“วิถีคาวบอยชรามันลึกซึ้งสวยงามนะ” วรพจน์ พันธุ์พงศ์

19 Min
3101 Views
12 Aug 2022

ครั้งหนึ่งเคยมีคนถาม หลุยส์ ลามูร์ เจ้าพ่อนวนิยายคาวบอยอเมริกันว่า อะไรคือลักษณะเด่นของชาวตะวันตก

“คนตะวันตกมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก เขาจะดำเนินชีวิตบนเส้นทางที่เขาเลือกเองเท่านั้น”

คำตอบที่ชัดเจนชวนให้นึกถึงคาวบอยผู้เด็ดเดี่ยวกำลังควบม้าไปในทุ่งกว้าง ท่ามกลางแสงตะวัน

วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ไม่ใช่ชาวตะวันตก ไม่เคยคิดฝันอยากขี่ม้าควงปืนไปยิงกับใคร แต่เขาชอบภาพคาวบอยบนหลังม้า สายตามองตรงอย่างแน่วแน่ แม้ไม่รู้ว่ามีอะไรรอคอยอยู่ข้างหน้า —มันก็เท่ดีเหมือนกัน

อิสระ มั่นใจ ไร้ซึ่งความกลัว

เป็นความรู้สึกเดียวกับเมื่อ 20 ปีที่แล้ว หลังจากวรพจน์ตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็นนักเขียนอาชีพเต็มตัว

‘เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง’ (2545) คือหนังสือเล่มแรกในชีวิตการเป็นนักเขียนของเขา ประกอบด้วยความเรียง บทสัมภาษณ์ และสารคดี 8 ชิ้น ที่บันทึกเรื่องราวของยุคสมัยผ่านคนหนุ่มสาวหลากหลายอาชีพ ตั้งแต่หมอนวดในตู้กระจก นางแบบแคทวอล์ค นักท่องเที่ยวบนถนนข้าวสาร ร็อคสตาร์ เกย์ วัยรุ่นสายเดี่ยวสยามสแควร์ จนถึงศิลปินวาดภาพนู้ด

หนังสือเล่มนี้ขายดีติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ พิมพ์ซ้ำภายใน 3 เดือนแรก สร้างแรงกระเพื่อมในวงการน้ำหมึก และเปลี่ยนชีวิตใครหลายคน รวมทั้งตัววรพจน์เองด้วย

เริ่มต้นจากสีสันราตรีบนถนนรัชดาภิเษก ใจกลางเมืองหลวง สู่โลกกว้างภูธร บุกเบิกพงไพรในผืนป่าตะวันตก เยือนกระท่อมศิลปินเชียงใหม่ ฝ่าควันปืนเสียงระเบิดในสามจังหวัดชายแดนใต้ ลัดเลาะฝูงชนในม็อบที่แยกราชประสงค์ กรำแดดกรำฝนมา 29 ปี บนเส้นทางสื่อมวลชน มีหนังสือของตัวเองมาแล้ว 26 เล่ม

วันนี้ในวัยย่างเข้า 52 วรพจน์แลนดิ้งชีวิตของเขาบนผืนดินสงบเชิงเขาที่จังหวัดน่าน ยังคงเขียนหนังสือ เดินทาง สัมภาษณ์ผู้คน ในฐานะผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการ ‘nan dialogue’ สื่อน้องใหม่ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะให้เป็นปากเสียงผู้คนท้องถิ่น

ปีนี้ครบรอบ 20 ปี ของ ‘เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง’ พิมพ์ครั้งที่ 5 โดยสำนักพิมพ์สมมติ ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ถูกตอกลงบนเส้นทางนักเขียนอย่างเต็มตัว

เราชวนวรพจน์ย้อนรำลึกถึงความรู้สึกในวันที่เขาถูก ‘เปิดซิง’ ทางอาชีพทันทีที่พ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกออกจากโรงพิมพ์ การตัดสินใจออกจากงานประจำมาเป็นนักเขียนอิสระ ความกังวลและความมุ่งมั่นต่อชะตาชีวิตที่เลือกเอง บทเรียนที่ได้จากการสัมภาษณ์ในระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ และความสุขของคาวบอยชราที่ยังควบม้าโลดแล่นอยู่ในทุ่งอักษร

ช่วงที่ออกพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรก ตอนนั้นทำอะไรอยู่

เป็นกอง บ.ก. นิตยสาร GM รับผิดชอบทำสัมภาษณ์ประจำฉบับ ทำสารคดี ตอนนั้นเราอายุ 31 ปีหน่อยๆ เป็นช่วงที่ทำอะไรก็มันไปหมด วงการแมกกาซีนเฟื่องฟูมาก คนหนุ่มสาวในปีกนิเทศศาสตร์ สังคมศาสตร์ มุ่งหน้าสู่ถนนสายสื่อสารมวลชน

โดยเฉพาะแมกกาซีน เรียกว่ามีเป็น 100 หัว เอาแค่วงการรถยนต์อย่างเดียว เราว่ามีนิตยสารรถยนต์เกิน 30 หัว วงการตกแต่งบ้านนี่ยังไงก็มี 20-30 หัว นิตยสารผู้หญิงนี่แบบ 70 หัวได้มั้ง ไหนจะนิตยสารเพลง นิตยสารภาพยนตร์ เราว่าก็มี 30 หัว ถึงขนาดว่านิตยสารเกี่ยวกับไก่ แม่งยังแยกเป็นไก่ชน ไก่ไข่ หรือนิตยสารฟุตบอล มันไม่ใช่แค่ฟุตบอลสยาม แต่มีฟุตบอลโลก มีบอลอังกฤษ บอลอิตาลี แถมยังออกเป็นเล่มพิเศษอีก แมนฯ ยูฯ ลิเวอร์พูล ฯลฯ เรียกว่าโคตรเฟื่องฟู ถ้าอยากเสพข่าวสาร สมัยนี้ก็แค่เปิดมือถือ แต่ พ.ศ. นั้นคุณต้องเดินไปร้านหนังสือ เปิดหนังสืออ่าน ไม่งั้นคุณจะดูผ่านอะไรล่ะ ทีวีก็มีไม่กี่ช่อง เคเบิลทีวีก็ยังมีน้อย คำว่าอินเทอร์เน็ตนี่แทบจะยังไม่มีใครพูดถึง

บรรยากาศโดยรวมก็เหมือนเป็นใจ ทั้งอายุ สถานที่ทำงาน เศรษฐกิจก็ดี มันคึกคักไปหมดเลย ตัวเราก็วิ่งคลั่งบ้าเหมือนม้าหนุ่ม เพราะสนุกกับการค้นพบตัวเอง เจองานที่ใช่ เพื่อนพี่น้องในแวดวงก็อยู่ในรุ่นๆ สามสิบ เรียกว่ากำลังสด

