“เราทำงานเรื่องเสียง สิ่งที่เราต้องทำคือทำให้คนเดินออกจากโรงมาแล้วพูดถึงหนังเยอะๆ” คุยกับ อ๊อฟ-วุฒิพงศ์ ลี้ตระกูล Music Composer แห่ง RedLife ผู้ถ่ายทอดบรรยากาศของชีวิตที่ไร้ทางออกผ่านเสียงดนตรี
หลายคนน่าจะรู้จัก ‘อ๊อฟ-วุฒิพงศ์ ลี้ตระกูล’ ในฐานะมือกีตาร์แห่งวง Desktop Error ทว่าน้อยคนอาจยังไม่รู้ว่าเขายังเป็น Music Composer มือดีให้กับภาพยนตร์ไทยระดับรางวัลหลายเรื่องด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น 36, เพลงของข้าว และล่าสุด ‘RedLife’
ด้วยความที่แบ็กกราวด์ของอ๊อฟเติบโตมาในชุมชนแออัดเหมือนอย่างในหนัง มันจึงไม่แปลกที่เขาจะเชื่อมโยงกับเรื่องราวของ RedLife ได้อย่างไม่ยากนัก แต่ถึงอย่างนั้น การจะสร้างสรรค์ดนตรีที่สะท้อนบรรยากาศและความอึดอัดที่ตัวละครต่างๆ ในหนังต้องรับมือ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
เราอยากชวนคุณไปพูดคุยกับอ๊อฟถึงบทบาทของเขา ในฐานะ Music Composer ของ RedLife รวมถึงความท้าทายในการสร้างสรรค์ดนตรีอันทรงพลัง ที่คว้าจับมวลอารมณ์อันอึดอัดและไม่มีที่ไปของภาพยนตร์เรื่องนี้
หลายคนรู้จักคุณในฐานะนักดนตรี แต่อาจยังไม่ค่อยรู้จักคุณในฐานะ Composer นัก เล่าให้ฟังหน่อยว่า ช่วงแรกที่คุณเริ่มก้าวเข้ามาทำดนตรีให้กับภาพยนตร์ ยากไหม
ยากครับ เพราะว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้เรียนจบด้านดนตรีมาเลย เราเรียนด้านศิลปะมา ซึ่งพอมาทำงาน composer มันก็เป็นคนละศาสตร์กันโดยสิ้นเชิง โอเคว่าเราชอบดูหนัง ชอบดนตรี มันเลยพอจะสอดคล้องกันไปบ้าง แต่พอเริ่มมีเรื่องเทคนิคเข้ามาเกี่ยวข้องมันก็ยากขึ้น
แล้วคุณมาเริ่มสนใจเสียงของหนังได้อย่างไร
เรามาสนใจเสียงของหนังตอนเริ่มเล่นดนตรี เริ่มรู้สึกว่าชอบเพลงในหนังและอยากลองทำเพลงในหนังดู ซึ่งตอนนั้นมันก็ถือว่าเป็นความฝันเล็กๆ นะ อย่างเพลงของ ‘In the Mood for Love’ ของหว่องกาไว มันก็ตราตรึงมากๆ หรืออย่างซาวด์ที่ใช้ของหนังผีเกรดบียุคเก่าๆ ประเภทกดโน้ตตัวเดียวเราก็ชอบ มันเท่ดี
เมื่อต้องมาเป็นคนทำซาวด์ภาพยนตร์เสียเอง คิดว่าความแตกต่างระหว่างการเป็นนักดนตรีกับ Film Composer คืออะไร
มันคนละแบบกันเลย แต่มันก็ขึ้นอยู่กับชิ้นงานแต่ละชิ้นด้วย เพราะว่าผู้กำกับแต่ละคนก็จะมีสไตล์และวิธีการทำงานแตกต่างกันไป อย่างบางคนจะชอบให้เราสร้างซาวด์ขึ้นมาเองเลย ซึ่งสำหรับเราการทำงานแบบนี้มันก็ง่ายหน่อย เพราะแปลว่าผู้กำกับเขาน่าจะชอบอะไรบางอย่างในสไตล์เพลงของเราอยู่แล้ว ก็เลยอยากลอง
