“ทุกอย่างที่ทำให้ผมมาเป็นผมทุกวันนี้ได้ มันคือคำว่า ‘โอกาส’ ” ‘เจเจ’ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม ตัวตนบนความแปลกแยก และโอกาสสำคัญในการแสดงหนัง ‘แสงกระสือ 2’
เราอาจจะรู้จักตัวตนของ เจเจ กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม ในฐานะนักแสดงขวัญใจวัยรุ่น หรือในบทบาทเจ้าของค่ายบันเทิงเลือดใหม่ไฟแรง QOW Entertainment ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ตัวตนอีกด้าน นั่นคือการทุ่มเทให้การแสดง สำหรับเจเจแล้ว ภายใต้ชื่อเสียงอันโด่งดัง อาจจะบดบังความสามารถในการแสดงอยู่ กระทั่งได้รับโอกาสในการโชว์ทักษะการแสดงในหนังเรื่องล่าสุด ‘แสงกระสือ 2’ ที่รับบทชายเผือกผู้แปลกแยก ทำให้เขาต้องศึกษาอาการของโรคผิวเผือก Albino อย่างหนักเพื่อแสดงหนังเรื่องนี้ มาทำความรู้จักตัวตนของเขาได้ ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้
จุดเริ่มต้นของการมาแสดงในหนัง ‘แสงกระสือ 2’ เป็นอย่างไร
ทีมของทางทรานสฟอร์เมชั่นติดต่อมา ว่าจะมีโปรเจกต์ ‘แสงกระสือ 2’ ผมก็เลยสนใจ เพราะว่าเห็นภาค 1 เขาทำไว้ดีมาก ค่อนข้างดีมากๆ และกระแสตอบรับก็ดีมาก ก็เลยรู้สึกว่าน่าลอง จนพอถึงวันที่ไปแคสต์ ก็มีโอกาสได้นั่งคุยกับพี่ๆ เรื่องของคาแรกเตอร์คล้าวที่ผมได้รับ รวมถึงไดเรกชั่นของหนังด้วย ก็คิดว่าน่าสนใจเลยรับเล่นครับ
ในแสงกระสือ 2 เจเจรับบทเป็นอะไร
ผมรับบทเป็นคล้าวครับ คล้าวจะเป็นคนที่ค่อนข้างเก็บตัว มีความอินโทรเวิร์ต ไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน เพราะว่าเขาจะถูกกีดกันจากคนในสังคม จากอาการของโรคผิวเผือก Albino ซึ่งก็คือจะเผือกทั้งตัว เลยทำให้เขาออกไปข้างนอกไม่ได้ โดนแสงจัดๆ ไม่ได้ รวมถึงพอมันเกิดในยุคอดีตปุ๊บ ก็เลยทำให้คนยังไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร ทุกคนจะมองว่าแปลก
ทราบมาว่า เจเจได้ทำการบ้านอย่างหนักในเรื่องของการหาข้อมูลของ Albino หรือสภาวะผิดปกติทางด้านพันธุกรรมด้วย
ครับผม คือพอเป็นเรื่อง Albino มันค่อนข้างไกลตัวเรามาก เราก็พยายามรีเสิร์ชหาข้อมูล ข้อมูลมันก็มีน้อยมากๆ ก็เลยทำให้เรายิ่งอยากศึกษาข้อมูลของความเป็นผิวเผือกมากยิ่งขึ้น ที่เหลือเราก็ไปลงลึกกับพวกคาแรกเตอร์ ก็มีการเวิร์กร่วมกันระหว่างผม พี่ดี้ (ปภังกร ปุญจันทรักษ์ – ผู้กำกับ), แอ็กติ้งโค้ช แล้วก็พี่นิ้ง (ชัญญา แม็คคลอรี่ย์) ครับ
เท่าที่จำได้ โรคผิวเผือก เหมือนจะมีช่วงชีวิตสั้นกว่าคนอื่นด้วยใช่ไหม