คนทำแมกกาซีนสมัยนั้นเท่ไหม

ดาราอะ (หัวเราะ) เหมือนเป็นไอดอล เมื่อก่อนคำว่าไอดอลจำกัดอยู่แค่ดารานักร้อง แต่ในทศวรรษนั้น (2540-2549) น่าจะเป็นช่วงที่คนทำหนังสือกลายมาเป็นเซเลบฯ มากที่สุด คนทำแมกกาซีนเริ่มเป็นที่รู้จัก ถูกสัมภาษณ์ลงสื่อ แม้กระทั่งไปออกรายการทีวี

แล้วทำไมถึงอยากออกพ็อกเก็ตบุ๊กของตัวเอง เป็นความฝันของคนทำแมกกาซีนเลยหรือเปล่า

ความฝันมันเกิดทีหลังการลงมือทำ

เราเป็นนักหนังสือพิมพ์ตอนอายุ 22-23 แล้วย้ายมาทำแมกกาซีนตอนอายุ 27 วันที่จะพิมพ์งานเล่มแรกก็เรียกว่าทำงานมาพอสมควรแล้ว ต้นฉบับมันกองอยู่ พอนิตยสาร Open เปิดสำนักพิมพ์ มันเหมือนเป็นประตูพาไปสู่โอกาสใหม่ๆ ก็เลยย้อนกลับมามองว่าเราทำอะไรมาบ้าง เอางานสารคดี งานสัมภาษณ์มาคัดสรร วิเคราะห์กันว่ามันน่าจะตรงกับบรรยากาศของสังคมและความสนใจผู้อ่าน เรื่องวัยรุ่นสยามสแควร์ หมอนวด แบ็คแพ็คเกอร์ถนนข้าวสาร ร็อคสตาร์ นางแบบ โดยโทนมันค่อนข้างมีสีสันฉูดฉาด

ถ้าพูดในทางธุรกิจ นักเขียนใหม่กับหนังสือเล่มแรกมันก็เสี่ยงเจ๊งเหมือนกันนะ เนื้อหารูปเล่มก็นอกขนบจารีต เหมือนเล่นกับของร้อน เล่นกับไฟ สมมติถ้าออกหนังสือเล่มแรกมาแล้วเจ๊งก็คงเสียเซลฟ์ แต่ตอนนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว ลึกๆ ก็ลุ้นว่าความฉูดฉาดร้อนแรงของมันคงยั่วยวนให้คนเดินเข้ามาหยิบ หรืออย่างน้อยก็ยอมเสียเวลาลองพลิกอ่าน

ปกหนังสือก็ถือว่าหวือหวาไม่แพ้กัน

เออ (ยิ้ม) เลือกรูปนางแบบบนแคทวอล์คมาเป็นปก คือหนังสือเล่มนี้มี 8 เรื่อง นางแบบก็เป็นหนึ่งในนั้น คุยกับพรรคพวกแล้ว ทุกคนก็โอเค ฝ่ายเรานี่ชอบภาพนี้แน่ๆ ด้วยวัย ด้วยการเริ่มต้น และบนแผงหนังสือเมื่อ 20 ปีที่แล้วไม่มีปกหนังสือแบบนี้นะ มันค่อนข้างทะลึ่งทะเล้นหน่อย การมีหนังสือแบบนี้วางอยู่บนชั้น จะชอบหรือไม่ชอบก็ว่ากันไปแล้วแต่รสนิยมส่วนตัว แต่ยังไงหน้าตามันแปลกและแตกต่างแน่ๆ

เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง เบื้องหลังการตั้งชื่อหนังสือเล่มแรกนี้มายังไง

เราชอบตั้งชื่อนะ ชอบสังเกตพวกเฮดไลน์ในหนังสือพิมพ์ ในองค์กรใหญ่ๆ จะมีซับเอดิเตอร์ ทำหน้าที่นี้โดยตรง โดยมากนักข่าวไม่ได้พาดหัวเอง ของเราก็แบบนั้น แต่ทำงานมานานเข้าก็หัดตั้งชื่อเอง ยิ่งตอนทำแมกกาซีนนี่คือเริ่มทำเองหมดแล้ว ความสนใจของเราไม่ได้มีแค่การเขียนหนังสือ เราชอบเข้าไปช่วยช่างภาพเลือกภาพด้วย ยุคนั้นมันต้องดูฟิล์ม นั่งหน้าโต๊ะไฟส่องฟิล์มด้วยกัน บางทีก็ไปนั่งดูอาร์ตไดฯ ออกแบบ คือเรื่องเสือกขอให้บอก (หัวเราะ)

พอทำหนังสือเล่มนี้ แรกเลยก็ต้องดูทั้ง 8 เรื่องว่ามีอะไรบ้าง สมมติว่าใช้ชื่อว่า ‘เดินเข้าไปในเพลงร็อค’ คนจะมองว่าเป็นหนังสือเพลงหรือเปล่า ถ้าตั้งชื่อว่า ‘มีอะไรในสายเดี่ยว’ จะดูโป๊ไปไหม มันก็เหมือนเพลงอัลบั้มหนึ่งน่ะ ใน 10 เพลงคุณอาจจะเอาชื่อเพลงไหนมาตั้งชื่ออัลบั้มก็ได้ ไม่ใช่ไม่ตรงปก ไม่ใช่ว่าโกหกคน มันเป็นสิทธิของผู้เขียน เป็นความชอบธรรม หรือคุณจะตั้งชื่อใหม่เลยก็ได้เพื่อบอกเล่าให้มันตรงกับเนื้องานของคุณ

เราดูชื่อเรื่องทั้งหมดแล้วก็คิดว่าหาใหม่ดีกว่า มีคีย์เวิร์ดที่ชอบในใจ เช่น แสงสี เรื่องราว หนุ่มสาว ชายหนุ่มคนหนึ่งกับหญิงสาวคนนั้น อย่างนี้ก็เคยคิด ชอบอารมณ์คนหนุ่มสาว ชอบอารมณ์ของการเดินทาง ก็นั่งคิดไประหว่างช่วงจัดหน้า ตรวจปรูฟ สุดท้ายก็ได้ชื่อ เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง ลอยขึ้นมาขณะกำลังกวาดบ้านอยู่ ไม่รู้มาจากไหน

แต่พอหนังสือออกไปแล้ว มานั่งอ่านงานเก่าๆ ที่เคยสัมภาษณ์ ก็พบว่ามีคำพูดของคนหนึ่งพูดในทำนองว่า ‘ทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณยังไม่มีแสงสว่างในตัวเองเลย’ เราสัมภาษณ์คนมาเป็นสิบเป็นร้อย หลายคำพูดของผู้คนมันคงตกค้างอยู่ในใจ แล้ววันหนึ่งมันก็ออกมาเองโดยไม่รู้ตัว

วันที่พ็อกเก็ตบุ๊กเล่มแรกในชีวิตออกจากโรงพิมพ์ จำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม

ถ้าให้นึกตอนนี้ก็ลืม แต่คิดว่าน่าจะเหมือนทุกครั้ง ตั้งแต่สมัยทำหนังสือพิมพ์รายวัน ตื่นเช้ามาไปออฟฟิศแล้วเห็นงานตัวเองลงก็จะหยิบจับอยู่นั่นแหละ ไปทำแมกกาซีนก็หยิบจับลูบคลำไม่ต่างกัน ฉะนั้น พ็อกเก็ตบุ๊กไม่ต้องห่วง ทั้งจับ อ่าน ดูคำผิด การจัดหน้า เช็กน้ำหนักรูป เฮ้ย ตรงนี้เว้นวรรคนี้ผิดไปนิดนึง ตรงนี้ โอ้ ว้าว ประโยคนี้แม่งสุดยอดว่ะ ใช้เวลาอยู่กับมันนาน เปรียบเทียบเหมือนคน เวลาอยู่กับแฟนมันก็อยากกอด อยากหอม หอมเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อหรอก

แล้วฟีดแบ็คเป็นยังไง

ใช้คำว่า success ก็ได้ พิมพ์ครั้งแรก 5,000 เล่ม 3 เดือนพิมพ์ใหม่ เดินไปร้านหนังสือเห็นวางโชว์บนอันดับหนังสือขายดี ตอนงานเปิดตัวที่ร้านนายอินทร์ ท่าพระจันทร์ คนเต็มเลย ถ้าไม่หลอกตัวเอง ไม่หลงตัวเองจนเว่อร์ มนุษย์มันจะรู้ตัวว่าเราเริ่มเป็นที่รู้จัก มีคนพูดถึง ชื่นชม ไม่ได้แบบโอ้โห ดาราออสการ์ แต่มันมีคนมองเห็น มีคนเอาหนังสือไปเขียนวิจารณ์ลงหนังสือพิมพ์ มีคนอ่านเขียนไปรษณียบัตรส่งมาหา

ตอนนั้นเรากำลังสนุกกับอาชีพมาก ยิ่งพอมีหนังสือออกมา ก็ยิ่งได้ใจ นี่คือสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราเลือก เราซีเรียสกับมันทุกคำ ทุกบรรทัด แล้วพอมีคนอ่านสัมผัสมันได้ สนุกกับมันเหมือนที่เราสนุก ก็ชื่นใจ เหมือนกับเราเป็นคนปลูกดอกไม้ขาย เวลาดอกไม้ที่เราปลูกด้วยความรักแล้วคนอื่นชมว่ามันสวย หอม เราก็ย่อมรู้สึกดี มันเลยยิ่งหลงใหลในอาชีพ

ปีนี้ครบรอบ 20 ปีของ เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง คิดว่ามันสร้างอิทธิพล ให้แรงบันดาลใจกับคนหนุ่มสาวอย่างไรบ้าง

เราเป็นผู้สร้าง มันเป็นเรื่องความคิดเห็นของผู้เสพ โดยนิสัยเราจะไม่พูดว่ามันมีอิทธิพลมีความหมายกับผู้อ่านอย่างไร มันเหมือนพูดว่าตัวเองเป็นผู้มีอิทธิพลต่อโลก แม้เพียงเล็กน้อย แต่สำหรับเราว่ามันไม่ค่อยสุภาพเท่าไหร่

พูดแบบนี้แล้วกัน หนังสือเล่มนี้มันเหมือนกับว่าเราเป็นนักมวยคนหนึ่ง มันมีเสียงของมัน มีตัวตนของมัน และมีส่วนช่วยผลักดันบรรยากาศของเวทีนี้ให้คึกคัก ทำให้คนอื่นอยากเล่น อยากปะทะ อยากออกหนังสือบ้าง พรมแดนหรือปริมณฑลของคำว่านักเขียนมันถูกฉีกถูกขยายออกไป สมัยก่อนคนทำหนังสือพิมพ์หรือคนทำแมกกาซีน เขาไม่เรียกนักเขียนนะ ก่อนหน้าไปไกลๆ เลยน่ะใช่ แต่ทศวรรษสามศูนย์ สี่ศูนย์ ไม่ใช่ เราเองก็เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่ในบทบาทนักข่าว ทำงานสื่อสารมวลชน แต่พอหนังสือเล่มนี้ออกมามันเหมือนกับว่าไม่ต้องเป็นนักเขียนเรื่องสั้น นักเขียนนวนิยาย หรือกวีเท่านั้นที่จะมีหนังสือได้ ซึ่งมันก็ดี ที่พื้นที่เวทีการอ่านการเขียนขยายวงกว้างออกไป

ถึงวันนี้มุมมองที่มีต่อหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนไปบ้างไหม

มันเหมือนเป็นเครื่องหมายยืนยัน เป็นเครื่องหมายตอกย้ำ ในสิ่งที่เราคิด เราเชื่อ เราทำ เหมือนค่อยๆ ตอกหมุดไปทีละหมุดของการลงแรงแต่ละครั้งว่า เราเอาจริงแล้วนะ แล้วพอเราเอาจริง มีเสียงตอบรับกลับมาว่ามีคนเอากับเราด้วย มีคนเดินเคียงข้าง ควักสตางค์ซื้อหนังสือเรา มันยิ่งเหมือนเอามีดมาจ่อคอว่ามึงเหี้ยไม่ได้แล้วนะ จะเดินก็ต้องระมัดระวัง เดินให้ดี เหยาะแหยะไม่ได้ เพราะมีคนอีกจำนวนหนึ่งที่เดินไปด้วยกับเราบนเส้นทางนี้

วันจัดงานครบรอบ 20 ปี เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา มีผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 20 พูดง่ายๆ ว่าตอนที่หนังสือพิมพ์ครั้งแรก เขาเพิ่งเกิด อายุเท่ากับหนังสือเลย แต่เขาก็เป็นสมาชิกใหม่ที่เข้ามาร่วมทาง เราอยู่หน้าเวทีมองหน้าผู้อ่านไปก็รู้สึกว่าถ้าออกทรงนี้ หลุมศพน่าจะยังอยู่อีกไกล (หัวเราะ)

ทราบมาว่าหลังออกหนังสือเล่มนี้ คุณก็ไม่ได้กลับไปทำงานประจำอีกเลย ตอนที่ตัดสินใจออกไปเป็นนักเขียนอิสระ คิดนานไหม

เราไม่ได้เลือกเอง แต่ทำงานประจำอยู่แล้วมันเกิดอุบัติเหตุทางอาชีพการงาน บวกกับตอนนั้นมีหนังสือของตัวเองแล้วสองสามเล่ม ก็รู้สึกว่ามันอาจถึงเวลา ทางแรกเราเดินมานานแล้ว ก็เห็นลายแทงประมาณนึง แต่ทางใหม่เรายังไม่เคยเดิน ชั่วๆ ดีๆ ก็ขอลองดูสักที สมมติว่าไปสัก 3 ปีแล้วปีกหัก ก็คงยังไม่ชราเกินกว่าจะซมซานกลับมา แต่ออกมาแล้วมันกลับกลายเป็นปิดฉากชีวิตการทำงานประจำไปเลย

