“เราอาจจะเป็นคนที่แม่งตกยุคสมัยไปแล้ว” อุทิศ เหมะมูล

15 Min
2013 Views
11 Apr 2022

“เราอาจจะเป็นคนที่แม่งตกยุคสมัยไปแล้ว”

เป็นประโยคหลังคราฟท์เบียร์แก้วที่เท่าไหร่ไม่รู้

น้อยแต่หนักแน่น เข้มขรึมเก็บทรงอย่างหนุ่มใหญ่ที่เข้าใจชีวิต มากกว่าจะตัดพ้อด้วยความเมามายเหมือนวัยรุ่นหัวร้อนผู้ชอบขึ้นจอดำบนหน้าโปรไฟล์ แปะยูทูบเพลงเศร้าเต็มฟีด ยามอกหัก

ใครที่ติดตามเฟซบุ๊คของ อุทิศ เหมะมูล คงพอจะเห็นกันคร่าวๆ แล้วว่า ชีวิตวันนี้ในวัย 47 ของเขาช่างสดใสเปล่งปลั่งยิ่ง

เลิกบุหรี่เด็ดขาดนานเกือบปี จิบดื่มเมรัยชั้นดีเพียงเพื่อจะละเลียดความรื่นรมย์ในท่วงทำนองบัลลาด กินคลีน ลดน้ำตาลและไขมันเลว หันมาเล่นฟิตเนสจนทรวดทรงแข็งแกร่งด้วยมัดกล้าม

แต่สิ่งที่ดูจะทำให้เขา ‘อารมณ์ดี’ เป็นพิเศษ น่าจะเป็นผลงานนิยายเล่มใหม่ในรอบหลายปี นั่นคือ โชติชีวิตบรรลัยของแพทริก ชั่ยฯ

เป็นงานเขียนที่ออกมาหลังจากอุทิศประสบกับภาววะตีบตันทางความคิด หมดไฟ ซังกะตาย และเบื่อหน่ายชีวิต

แม้ฉากหน้าคือการกลับมาอีกครั้งอย่างสดชื่นมีพลังของนักเขียนซีไรต์ผู้เป็นที่รักของแวดวงวรรณกรรมไทย ทว่าฉากหลังคือความบรรลัยฉิบหายวายป่วงของชีวิตผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ต้องเผชิญกับวิกฤตลูกแล้วลูกเล่าซัดจนเกือบตายในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา

หย่าร้างกับคนรัก โรคภัยคุกคาม ติดเหล้า เขียนหนังสือไม่ออก รายได้หดหายจากโควิด และอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่อาจบอกเล่าได้

เขาไม่อยากเล่า เบื่อที่จะเล่า และไม่คิดว่าเรื่องราวสุขทุกข์ของเขาจะมีประโยชน์อันใดแก่คนอื่น

แต่เรายืนยันว่า ‘เรื่องราว’ และ ‘เรื่องเล่า’ ของเขา นั้นน่าสนใจเสมอ สำหรับคนอ่านยันพี่น้องเพื่อนฝูง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งประสบการณ์ของชายวัยกลางคนผู้ที่เพิ่งพบกับจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากที่สุดครั้งหนึ่งมาได้อย่างสะบักสะบอม

วันนี้ BrandThink แงะ อุทิศ เหมะมูล จากคอนโดมิเนียมย่านทองหล่อ มานั่งสนทนาหลังแก้วคราฟท์เบียร์และอาหารอีสานฟิวชั่นรสแซ่บร้าน Where Do We Go วังหิน คุยตั้งแต่เรื่องสารพัดวิกฤตช่วงโควิด สถานะอาชีพนักเขียนวันนี้ มุมมองต่อเรื่องสุขภาพและชีวิตในวัยเฉียดครึ่งศตวรรษ เรื่องเล่าใหม่ๆ กับฉากเซ็กส์สุดปังของนิยายเล่มล่าสุด และทำไมเขาถึงอยากเฟดเอาท์ไปจากวงการ

สองปีที่ผ่านมาในช่วงโควิดระบาดหนัก นักเขียนอาชีพอย่างคุณได้รับผลกระทบไหม

กระทบสิ ทำไมจะไม่กระทบล่ะ (ตอบเร็ว) การเขียนหนังสือมันใช้พื้นที่ส่วนตัวและดูเหมือนไม่ค่อยได้ออกไปไหน แต่ในฐานะนักเขียนอาชีพ การออกไปข้างนอกก็สำคัญพอๆ กัน เพราะเราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคน ไปงานเสวนา ไปงานหนังสือ มันเป็นสิ่งที่ต้องออกไปเพื่อให้ได้งานมาทำ พอออกไปไม่ได้ก็ไม่มีงาน รายได้ที่เคยมีไม่ว่าจะขึ้นไปพูดบนเวทีเสวนาต่างๆ มันก็ถูกตัดไปโดยปริยาย

เมื่อรายได้หายไปแบบนี้ คุณหาทางออกยังไง

เอาจริงๆ รายได้จากการเขียนหนังสือเป็นรายได้ที่ไม่เป็นกอบเป็นกำอะไร เลี้ยงตัวเองไม่ได้ ไม่มั่นคงอยู่แล้ว