ใช่ๆ ครับ จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ ออกแดดก็ไม่ได้ผิวจะไหม้ค่อนข้างง่ายครับ แล้วก็ดวงตาก็จะไม่ปกติเวลาแสงมันจ้าๆ อะไรแบบนี้
พอรีเสิร์ชข้อมูลแล้วเราได้เอามาปรับใช้กับการแสดงด้วยวิธีไหนบ้าง
ก็จะเป็นเรื่องภาษาทางร่างกายครับ อย่างเช่นสมมติว่ามีซีนที่จะต้องออกแดด ด้วยความที่คาแรกเตอร์ในเรื่องมันจะใส่เสื้อแขนยาวซะเป็นส่วนใหญ่ เราก็จะปกปิดมากกว่าเดิม เพราะหนึ่งคือเราจะปกปิดไม่อยากให้โดนแสงด้วย สองคือคนมองว่าเราแปลก เราก็จะมีความเก็บๆ อะไรบางอย่าง
ในขณะที่กระสืออาจจะเป็นเรื่องแต่งก็ได้ แต่คนเผือกกลับถูกตั้งแง่ว่าเป็นคนแปลกแยกในชีวิตจริง เจเจมีมุมมองอย่างไรบ้าง
คือความสัมพันธ์ของสาวกับคล้าวในเรื่องเนี่ย ด้วยความที่คล้าวเป็น Albino ใช่ไหมครับ ส่วนสาวเป็นกระสือ มันเลยทำให้ต่างคนต่างรู้สึกว่าตัวเองแปลกจากคนอื่น แล้วก็เอาตัวเองออกมาจากสังคม มันเลยทำให้จุดนี้เป็นจุดเชื่อมโยงกันระหว่างสาวกับคล้าวที่มันเกิดความเข้าใจกันในส่วนนี้ขึ้น เลยทำให้ความสัมพันธ์มันพัฒนาไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นความรัก
แปลว่าหนังเรื่องนี้ ก็เป็นหนังที่มีกลิ่นของความโรแมนติกอยู่เยอะ
ใช่ครับ…โรแมนติก ซึ่งหลายคนก็จะถามว่าแสงกระสือน่ากลัวไหม เป็นหนังผีหรือเปล่า จริงๆ แล้วการตีความไม่ว่าจะเป็นแสงกระสือภาคแรกหรือมาภาคนี้ มันจะ based on โรแมนติก มันก็เลยทำให้คนเข้าใจง่าย จับต้องได้ง่าย รวมถึงในภาคนี้พี่ดี้เขาเลือกใช้วิธีการที่ตีความกระสือเป็นแบบอสูรกายเป็นปรสิตมากกว่า มันก็จะมีเรื่องของการแพทย์ เรื่องของวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวเนื่องด้วย ผมก็เลยรู้สึกว่าในภาคนี้มันจับต้องง่ายกว่าเดิมว่า ทำไมกระสือถึงเป็นกระสือแบบนี้
จากความสำเร็จของหนังภาคแรก เจเจมีความกดดันไหมในการมารับเล่นภาค 2
จริงๆ ก็ไม่นะครับ ไม่เชิง เพราะว่าคือเรื่องมันมีความต่อเนื่องกันที่ตัวละครของน้อย ที่รับบทโดยพี่น้อย (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) จากภาคแรกเท่านั้น ที่เหลือมันแทบจะเกือบเป็นคนละเรื่องกันเลย
ที่บอกว่าเกือบๆ เป็นคนละเรื่องกันเลย พอจะบอกแบบไม่สปอยล์ได้ไหมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร
คือผมว่า ถ้ามองในฐานะผู้ชม ผมรู้สึกว่าภาคนี้มันจะมีความอาร์ตมากกว่า คือเรื่องของอาร์ตไดเรกชั่น เรื่องของบท เรื่องของการวางเฟรม ผมรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่มีความซีเนมาติกสูงมาก แต่ละช็อตมีความหนังอาร์ตเบาๆ จากความเป็นพี่ดี้ฮะ