เราชอบอาชีพนี้มาก ขอบคุณคนที่คิดอาชีพนี้ขึ้นมา มันโคตรตรงกับนิสัยเรา ยังนึกไม่ออกว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่ทำอาชีพนี้ จะทำอะไร เพราะมันตรงไปหมด แม่งโคตรใช่ เราชอบเรื่องเล่า สนุกที่ได้ฟังเสียงใหม่ๆ ของคนอื่น แล้วก็มีความคิดเห็นของตัวเองด้วย ชอบตัวหนังสือ ชอบฟอนต์ ชอบจังหวะของคำ หลงใหลมันไปหมด

ห่วงเรื่องความมั่นคงบ้างไหม

อาชีพนี้มันเงินน้อย ‘ความมั่นคง’ แม่งไม่เคยมีอยู่แล้วว่างั้นเถอะ เราเองก็เกิดมาจากความไม่มี เป็นลูกหลานคนจนที่เกิดมามีแต่หนี้รอบบ้าน โฉนดแม่งไม่เคยอยู่ติดบ้านเลย จำนองจำนำตลอดเวลา ตอนนี้ก็ยังอยู่ในแบงก์ สิ่งแวดล้อมที่เราเติบโตมา คำว่าเงินมีความหมายเดียวคือหนี้ เงินออมคืออะไร ไม่รู้จัก พอโตขึ้นก็อยากเปลี่ยน อยากพอ ไม่เอาแล้วชีวิตบัดซบแบบนั้น คือมันไม่ไหวแล้วในโลกของการเป็นหนี้และการบริหารจัดการการเงินแบบผิดๆ

อดีตเป็นมาแบบนี้และดันมาทำอาชีพที่รายได้น้อย หน้าที่ของเราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็ต้องพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่ทำให้ชีวิตเป็นเหมือนสิ่งที่เรารังเกียจ คำว่าหนี้ ตัดไป เกิดมาไม่เคยมีเพราะรู้ตัวว่าเงินน้อย หาไม่เก่ง ก็ต้องใช้เท่าที่มี ไม่มีไม่กิน ไม่มีไม่ซื้อ หาได้ 10 บาท ก็อยู่ให้ได้ภายใน 10 บาท นิสัยเป็นอย่างนี้ รู้จักตัวเองดีมากว่าความสามารถในการหาเงินต่ำ ไม่มีความสนใจ ไม่มีความพยายามในการเป็นนักหาเงิน เงินสำคัญนะ แต่สันดานเรามันเป็นอย่างนี้ไง เมื่อรู้นิสัยสันดานก็ต้องจัดการให้ดี พูดได้ว่าจนถึงวันนี้อายุจะ 52 แล้ว เราเป็นคนจนที่ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงิน เพราะพยายามจัดการอย่างเข้มงวด ไม่อนุญาตให้มันมาสร้างปัญหาชีวิต

ความผิดพลาดของสังคมไทยอย่างหนึ่งคือ เราสอนกันมาผิดๆ เรื่องความประหยัด ความพอเพียง สำหรับเรา เงินเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับรายจ่าย ถ้าหาได้เยอะ คุณใช้ไปสิ มีเงินก็ใช้ให้สนุก จัดสัมพันธภาพมันให้ดี คุณหาได้เดือนละ 3 ล้าน ถ้าจะใช้สัก 400,000 มันจะเป็นอะไร ไม่ต้องประหยัดแม่งหรอก ใช้เยอะๆ ยิ่งดีด้วยซ้ำ จะได้สร้างการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ สร้างความรู้ สร้างงาน สร้างโอกาสให้ผู้คน ถ้าคุณมีเงิน 100 ล้าน แบ่งเอาไปให้เด็กด้อยโอกาสสัก 5 ล้าน มันก็ไม่เลว เพราะเงินมันสร้างชีวิตคนได้จริง โง่ก็เปลี่ยนเป็นฉลาดได้เพราะเงิน ถ้าใช้เป็น

เรามักได้ยินคนพูดบ่อยว่าไม่มีเงิน ความเห็นเราก็คือ ไม่มีก็หาสิ การพูดว่าไม่มีเงิน แล้วนั่งอยู่เฉยๆ งอมืองอเท้า ฟังแล้วให้ความรู้สึกเดียวกับปวดขี้แล้วไม่ไปส้วม ง่วงแล้วไม่ไปนอน อ้าว ไอ้เหี้ย ปวดขี้ก็ไปขี้สิ ง่วงก็ไปนอน โอเค การหาเงินมันยากกว่าไปขี้ แต่ถ้าไม่มีแล้วต้องใช้ มึงก็ไปหาสิ จะมานั่งบ่นทำไม ถามว่าหายังไง กูจะรู้ไหม มีความรู้อะไร ก็ใช้ความรู้นั้น ไม่มีความรู้ ถ้าต้องใช้แรงเท่าไรเพื่อให้ได้เงิน ก็ต้องยอมทำงานหนัก จุดแข็งหรือความสามารถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ใครผมสวยเขาอาจจะไปเป็นนางแบบยาสระผม ใครเซ็กซี่ มีใจเผื่อแผ่ อยากจะทำ OnlyFans ก็เรื่องของเขา ใครเตะบอลเก่ง ก็ไปทำในสิ่งที่ตัวเองทำถนัด แต่การงอมืองอเท้าแล้วบอกไม่มีแม่งไม่ใช่นะ ถ้าพิการ โรครุมเร้า โอเค มันต้องมีข้อยกเว้น สังคมต้องดูแล มีรัฐสวัสดิการก็ว่าไป เพราะคำว่าความจนหรือคนจน มันไม่ใช่เรื่องของความขี้เกียจอย่างเดียว มันมีเรื่องของโครงสร้างทางสังคมด้วย การที่ใครคนหนึ่งจนมันไม่ใช่ปัญหาของเขาเพียงลำพังนะ มันเป็นเรื่องสังคมที่เขาสังกัด เรื่องของรัฐ เรื่องการกระจายอำนาจ และคำพูดประเภทสู้แล้วรวยนั่นก็ค่อนข้างเพ้อเจ้อ ถามว่ามีส่วนจริงไหม มีสิ แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยระดับหนึ่งในล้าน แต่ถ้าไม่สู้เอาซะเลย อันนี้จริงกว่า คือจนแน่นอน

โดยรวมมันเป็นเรื่องของ attitude โดยประสบการณ์เราพบว่า โลกจะไม่อนุญาตให้คนทำงานดีทำงานหนักตายไปต่อหน้าต่อตา โลกนี้มีความยุติธรรมอยู่จำนวนหนึ่ง มีและไม่มีวันสูญสลาย เราเห็นว่าโลกโหดร้ายนะ โลกวันนี้ไม่น่าอยู่เท่าไหร่ แต่มีแสง มีมือ มีหัวใจและสายตาที่มองเห็น หากไม่โชคร้ายเกินไป ยังไงคนทำงานหนักย่อมเอาตัวรอดได้

ที่สุดมันคงไม่ใช่เรื่องของอาชีพ ไม่ใช่ว่าเป็นนักเขียนหรือไม่เป็นนักเขียน แต่เป็นนิสัย เป็นสันดานในการจัดการชีวิต บริหารการเงิน นักเขียนเป็นอาชีพหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มรายได้น้อย อันนี้คือสัจจะ ใครเดินเข้ามาด้วยหวังจะร่ำรวยกับการเขียนหนังสือนี่แม่งก็โรคจิตแล้ว