ถามว่าการทำซาวด์ให้กับภาพยนตร์กับการทำอัลบั้มเพลงมันต่างกันยังไง เราคิดว่าการทำอัลบั้มมันยาก เพราะวงเรามี 5 คน การทำงานร่วมกับหลายๆ คนมันย่อมจะยากกว่าอยู่แล้ว ในขณะที่ถ้าเป็นเพลงสำหรับหนัง หากเราเข้าใจหนังเรื่องนั้นๆ ก็จะทำเพลงได้เร็วและง่ายเลย
ก่อนที่คุณจะเริ่มออกแบบซาวด์ให้กับภาพยนตร์แต่ละเรื่อง คุณมีกระบวนการทำความเข้าใจหนังเรื่องนั้นๆ อย่างไร
หลักๆ คือการได้อ่านบทและได้พูดคุยกับผู้กำกับ ซึ่งมันจะช่วยให้เห็นคาแรกเตอร์ของผู้กำกับแต่ละคน ได้เข้าใจรสนิยมของเขา อีกอย่างคือพอเราได้ดูหนังมันก็จะช่วยให้เห็นภาพชัดขึ้น
แล้วในกระบวนการการทำเพลงของหนังเรื่องหนึ่ง คุณใช้เวลากับมันนานแค่ไหน
บางเพลงที่อยู่กับมันนานๆ ก็มี แต่บางเพลงที่ใช้เวลาแค่สามชั่วโมงแล้วเวิร์กมากๆ ก็มีเหมือนกัน ซึ่งพอเราทำเสร็จแล้วก็จะเก็บไว้ก่อน ยังไม่รีบส่ง เดี๋ยวเขาหาว่าเราขี้เกียจ (หัวเราะ) แต่จริงๆ ที่มันเร็วเพราะว่าพอมันมามันก็มาเลย แต่จริงๆ วิธีการทำเพลงของเราก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แหละ แล้วแต่เรื่องมากกว่า
แล้วกับเรื่อง RedLife ล่ะ ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าคุณคุยกับผู้กำกับอย่างไรบ้าง
ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้รู้จักพี่ลักญ (เอกลักญ กรรณศรณ์) มาก่อน พอเขาบอกว่า นี่เป็นหนังเรื่องแรกเราก็ตื่นเต้นนะ ซึ่งเขาก็เล่ารายละเอียดต่างๆ ให้ฟัง เพียงแต่ก็ต้องบอกก่อนว่า จริงๆ แล้วเราค่อนข้างเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับหนัง RedLife เพราะเราเกิดในชุมชนแออัด เหตุการณ์ต่างๆ ในหนังมันเลยไม่ได้แปลกแยก เพราะเราเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ อยู่แล้ว กับหนังเรื่องนี้เราเลยค่อนข้างจะจูนได้ง่าย
ตอนที่คุณได้ดู RedLife ครั้งแรก คุณรู้สึกอะไร
รู้สึกว่าพี่ลักญลงไปลึกจริงๆ เพราะภาพในหนังมันก็เหมือนกับที่เราเคยเห็นมาจริงๆ แล้วนักแสดงก็ดูเข้าใจตัวละครที่เล่นด้วย
แล้วเมื่อดูจบ คุณนึกถึงซาวด์แบบไหน
จริงๆ พี่ลักญเขาก็มีซาวด์ที่ชัดเจนอยู่แล้วในหัวนะ เพียงแต่กว่าที่จะเอาออกมาได้มันต้องใช้เวลาจูนนานหน่อย RedLife น่าจะเป็นหนึ่งในงานที่เราใช้เวลานานอันดับต้นๆ เลย โหดนะ แต่ก็สนุกมาก ซึ่งเราก็ใช้วิธีทำไปเลย 10-20 เพลง แล้วให้ทีมไปเลือก
อยากให้คุณลองอธิบายว่าหนังเรื่อง RedLife มีซาวด์แบบไหน