การร่วมงานกับพี่ดี้เป็นอย่างไรบ้าง
ก็..ง่ายกว่าที่คิดครับ เพราะว่านี่เหมือนเป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้เจอกับพี่ดี้ แล้วช่วงแรกๆ ก็มีความเกร็งๆ เหมือนกัน แต่ว่าพอพี่ดี้เขาเป็นผู้กำกับที่เขามีภาพที่ชัด แล้วผมก็เป็นนักแสดงที่เวลาเวิร์กก็จะเวิร์กร่วมกับผู้กำกับ จะถามความต้องการของผู้กำกับแล้วก็ blend ความต้องการของตัวเองให้เข้ากัน มันเลยทำให้ง่ายต่อการทำงาน
พี่ดี้บอกไหมว่าทำไมเลือกเรามาแสดง
ไม่ได้บอก ไม่เคยถามด้วย คือลุ้น คือ…ด้วยความที่คาแรกเตอร์ของเรื่อง มันมีความแตกต่างจากตัวผม น่าจะมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเล่นมาแล้ว มันเลยมีบางจุดที่ผมก็มีความไม่แน่ใจเหมือนกัน แม้แต่ตอนที่ไป ADR (Additional Dialogue Recording – การพากย์ซ่อมในห้องอัดเพิ่มเติม) ไปลงเสียง ผมก็รู้สึกว่าแปลกๆ แบบผมไม่แน่ใจว่าผมเลือก choice แอ็กติ้งถูกหรือเปล่า ณ ตอนที่เล่นไป แต่ว่า…ผมก็เชื่อพี่ดี้ครับ แบบยังไม่เห็นภาพรวมทั้งหมด แต่คิดว่าอยากให้มันออกมาดี
ขอโฟกัสตรงความแตกต่างของตัวเจเจกับตัวคล้าวมากๆ มันแตกต่างกันตรงไหนบ้าง
ผมว่ามันแตกต่างตั้งแต่ภายนอกจนไปถึงข้างในเลยครับ หมายถึงตัวผมจะเป็นคนที่ค่อนข้างเอนจอย คือมุมของคล้าวจะเก็บตัว แต่ว่าเราจะชอบอยู่กับคนมากกว่า และก็เป็นคนที่ชอบเปิดเผยแบบสุดๆ ผิดกับคล้าวที่มีอะไรก็จะเก็บเงียบไม่พูด
การรายล้อมด้วยนักแสดงสายฝีมือหนักหน่วง จัดจ้าน เป็นอย่างไรบ้าง กดดันไหม
ถ้าเป็นเวย์นี้ ก็กดดันครับ หมายถึงพอเราจะต้องเล่นกับนักแสดงที่เก่งๆ มันจะมีความเกร็ง จะมีความ push อะไรบางอย่าง ให้เราอยากจะทำให้มันเท่ากัน เพื่อที่จะไม่ให้มวลของหนังเสีย มันก็ดี ผมว่ามันก็เป็นความกดดันตรงนั้น
เป็นการแข่งขัน หรือเป็นการช่วยส่งเสริมกันและกัน?
ผมว่าเป็นมุมที่ส่งเสริมกันและกัน และก็เราไม่อยากให้เราเป็นตัวถ่วงทีมมากกว่า พอเป็นหนังที่มีนักแสดงเยอะแบบนี้ แต่ละตัวละครมันมีความเชื่อมโยงกันปุ๊บ เราต้องทำให้ได้ดีเพื่อที่จะส่งกันและกัน
กับนักแสดงที่แสดงร่วมกัน มีการแนะนำหรือเพิ่มอะไรให้กับตัวเราบ้าง
คือผมได้เข้าซีนกับพี่นิ้งเยอะที่สุด ก็คือเราไม่ได้นั่งคุยกันว่าแบบนั่นนู่นนี่นะ แต่ผมก็จะเรียนรู้และสังเกตจากเขาเวลาทำงาน ได้อะไรเยอะมากครับ คือด้วยความที่ ทั้งพี่นิ้งกับพี่เอม (ภูมิภัทร ถาวรศิริ) จะเป็นนักแสดงที่เป็นสายกระโจนครับ สายกระโจนในที่นี้หมายถึงว่าเวลาที่เขาเล่นเขาจะเชื่อ 100 เปอร์เซ็นต์ ทำ 100 เปอร์เซ็นต์ ตรงนั้นผมว่ามันก็เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำให้ได้เหมือนกัน เพราะบางทีพอเวลาที่ผมเล่นหรือผมแสดง ผมจะมีภาพบางอย่างในหัวที่ผมคิดมาแล้ว ตอนที่ท่องบทอ่านบท ผมจะเป็นสายที่ชอบตีความ ชอบคิดภาพตาม มันเลยทำให้บางทีการแสดงของเรามันอาจจะไม่ค่อยหลากหลาย หรืออาจจะต้องใช้เวลาค่อนข้างเยอะในการปรับจูน แต่ว่าสำหรับพี่นิ้งหรือว่าพี่เอมเขาเป็นสายกระโจน 100 เปอร์เซ็นต์ มันเลยทำให้เกิดเมจิกอะไรบางอย่างในการแสดงขึ้นมาได้ค่อนข้างบ่อย มันก็เลยเป็นเวย์ที่อยากทำให้ได้แบบนั้น แต่ว่าพอเราทำงานมานานแล้วก็เรียนหนังด้วย มันเลยมีบางจังหวะที่ผมเข้าซีนหรือว่าเล่นกับพี่นิ้ง พี่น้อย หรือว่าพี่ปีเตอร์ (นพชัย ชัยนาม) บางทีเราจะชอบผลักตัวเองออกมาเป็นบุคคลคนที่สาม แล้วก็มองเขาแสดง มันจะชอบจะมีเหตุการณ์แบบนี้
ในฐานะที่เจเจเติบโตมาจากสายนักแสดงวัยรุ่น คนบางกลุ่มมักบอกว่า “ขายเสน่ห์มากกว่าขายฝีมือ” มันเป็นแรงกดดันหรือแรงผลักดันให้พิสูจน์
ก็ไม่กดดันขนานนั้นนะครับ หมายถึงว่าทุกวันนี้ที่ผมทำอยู่ เพราะว่าผู้ใหญ่หยิบยื่นโอกาสมาให้ เราก็อยากทำตรงนั้นให้มันดีที่สุด บางทีถามผมว่าผมอยากเล่นบทที่มันดีๆ หรือว่าแปลกๆ ไหม ผมก็อยากเล่นนะ แต่ว่ามันยังมาไม่ถึงผม อืม…เรื่องแสงกระสือ 2 นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ผมรู็สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ในเรื่องของการพิสูจน์ตัวเองในเรื่องของสกิลการแสดง แต่ว่าพอเราได้เล่น ได้ทำมันจริงๆ แล้ว สุดท้ายแล้วการทำงานมันไม่ใช่ต้องใส่สุดในบทนี้ ผมว่ามันเป็นเรื่องขององค์รวมของหนัง แล้วก็คาแรกเตอร์ของหนัง ไม่ใช่ว่าเวย์ที่ผมจะเล่นยังไงให้ออกมาดีที่สุด แต่ว่าผมจะเล่นยังไงให้หนังมันออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด มันเป็นเวย์นั้นมากกว่า
ที่บอกว่าเรียนภาพยนตร์มา พอจะเลือกได้หรือยังว่าอยากอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังมากกว่า
จริงๆ ไม่เคยคิดเลยครับ ผมได้มาทำเบื้องหลังมากขึ้นตอนที่เปิดบริษัทเอง เราได้มีจัดสรรโปรดักชั่นตอนที่ทำพวกโฆษณานู่นนั่นนี่ ผมก็รู้สึกว่าเป็นอีกพาร์ทหนึ่งที่สนุก มันก็เป็นคนละเรื่องเลยกับการที่ทำงานเบื้องหน้า ผมเลยรู้สึกว่าผมสนุกกับการเรียนรู้ครับ ไม่ถึงกับเราจะทิ้งเบื้องหน้าไปทำเบื้องหลังเลย เราก็คงทำทั้งสองอย่างถ้ามันมีโอกาสเราก็คงทำทั้งสองอย่าง
เจเจพูดว่าถ้าใครพร้อมจะมอบโอกาส เจเจจะใช้โอกาสนั้นทำให้ดีที่สุด นั่นหมายความว่าเจเจมีสิ่งที่อยากทำแต่ต้องรอโอกาส?