รู้สึกยังไงที่มีคนตั้งฉายาให้คุณว่า นักสัมภาษณ์มือหนึ่งของวงการ

มันเป็นเรื่องล้อกันเล่น แต่ต่อให้เป็นเรื่องเล่น เราก็ต้องทำให้ดี ทำให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ เราต้องทำให้เป็นเรื่องปกติ เหมือนกินข้าว อาบน้ำ แต่ทำจริง ทำเต็มที่ ทำให้ simple ที่สุด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยจากวันแรกจนถึงวันนี้ ลงแรงเยอะและใช้เวลานาน

เล่าให้ฟังได้ไหมว่ามีวิธีการตั้งคำถามก่อนไปสัมภาษณ์ยังไง

ดูแค่ให้รู้ทิศทางว่าจะไปเชียงใหม่หรือจะไปภูเก็ต แต่ไม่ใช่ถึงขั้นว่าจะใช้ถนนหมายเลขอะไร จากหมู่บ้านนี้เลี้ยวซ้ายหรือเลี้ยวขวา ไม่ได้ลงรายละเอียดขนาดนั้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือการฟัง มันค่อนข้างสัมพันธ์กับการอิมโพรไวส์ ปล่อยให้โมเมนต์นั้นดำเนินไปอย่างอิสระ เป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่คอนโทรลมาก ฟัง ดู และคิดตามว่าเราจะไปทางนี้ คนสัมภาษณ์มีหน้าที่แค่ประคับประคองไปตามเส้นทาง ส่วนเกมเป็นเรื่องของผู้ให้สัมภาษณ์ เนื้อหาเป็นเรื่องของคำตอบ ไม่ใช่เรื่องของคำถาม คำตอบจะเป็นตัวเชื่อมของคำถามถัดไป เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แค่คำถามที่เตรียมมาจากบ้าน คำถามต้องเกิดจากคำตอบ เนื้อหาความดีงามที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องโมเมนต์นั้น ซึ่งเราต้องมีสมาธิมาก

เรื่องพวกนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ของงานสัมภาษณ์ เพราะมันไม่ได้อยู่ในมือใครแบบ absolutely มันไม่รู้จุดจบ ไม่มีที่สิ้นสุด มันเป็นเกมที่ดำเนินไปอย่างที่เราต่างก็ไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดยังไง การสัมภาษณ์จึงเป็นเรื่องใหม่เสมอ และความใหม่นั้น ถ้าเราไม่มีสมาธิ ไม่ concentrate อย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าฟังน้อยลงกว่าตอนทำงานวันแรก เพียงเพราะคิดว่าคุณทำมานาน ฟังแค่นิดเดียวก็ได้ ไม่ใช่ ไม่ฟังคือจบเลย เสียสมาธิ 2 วินาทีคือจบ ต้องแน่วแน่มาก

งานสัมภาษณ์คือการร่วมงานกับมนุษย์ ต้องเน้นที่ subject ไม่ใช่เน้นที่ตัวเอง ตัวเราเป็นผู้เล่าเรื่อง เป็นตัวเชื่อม เป็นคนที่นัดหมายทำให้มันเกิดขึ้นมา แต่พอมานั่งตรงนี้แล้วมันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของคนสัมภาษณ์ ต้องวางสถานะตัวเองให้ถูก ในโลกของนักสัมภาษณ์ ความสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ตัวคุณ คุณเป็นแค่คนสร้างละครเวทีแห่งนี้ขึ้นมา

เคยได้ยินว่าปกติคุณใช้เวลาสัมภาษณ์ขั้นต่ำ 3-4 ชั่วโมง บางครั้งถ้าไม่พอใจ อาจมีนัดซ้ำอีกด้วย ทำไมต้องทำถึงขนาดนั้น

ใช้เวลาน้อยมันไม่รู้เรื่อง ไม่พอ ไม่อิ่ม ไม่ลึก ไม่มัน
ชีวิตคนคนหนึ่งจะให้สัมภาษณ์สักกี่ครั้ง คนดังก็อาจจะบ่อยหน่อย แต่บางทีก็คุยแค่ 5 นาที 10 นาที มนุษย์ทั่วไปทั้งชีวิตเราว่ามีโอกาสให้สัมภาษณ์ไม่เกิน 3-4 ครั้ง หรือบางคนอาจจะแค่ครั้งเดียว ถ้าเราเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสได้คุยกับคนคนนั้น เขามาแบ มากาง มาวางในมือคุณ มันบอบบางนะ มันเซนซิทีฟนะ ถ้าคุณไม่ทะนุถนอม ไม่ทำงานด้วยความประณีตพิถีพิถัน นั่นมันชีวิตทั้งชีวิตเขาเลยนะ

ในเมื่อคุณได้รับสิทธิ ได้รับอนุญาตให้ใช้วันเวลากับเขา เขาเปิดเปลือยตัวเอง ความสุข ความทุกข์ ความอ่อนแอ ความสำเร็จ ความล้มเหลว ถอดชีวิตมาวางไว้ในมือแล้วคุณยังไม่เห็นค่า มันก็แย่น่ะ เหมือนคุณได้รับเกียรติ ได้รับโอกาส แล้วคุณก็ถุยน้ำลายใส่ มันหยาบคายเกินไปมั้ง

ในชั่วชีวิตหนึ่งเราจะคุยกับคนแบบลึกซึ้งจริงจังได้สักกี่คน บางทีอาจไม่เกิน 20 คน แปลว่าคุณรับฟังเรื่องราวของมนุษย์มาแค่จาก 20 ต้นทางเองนะ แต่นักสัมภาษณ์สามารถรับรู้จากต้นทางได้เป็นร้อยเป็นพัน ยิ่งคุณอ่านหนังสือ อ่านบทสัมภาษณ์เยอะๆ คุณก็ได้เรียนรู้ชีวิตคนเป็นร้อยเป็นพัน สิ่งนี้ไม่ใช่โอกาสอันงดงามเหรอ มีอาชีพไหนบ้างที่อนุญาตให้คุณเดินเข้าไปในชีวิตผู้คนได้ขนาดนี้ ไปเอาความแตกต่างหลากหลายมาบอกเล่าได้ขนาดนี้ นี่คืออำนาจและความพิเศษของงานสัมภาษณ์

คำถามที่หลายคนอยากรู้ วรพจน์ถอดเทปเองไหม

น่าเบื่อใช่ไหม งานถอดเทปเป็นกิจกรรมน่าเบื่อแน่ๆ โลกนี้มีอะไรแย่กว่าการถอดเทปวะ แต่คุณเคยได้ยินคำว่า ‘ปลดทุกข์’ กับป้ายหน้าห้องน้ำที่เขาเขียนว่า ‘สุขา’ ไหม ถอดเทปก็ประมาณนั้น มันเหมือนปนๆ กันอยู่ระหว่างคำว่าสุขกับทุกข์ พูดยากเหมือนกันว่ามันเป็นความสุขหรือความทุกข์กันแน่ แต่เราว่ามันเป็น process หนึ่งของชีวิต วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง มันก็ต้องมีเวลาที่ต้องไปอยู่ในส้วม 10 นาที ถ้าไม่มี 10 นาทีนั้น อีก 23 ชั่วโมงกว่าๆ มันก็มีชีวิตไม่ได้ ไปก็หนัก ไม่ปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย

จะ 10 นาที 20 นาที หรือครึ่งชั่วโมงตรงนั้น เราต้องมีไว้ มันอาจไม่แฮปปี้ทุกวินาที มันอาจทุรนทุราย แต่มันเป็น process ที่เชื่อมให้เกิดสิ่งดีงามอื่นๆ เหม็นเบื่อหน่อยก็อย่าไปรังเกียจมัน เพราะถึงที่สุดแล้วเราว่ามันคือการยืนยันความรัก ถ้าคุณตัดขั้นตอนนี้ไป ความรักที่อยู่ในมือคุณมันจะน้อยลงไปเรื่อยๆ สมมติงานนี้ประกอบด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณตัดอันนี้ออกไป 30-40 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าความรักในมือคุณมันก็ลดลงไป เมื่อคุณให้เวลามันน้อย

ผลผลิตที่เกิดจากงานนี้ มันจะไม่เปล่งประกายสูงสุด
ถ้าคุณให้เวลากับเรื่องใดเรื่องหนึ่งน้อย ประสิทธิภาพ ความเชี่ยวชำนาญ ความลึกซึ้ง ความเข้าใจ ความถ่องแท้มันย่อมลดลงไป ไม่มีทางที่ถ้าคุณให้เวลาน้อย แล้วงานมันจะออกมาดี ทั้งหมดนี้มันเชื่อมกันโดยตรง คุณทิ้งงาน งานก็ทิ้งคุณ มันเป็นสัจจะง่ายๆ

On location คือการต้องลงพื้นที่ไปสัมผัสของจริง ไปคุย ไปดูไปให้เห็นกับตา คำนี้สำคัญแค่ไหนกับอาชีพสื่อสารมวลชน

มันเป็นวิถีที่จะใกล้ชิด ที่จะเข้าถึงตัวละครตัวนั้นได้ชัดที่สุด

คำว่า location มันอธิบายฉากและชีวิต กิจกรรมหน้าที่การงานของเขา ตั้งแต่เขาเดินออกจากบ้านจนมานั่งตรงหน้าเรา เราจะเห็นกว้าง เห็นลึก และใช้เวลาร่วมกันยาวนาน ไม่เหมือนเจอกันในออนไลน์ สมมติว่านัดกันครึ่งชั่วโมง ก็อาจจะอยู่แค่ครึ่งชั่วโมง แต่การไป On location ในความเป็นมนุษย์มันจะมีความยืดหยุ่น และไม่ได้เห็นกันแค่ในจอสี่เหลี่ยม มันจะเห็นกว้าง เห็นลึก มันจะได้กลิ่น พูดง่ายๆ ว่ามันเป็นโอกาส เป็นทางเลือก เป็นวิธีที่จะได้สัมผัสความเป็นมนุษย์ของบุคคลนั้นอย่างลึกซึ้งที่สุด

นักสัมภาษณ์คือการทำงานกับมนุษย์ ถ้าคุณอยู่ที่บ้านแล้วสัมภาษณ์ทางออนไลน์กับคุณเดินทางจากบ้านมา 20 กิโลเมตร มาหาเขา ความไว้เนื้อเชื่อใจความเคารพที่เขามีต่อคุณมันจะสูงกว่า เพราะคุณตั้งใจมา การออกแรงของคุณมันจะไม่สูญเปล่า ผู้บอกเล่าหรือเจ้าของเรื่องเขาก็ต้องยินดีที่จะให้ความร่วมมือ มีเวลาให้กันมากขึ้น ดีกว่าการนั่งคุยโทรศัพท์ คุยออนไลน์

ถ้าอยากเข้าถึงความเป็นมนุษย์ของคนคนหนึ่งมันต้องวิธีนี้เท่านั้น แล้วในเมื่ออาชีพของคุณมันอนุญาตให้ทำสิ่งนี้ได้ ทำไมจะไม่ทำล่ะ

ในยุคสื่อออนไลน์ที่คนส่วนใหญ่นิยมเสพคอนเทนต์สั้น กระชับฉับไว ในโลกที่เชื่อว่าความสั้นคือความถูกต้อง ในโลกที่เชื่อในเรื่องของความหวือหวา บทสัมภาษณ์เชิงลึกแบบฮาร์ดทอล์คยาวๆ ยังจะมีคนอ่านอยู่ไหม

มีคนอ่านแน่ๆ อยู่ได้แน่ๆ

คำว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่า จะอยู่ได้หรือเปล่า มันอยู่ที่คุณภาพที่คุณทำ คำตอบมันอาจจะไม่ใช่เรื่องฟอร์แมตหรือแพลตฟอร์ม ถ้ามันล้มเหลว ถ้าจะกล่าวโทษ ไม่ใช่ไปโทษแพลตฟอร์ม แต่มึงนั่นแหละที่ห่วย ไม่ใช่แพลตฟอร์มมันไม่ดี ยังไงมนุษย์ก็ยังกินข้าว กินขนมปังกันอยู่ ไม่ใช่ตื่นเช้ามาแล้วเอาเข็มมาฉีดเข้าตัว ทุกวันนี้เรากินวิตามินได้แล้วก็จริง กินอาหารเสริมเป็นเม็ดก็ได้ แต่สิ่งนี้มันไม่หายไปจากโลกนี้หรอก มันยังอยู่กับมนุษย์เสมอ

ในเชิงภาพ เราเห็นด้วยนะว่าทุกวันนี้เป็นโลกของวิดีโอ มันอาจไม่ใช่วันเวลาของภาพนิ่งแล้ว แต่ภาพนิ่งก็ยังมีอยู่ ตัวหนังสือก็ยังมีอยู่ แล้วก็มีผู้อ่านใหม่ๆ เดินเข้ามาในโลกของตัวหนังสือเสมอ แม้ไม่ใช่กระแสหลัก แต่ว่ามันไม่ได้หายไปไหน คนถ่ายภาพขาวดำก็ยังมี แผ่นเสียงก็ยังมี

ในวัยห้าสิบกว่าของคนทำสัมภาษณ์หรือสารคดี ยังต้องเดินทางลงพื้นที่ไปสัมภาษณ์คน ทุกวันนี้เรี่ยวแรงพละกำลังลดน้อยถอยลงบ้างไหม ยังสนุกอยู่ไหม

ตอนนี้ทำรายสัปดาห์นะ (หัวเราะ) และ น่านไดอะล็อก (nan dialogue) ก็เป็นโปรเจกต์ที่ไม่มีใครมาบังคับ ก่อนหน้านี้ความถี่ในการทำงานสัมภาษณ์อาจจะ 2 เดือนหรือ 3 เดือนครั้ง แต่ตอนนี้วิ่งทุกสัปดาห์