แรกๆ เลยคือเขาอยากให้มันมีความน้อย เป็น ambient ที่มีความอึมครึม ไม่ได้บิลด์อะไรมาก ซึ่งซาวด์ที่เราออกแบบถ้าเป็นฉากที่มีบทสนทนาเราก็พยายามไม่ให้เสียงเข้ามากวน แต่พยายามสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกว่ากำลังโดนกดอยู่ตลอดเวลา เหมือนว่าเราอยู่ใต้น้ำ ให้ความหนักอึ้ง ในขณะที่เสียงของหนังซึ่งพี่ริศ (อัคริศเฉลิม กัลยาณมิตร) เป็นคนออกแบบก็จะมีเสียงของรถและสิ่งต่างๆ รอบตัวอยู่ตลอด ไม่เคยเงียบ ไม่เคยอยู่ในความสงบ เราก็เลยพยายามจะออกแบบเพลงให้คลอไปกับบรรยากาศเหล่านั้น
ทำไมคุณจึงเลือกออกแบบซาวด์ของหนังเรื่องนี้ให้รู้สึกถึงการถูกกดตลอดเวลา
ก็ด้วยระบบสังคมและการเมืองนั่นแหละ กับคอนเซ็ปต์ของหนังที่พี่ลักญเล่าให้ฟัง นั่นคือชีวิตที่มันวนเวียนอยู่กับที่ และหาทางออกไม่ได้ ชีวิตที่ไม่สามารถหลุดพ้นออกไปได้ถ้าไม่มีใครมาฉุดให้ออกไปจริงๆ อีกอย่างคือ มันเป็นเรื่องของการศึกษาด้วยนะ กับเรื่องคุณภาพชีวิตที่มันห่วย ซึ่งคนที่อยู่ที่นั่นเขาไม่ได้มีเวลามานั่งคิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงประเทศหรอก เพราะลำพังแค่การหาเช้ากินค่ำมันก็เป็นเรื่องยากแล้ว
ด้วยความที่คุณเป็นคนที่คุ้นเคยกับแบ็กกราวด์ของหนังมาก่อน อยากรู้ว่าการมีประสบการณ์ร่วมบางอย่าง ช่วยให้การทำงานของคุณกับหนังเรื่องนี้ง่ายขึ้นไหม
มันก็ช่วยให้เราเข้าใจหนังตั้งแต่แรก ซึ่งเราก็อยากให้หนังมันได้ออกไปให้คนได้ดูก็ยังดี ว่ามันมีโลกแบบนี้อยู่ เราแอบตกใจที่ได้รู้ว่ามีคนมากมายที่ไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมกับเรื่องพวกนี้ เหมือนสิ่งที่เราเห็นตั้งแต่เด็ก เราก็เข้าใจว่ามันคือเรื่องปกติที่คนทั่วไปเขารู้ แต่มันกลับเป็นเหมือนโลกแฟนตาซีของคนอีกกลุ่มหนึ่ง เลยทำให้เราเข้าใจว่า ช่องว่างระหว่างชนชั้นมันห่างกันจริงๆ
คุณอยากให้ซาวด์ที่คุณสร้างให้กับ RedLife สร้างความรู้สึกแบบไหนให้กับคนดู
เรามีความเชื่อที่ว่าไม่อยากให้ตัวเพลงมันเด่นกว่าหนัง ไม่ชอบเวลาที่คนออกมาจากโรงแล้วบอกว่าเพลงดีแต่ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับหนังเลย เพราะมันผิดจุดประสงค์ไปมากๆ
เราทำงานเรื่องเสียง ทำงานเป็นคนเบื้องหลัง สิ่งที่เราต้องทำคือทำให้คนเดินออกจากโรงมาแล้วพูดถึงหนังเยอะๆ ถกกันเรื่องประเด็นของหนัง เพราะซาวด์น่ะมันไม่จำเป็นต้องพูดถึงก็ได้ แต่เราอยากให้คนดูรู้สึกว่า พระเอกจริงๆ คือหนัง นี่แหละคือหน้าที่ของคนทำเพลงประกอบในมุมมองของเรา