เอ่อ…คือผมรู้สึกว่า ทุกอย่างที่มันทำให้ผมมาเป็นผมทุกวันนี้ได้ มันเป็นคำว่าโอกาสครับ ผมเกิดและโตที่เชียงใหม่ ผมไม่เคยคิดว่าผมมานั่งคุยกับพี่วันนี้ หรือว่าพรุ่งนี้ผมจะต้องไปถ่ายโฆษณา อีกวันนึงผมต้องไปต่างประเทศ ผมไม่เคยคิดว่าผมจะมีชีวิตแบบทุกวันนี้ ทุกอย่างที่ทำให้ผมมาทุกวันนี้ ผมว่ามันก็เป็นโอกาส คือผมเป็นคนที่โชคดีที่มีคนหยิบยื่นโอกาสให้ เสร็จแล้วพอผมเอาโอกาสนั้นมาต่อยอดแล้วก็ทำให้มันดีที่สุด มันก็เลยกลายเป็นว่ามีคนเห็น และก็มีคนหยิบยื่นโอกาสให้ผมเพิ่มเติม ผมทำๆๆ มาเรื่อยๆ จนมาถึงทุกวันนี้
ถ้าลองเทียบกับนักแสดงที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน เจเจคิดว่าตัวเรามีความแปลกแยกหรือแตกต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง
โอ้โห…อันนี้ผมไม่แน่ใจเหมือนกันครับ แต่ผมรู้สึกว่า ถ้าอย่างเช่นเราได้บทที่ได้โชว์ฝีมือในด้านการแสดงที่เราคุยกันไปเมื่อกี๊ คือผมรู้สึกว่า การที่เราจะมีความยูนีค…ไม่ใช่สิ เราทุกคนมีความยูนีคกับตัวอยู่แล้ว ผมเชื่อว่าการทำคาแรกเตอร์ มันไม่สามารถเปลี่ยนตัวเราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงว่าแม้แต่คาแรกเตอร์ตัวละครตัวหนึ่ง มันจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นตัวเราเข้าไปผสมด้วย สมมติว่าในเรื่องแสงกระสือ 2 นะครับ ถ้าผมสลับบทกับพี่น้อย พี่น้อยเล่นเป็นคล้าว ผมเล่นเป็นพี่น้อย ผมอาจจะเล่นเป็นพี่น้อยได้ไม่ดีเท่าพี่น้อย หรือว่าพี่น้อยอาจเล่นเป็นคล้าวได้ไม่ดีเท่าผม คือด้วยความยูนีคมันอยู่ที่ตัวแต่ละคนอยู่แล้ว แล้วก็อยู่ที่ว่าบทนั้นมันเข้ามือเราขนาดไหน แล้วมันส่งเราขนาดไหนมากกว่า ผมว่าความแตกต่างมันเป็นตรงนี้แหละ นักแสดงแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน
กับวงการหนังไทยตอนนี้ เจเจรู้สึกอย่างไรบ้าง
ผมรู้สึกว่าทุกคนตั้งใจที่จะผลักดันหนังไทยอยู่แล้ว ผมเรียกว่าทุกภาคส่วนแล้วกัน พี่ๆ ที่เป็นคนทำหนังหรือว่าคนที่อยู่ในทีมโปรดักชั่น ในปีถึงสองปีที่ผ่านมาอย่างที่เราเห็นว่าเกิดการรณรงค์ทำงานในกรอบ 12 ชั่วโมง หรือว่าเรื่องของระบบลำดับขั้นในกองถ่าย ผมรู้สึกว่าทุกคนพยายามจะผลักดัน และก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงวงการหนังไทย ไม่ใช่แค่เรื่องของการฉายหนังอย่างเดียว แต่เป็นระบบภายใน ที่ทุกคนก็พยายามจะเปลี่ยนแปลงกันอยู่ อย่างเช่นรอบฉายหนัง อย่างที่เราเห็นข่าวกัน ผมก็ไม่รู้ระบบว่ามันเป็นยังไง แต่ผมรู้สึกว่า วงการหนังไทยถ้ามันจะดีได้ ก็คือเราต้องช่วยกันซัพพอร์ตกัน ทำผลงานให้มันออกมาดี ถ้าสมมุติว่าหนังมันดีปุ๊บ เดี๋ยวคนก็จะเข้าไปดูในโรงแล้วก็จะเกิดการบอกต่อ โรงหนังก็ควรจะสนับสนุนอีกเวย์นึง รัฐบาลก็ควรจะสนับสนุนด้วย สิ่งเหล่านี้ผมว่าคนกลุ่มเดียวทำกันเองไม่ได้ แค่คนกลุ่มเดียวแล้วจะสนับสนุน แล้วจะขับเคลื่อนมันได้ยังไง มันต้องคนหลายๆ กลุ่มมาช่วยกัน