เรายังเป็นผู้เล่นที่อยู่ในสนาม ไม่รู้ว่าการวิ่งพล่านแบบนี้มันจะเหมือนตอนอายุ 25 หรือเปล่า แต่ก็ยังคงเดินลงสนามด้วยความรู้สึกกระตือรือร้น ด้วยความรัก ทุกอย่างที่ทำมาจากการคิดการเลือกด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาสั่ง ไม่รู้ว่าจะวิ่งไปถึงเมื่อไหร่ อีก 3 ปี 5 ปี หรือ 10 ปี แต่วันนี้เราก็วิ่งรายสัปดาห์ เราเป็นมนุษย์ที่ทำได้ทีละอย่าง ตอนนี้ทุ่มเทพลังและใช้สมาธิกับน่านไดอะล็อกอย่างเดียว ยังไม่นับว่าต้องบริหาร ดูต้นฉบับ คุยกับคอลัมนิสต์ ทุกอย่างมันใช้เวลานะ

ความถี่แบบนี้ สำหรับคนที่ยังทำสัมภาษณ์อยู่ ลงสนามต่อเนื่อง เราอาจจะอยู่ในกลุ่มอายุมากที่สุดแล้วมั้ง มันก็สะใจดี รู้สึกเหมือนคาวบอย ตื่นเช้ามาก็ควบม้าท่องยุทธจักร เราชอบนะเวลาเห็นคาวบอยชรา นักข่าวช่างภาพชรา ไม่ใช่ในความหมายจนตรอกหรือไม่มีจะกินนะ แต่เลือก แต่สนุกกับงาน เราว่ามันเป็นการยืนยันในความรัก อาจจะงุ่มง่ามเชื่องช้าบ้าง แต่เขาก็ยืนระยะอยู่ในโลกที่เขารักมาอย่างยาวนาน เราว่ามันสวยงาม มันซึ้งคลินต์ อีสต์วูด (Clint Eastwood) อายุ 90 กว่าแล้ว เรี่ยวแรงคงสู้คนหนุ่มไม่ได้หรอก แต่ก็แบบ เออว่ะ น้าเขาแม่งได้ใจ ถ้าเจอกันเราก็ต้องยกมือไหว้น่ะ

เกือบค่อนชีวิตสัมภาษณ์คนใหญ่คนโต คนดังมาทุกอาชีพ วันหนึ่งย้ายมาอยู่ที่น่าน ปลุกปั้น ‘น่านไดอะล็อก’ เปลี่ยนมาสัมภาษณ์คนชนบทที่ไม่มีใครรู้จัก มันมีความแปลกใหม่ท้าทายยังไงบ้าง

เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง (ตอบเร็ว) เขาแค่จนกว่าคนที่กรุงเทพฯ เขาแค่ไม่มีชื่อเสียงเท่าคนที่กรุงเทพฯ แต่เขาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่มีสตอรี่ของเขา มีความน่าสนใจที่โลกอาจจะไม่เคยมอง

เราภูมิใจ ดีใจที่ได้ทำหน้าที่ของนักสื่อสารมวลชน ด้วยการไปทำให้คนที่ไม่เคยมีเสียงได้มีเสียงขึ้นมาในสังคม คำว่าไม่มีชื่อเสียง เพราะเขาเป็นคนที่อยู่ในชนบทห่างไกล แต่ไม่ได้แปลว่าเขาไม่มีสิ่งที่น่าสนใจ ไม่มีชื่อเสียงไม่ได้แปลว่าไม่มีเสียง หรือไม่มีเรื่องเล่า แค่คนที่กรุงเทพฯ ไม่เคยฟังเท่านั้นเอง โดยส่วนตัวเราจึงรู้สึกดีกับโปรเจกต์นี้มาก

ในอุดมคติของคุณ อยากให้ น่านไดอะล็อก มันไปไกลถึงไหน

เราเชียร์ให้ทุกจังหวัดมีสื่อแบบนี้ อยากเห็นเสียงของคนทุกๆ จังหวัด ทุกตำบล ทุกหมู่บ้าน ให้มันดังออกมา ถ้ามีสื่ออย่างนี้เยอะๆ เรื่องเล่าในสังคมไทยจะไม่ผูกขาดไว้เฉพาะกับที่กรุงเทพฯ อำนาจและโอกาสต่างๆ จะไม่กระจุกอยู่ที่ส่วนกลาง

สิ่งที่จำเป็นมากๆ ในสังคมไทยคือความหลากหลาย ในทุกๆ เรื่อง คนทำอาชีพข่าวสารก็สร้างความหลากหลายในทางข่าวสาร อำนาจมันต้องถูกกระจายออกไป เราเป็นนักสื่อสารมวลชนก็อยากมีส่วนในการกระจายเสียงออกไป เราไม่มีอำนาจในทางบริหาร อำนาจที่เรามีคืองานด้านนิเทศศาสตร์ ก็อยากให้มันกระจายออกไปให้มากที่สุด สุดท้ายมันก็ย้อนกลับไปเรื่องเดิมที่เป็นแก่นหลักที่สุดของโลกสมัยใหม่ คือคำว่า ‘คนเท่ากัน’ ถ้าคนที่กรุงเทพฯ มีปาก มีเสียง มีใบหน้า มีคุณภาพชีวิตแบบนี้ คนในพื้นที่ห่างไกลก็ควรมีโอกาสเข้าถึงปัจจัยพื้นฐานได้เหมือนกัน

ตราบใดที่ยังมีความเหลื่อมล้ำสูง คนกรุงเทพฯ เดินไปกดไฟ ไฟก็สว่างวาบ เปิดก๊อกน้ำน้ำประปาก็ไหล แต่คนที่น่านหลายพื้นที่ยังใช้น้ำฝน แล้วก็แห้งแล้งทั้งที่เป็นเมืองต้นน้ำ บางพื้นที่ไม่มีน้ำใช้ คนน่านจะใช้ไฟฟ้าก็ต้องซื้อเสาไฟฟ้า ซื้อไฟเข้ามาเอง ต้องไปศึกษาระบบโซลาร์เซลล์ บางที่ไฟฟ้าก็เข้าไม่ถึง อินเทอร์เน็ตไม่ต้องคิดเลย ตราบใดที่สังคมยังเหลื่อมล้ำอย่างนี้ ย่อมไม่ใช่สันติสุข เราไปสร้างน้ำสร้างไฟให้ใครไม่ได้หรอก ในฐานะนักสื่อสารมวลชน สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือทำหน้าที่ในการช่วยนำเสียงที่ไม่เคยถูกได้ยินให้มีเสียงขึ้นมา ให้มีใบหน้าขึ้นมาในสังคม พูดง่ายๆ ว่าพยายามสร้าง composition ใหม่ให้มันขยับไปสู่ความเท่าเทียมทางข่าวสาร ตอนนี้มันแตกต่างกันเกินไป คนบางกลุ่มครอบครองข่าวสารไว้แทบจะผูกขาด ยังไม่ต้องพูดว่าจงใจนำเสนอด้านเดียว

