่เหมาะสม’ (ในทัศนะของคนที่คว่ำบาตร) ไม่ว่าจะเป็นเชิงคำพูด พฤติกรรม ทัศนคติ หรือการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ทั้งในเวทีสาธารณะหรือผ่านโลกโซเชียล
แอตคินสันมองว่าวัฒนธรรมนี้ ‘กำลังทำร้ายอารมณ์ขัน’
“ทุกเรื่องตลกล้วนมีเหยื่อ นั่นคือนิยามของคำว่าตลก ใครบางคน หรือบางสิ่งบางอย่าง แม้กระทั่งความคิดเห็นในบางเรื่อง จะต้องถูกทำให้กลายเป็นเรื่องบ้าบอ เพราะงานของตลกคือการก่อกวนใจคน” แอตคินสันกล่าวอ้างขณะที่วิพากษ์วิจารณ์ Cancel Culture
นอกจากนี้เขายังตั้งคำถามเวลาที่มีคนเตือนว่านักแสดงตลกต้องระมัดระวังเวลาจะพูดอะไรบางอย่าง หรือการเล่นมุกตลกล้อเลียนในบางประเด็น เพราะไม่อย่างนั้นก็อาจจะถูกต่อต้านหรือถูกจัดการ โดยเขามองว่าคนในสังคมจำนวนมากไม่ใช่บุคคลสาธารณะที่จะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้เหมือนอย่างนักการเมืองหรือสมาชิกราชวงศ์ แต่ในกลุ่มคนธรรมดาเหล่านี้ก็จะมีคนที่หยิ่งยโส เอาแต่ใจ และก้าวร้าว ซึ่งสมควรจะถูกนำมาล้อเลียนเป็นเรื่องตลกเช่นกัน
“มีคนอีกมากที่โอหังและเอาแต่ใจในสังคมนี้ คนพวกนี้สมควรจะถูกลากตัวออกมา และในสังคมที่มีเสรีอย่างเหมาะสมเพียงพอ คุณควรจะได้รับโอกาสให้เล่นมุกตลกกับเรื่องอะไรก็ได้”
อย่างไรก็ตาม แอตคินสันไม่ใช่นักแสดงตลกเพียงคนเดียวที่ออกมาพูดต่อต้านวัฒนธรรมดังกล่าว เพราะก่อนหน้านี้ เจอร์ร็อด คาร์ไมเคิล (Jerrod Carmichael) นักแสดงตลกชาวอเมริกัน ก็ออกมาวิจารณ์เช่นกันว่า ปรากฏการณ์ทางสังคมตอนนี้เกิดขึ้นเพื่อจะตอบสนองวัตถุประสงค์ทางการเมืองและการตลาดเท่านั้น
“ถ้าคุณสร้างงานศิลปะแล้วทำให้เกิดข้อถกเถียงพิพาท หรือทำให้เกิดอะไรก็ตาม นั่นคือเรื่องปกติของการทำงานศิลปะ แต่พอมีวัฒนธรรมการแบนมาเกี่ยวข้อง เราคิดว่านั่นก็แค่ทำให้คนน่าเบื่อมีประเด็นไว้คุยกันก็เท่านั้น”
คาร์ไมเคิล ยังได้ออกมากล่าวเพิ่มเติมภายหลังอีกว่า เขาเข้าใจนักแสดงตลกที่หันมาเล่นมุกกับตัวเอง เหมือนคนที่กำลังต่อสู้กับตัวเอง แต่การเล่นมุกแบบนี้เมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะจืดชืด และกลายเป็นเหมือนคนขี้โวยวายเป็นเด็กๆ ไม่รู้จักโต
ส่วนคนอื่นๆ ในวงการตลกฝั่งตะวันตก เช่น เควิน ฮาร์ท (Kevin Hart) นักแสดงตลกชาวอเมริกัน ที่ไม่ได้ต่อต้าน Cancel Culture เสียทีเดียว เพราะเคยให้สัมภาษณ์ว่า เขาคงไม่โมโหเรื่องวัฒนธรรมการแบน เพราะถ้าใครทำอะไรเสียหายจริงๆ ก็ควรได้รับผลที่ตามมา
ขณะที่ เซธ โรเกน (Seth Rogen) นักแสดงตลกชาวแคนาดา และโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์แนวตลกเสียดสีหลายเรื่อง เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า “เรื่องตลกบางเรื่องก็ตกยุคไปแล้ว กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ สำหรับเรามันไม่คุ้มค่าที่จะพูดถึงเรื่องนี้อีก”
อ้างอิง
- Independent. Rowan Atkinson says ‘every joke has a victim’ while criticising cancel culture in comedy. https://bit.ly/3N3ZUTr
- IndieWire. Rowan Atkinson Says Cancel Culture Is Hurting Comedy: ‘Every Joke Has a Victim’. https://bit.ly/3N7LP7F