แล้วคิดเรื่องธุรกิจมากน้อยแค่ไหน ว่าจะทำยังไงให้มันอยู่รอดได้

มันเป็นโปรเจกต์ มันไม่ใช่คอมพานี (company) ธรรมชาติของโปรเจกต์กับคอมพานีมันไม่เหมือนกัน โดยรากฐานที่มาน่านไดอะล็อกมันไม่ใช่องค์กรแสวงหากำไร แรกเริ่มมันเป็นความสนใจของ นายวรพจน์ พันธุ์พงศ์ คนเดียวเท่านั้น เพียงแต่ว่าพอเริ่มโปรเจกต์ไปแล้วก็เหมือนเราเป็นพ่อแม่ทำคลอดมันขึ้นมา ให้มันมีลมหายใจ มีคำพูด มีปากมีเสียง ก็อยากให้มันมีชีวิต มีสังคม ปะทะแลกเปลี่ยนกันหลายๆ ฝ่าย

เบื้องต้นวางโปรเจกต์นี้ไว้คร่าวๆ 1 ปี ตอนนี้คือทำยังไงให้มันอยู่เนิ่นนานออกไปมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ยังคงทำภายใต้คำว่าโปรเจกต์ไม่ใช่คอมพานี ที่ผ่านมาก็มีคนเห็นด้วย มีคนสนใจ ยื่นมือมาช่วยเหลือกันอยู่ เราไม่ได้เดินโดดเดี่ยว ทำสื่อต้องมีเพื่อน มีชีวิตต้องมีเพื่อน ประคับประคองกัน วิพากษ์วิจารณ์กัน

ถ้าพรุ่งนี้มีเศรษฐีมาขอซื้อ ดีใจไหม

ใครเขาจะสนใจ (หัวเราะ) เอาว่ายินดีพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนกับทุกคน ถ้าใครจะมาร่วมงาน ร่วมทาง เราเปิดกว้างมาก แต่ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาเราทำแต่คอนเทนต์ไง ไม่เคยทำธุรกิจ ไม่เคยเป็นคนหาเงิน ตอนนี้ก็คิดไปทำไป ข้อดีคือมันไม่ได้ต้องการเงินเยอะ เงื่อนไขไม่ยากนัก หวังว่าจะรอด ถ้าไม่รอดจริงๆ หรือถึงเวลาต้องละวาง เราเข้าใจได้นะ การเริ่มและเลิกคือความปกติ เพียงแต่ในระหว่างที่ยังอยู่ก็อยากจะสร้างคุณค่าความหมายเท่าที่เราทำได้

สมัยอยู่กรุงเทพฯ มีงานหนังสือ งานเสวนาต่างๆ ยังง่ายที่จะพบปะคนอ่าน ตอนนี้หลังจากย้ายมาอยู่น่าน มีโอกาสได้เจอนักอ่านบ้างไหม

ความสวยงามก็คือ เราอยู่ห่างไกล แต่ว่าก็ยังมีคนตั้งใจที่จะไปพบ ความสนุกอีกอย่างก็คือความบังเอิญที่มันเกิดขึ้นตลอดเวลา

ที่ห้องสมุด ‘บ้านๆ น่านๆ’ มีทั้งมุมขายหนังสือ ห้องพัก ร้านกาแฟ และห้องสมุด หลายคนแค่ไปพัก บางคนก็ไม่เคยอ่านหนังสือเรามาก่อน แต่พอไปในสถานที่ที่เป็นห้องสมุด คนที่เกิดมาอาจไม่ชอบอ่านหนังสือเลย แต่หนังสือมันวางอยู่รอบตัวไปหมด ก็เลยลองหยิบๆ จับๆ ขึ้นมาอ่านแล้วเจอหนังสือชื่อ ‘เราต่างมีแสงสว่าง’ เอ๊ะ มันขายหลอดไฟหรือยังไง (หัวเราะ) ด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งสถานที่ บรรยากาศ บ้านเราอยู่ห่างจากห้องสมุดประมาณ 10 กิโลฯ บ้านไม่มีเน็ต ก็มานั่งทำงานที่นั่นบ่อยๆ คนที่มาพัก กินกาแฟ มาเที่ยว มาถ่ายรูป บางทีหยิบหนังสือเราขึ้นมาพอดี เจอหนังสือ เจอนักเขียน มันก็ทำให้เกิดไดอะล็อกใหม่ๆ เกิดการรู้จักใหม่ๆ หลากหลายคุณวุฒิวัยวุฒิ

สิ่งเหล่านี้ทำให้ความเชื่อมั่นที่คนมักจะบอกว่าเดี๋ยวนี้คนไม่อ่านหนังสือ ไม่อ่านอะไรยาวๆ แล้ว มันไม่จริงเลย มนุษย์เราบางทีไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไรไม่ชอบอะไร สมมติว่าทั้งชีวิตไม่เคยฟังเพลงคลาสสิก อยู่ที่บ้านฟังแต่เพลงร็อค เพลงป็อป แต่วันหนึ่งได้เดินเข้าไปอยู่ในสถานที่หนึ่ง บรรยากาศมันเอื้อให้มีสมาธิ ได้นั่งฟัง ก็ค้นพบสิ่งใหม่ๆ เหมือนทั้งชีวิตเจอแต่ดอกบัว ดอกกุหลาบ คุณไม่รู้ว่าข้าวใหม่หรือชมนาดหอมมาก แค่คุณไม่เคยดมกลิ่นมันเฉยๆ แค่คุณไม่เคยมองเห็นมัน แค่คุณไม่เคยเปิดโอกาสให้ตัวเองไปสู่โมเมนต์นั้น ทั้งที่แท้จริงมันมีการค้นพบใหม่ๆ ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า ไม่ว่าจะด้วยความบังเอิญอะไรก็ตาม

ในยุคที่พูดได้ว่าทุกคนอยู่ในโลกออนไลน์ ในฐานะคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง การได้มีวันเวลาแบบนี้ การได้ปะทะกันกับมนุษย์จริงๆ คือความสุขที่สุด เรื่องเงิน ใครๆ ก็อยากได้ทั้งนั้นแหละ ขายหนังสือได้มันก็ดี แต่เงินมันไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ไม่ใช่คำตอบเดียว

เราเป็นคนเขียนหนังสือที่มีคนอ่านไม่เยอะหรอก แต่คำว่าไม่เยอะที่มีอยู่ เราสัมผัสได้ถึงความลึกซึ้ง สัมผัสได้ถึงอำนาจของมัน ย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วตั้งแต่หนังสือเล่มนี้ออกมา และสิ่งที่เราพบเจอในอาชีพนี้ พูดได้ว่าเราได้ทุกอย่างแล้ว ทุกหยาดเหงื่อ ทุกแรงที่เราลงไปก็ได้ผลตอบแทนอย่างสาสม และยิ่งได้มากเท่าไหร่ เราก็คิดเหมือนเดิมคือ เหมือนมีดที่มาจ่อคอ ว่ามึงจะเหี้ยไม่ได้นะ ทุกชิ้นงานต้องทำให้ดีที่สุด