ช่วงสามสี่ปีมานี้ เรามีรายได้อีกทางหนึ่งจากการขายงานเพนท์ติ้ง เพราะหลังจากเขียนนิยาย ร่างของปรารถนา จบ เราก็กลับมาทำงานศิลปะ มีโชว์งานศิลปะทุกปี เป็นช่วงที่เราอยู่ได้จากการขายงานศิลปะ แต่พอโควิดมาปุ๊บทำงานไม่ได้ ก็ต้องพยายามหาที่ทางเพื่อจะมีรายได้เข้ามา

ถึงขั้นดิ้นรนเลยไหม

ก็ดิ้นนะ (หัวเราะ) แต่มันไม่ได้ดิ้นรนเหมือนคนหาเช้ากินค่ำ เราดิ้นรนหาเงินก้อนให้เพียงพอที่จะใช้ชีวิตอยู่ได้

สมัยก่อนตอนเป็นวัยรุ่น ก็ดิ้นรนแบบรายวันหาเงินมากินข้าว หาที่ซุกหัวนอน พอวัยทำงานช่วงเริ่มต้นเขียนหนังสือ ก็เริ่มหาเงินรายเดือนด้วยการเขียนเรื่องสั้นส่งไปตามนิตยสารต่างๆ แล้วนั่งวางแผนว่าแต่ละเดือนเราต้องเขียนแค่ไหนเพื่อจะได้ครอบคลุมค่าใช้จ่าย เช่าคอนโดอยู่ไหวไหม ไหนจะค่ากินค่าใช้จ่ายอื่นๆ พอมาช่วงสามสิบต้นๆ ก็เริ่มต้องวางแผนกันรายครึ่งปี ทุกวันนี้วางแผนเป็นรายปีเลย มองถึงปีหน้าแล้วว่าจะหาเงินหางานยังไง เพื่อให้อยู่รอดในปีหน้าได้

เดี๋ยวนี้เราไม่ได้ขายงานแบบออกหนังสือเล่มแล้วรอเก็บเกี่ยว แต่เราต้องทำงานในลักษณะที่เป็นงานศิลปะ วางแผนกันเป็นโปรเจ็คต์แล้วค่อยไปเสนอนายทุนที่อยากเห็นเราผลิตงาน เช่น ผมมีโปรเจ็คต์หนึ่งที่กำลังจะทำนะ คุณอยากจะร่วมทุนไหม เราก็ต้องดูว่าโปรเจ็คต์นั้นมีอนาคตที่นายทุนเขาอยากจะให้เงินเราไหม มันคุ้มค่ากับที่เขาจะมาลงทุนกับเราไหม ยุคนี้มันต้องเข้าหาแหล่งทุนแบบนั้นแล้ว

นอกจากการดิ้นรนหารายได้ มันถึงขนาดต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตเลยไหม เช่น ประหยัดมากขึ้น กินดื่มน้อยลง

มันมีจุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นกับชีวิตเราในช่วงโควิดพอดี

สี่ห้าปีก่อนเราไปตรวจสุขภาพประจำปีแล้วเจอติ่งเนื้อในถุงน้ำดี ซึ่งมันมีโอกาสพัฒนาเป็นเป็นมะเร็งได้ในอนาคต เราก็คอยติดตามดูมาตลอด จนกระทั่งเมื่อช่วงโควิด เราปวดท้องต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้ติ่งด่วนในช่วงที่กำลังเกิดวิกฤตเตียงไม่พอช่วงนั้นเลย เจ็บปวดทรมานมากกว่าจะหาโรงพยาบาลได้ ก็พักรักษาตัวจนหาย แต่พอตรวจเช็คสุขภาพอีกก็พบว่ามีภาวะความดันสูง เสี่ยงที่จะเส้นเลือดในสมองแตกตายเมื่อไหร่ก็ได้

สิ่งที่ตรวจพบนั้นเป็นผลจากการใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่ายสะสมมาตลอดหลายปี โดยเฉพาะช่วงสี่ห้าปีหลังเราใช้ชีวิตหนักมาก ก่อนนั้นเราเพิ่งประสบปัญหาชีวิตคู่ หย่าร้าง เราก็เผาตัวเองด้วยการดื่มทุกวัน สูบบุหรี่จัด เพราะคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข ตอนนั้นคิดว่าทำไมวะ เราไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ก็ได้ ถ้าวันนี้เราได้กินเบียร์สักแก้ว สูบบุหรี่สักซองแล้วแม่งมีความสุข เราก็จะทำ

ยิ่งเจอวิกฤตชีวิต เราก็ยิ่งหาเหตุผลในการสปอยล์ตัวเองในทางเลวร้ายมากขึ้น จนวันหนึ่งร่างกายแม่งบอกว่ากูไม่เอากับมึงแล้ว ผ่านอาการร้อนในขึ้นปากขึ้นตาทุกครั้งเวลาดื่มหนักและพักผ่อนน้อย พอร่างกายอ่อนแอก็ฝันร้าย ต้องกินยารักษา เป็นแบบนี้ตลอด ก็ไม่รู้จะถอนออกจากวงจรนี้ยังไง เพราะชีวิตเราเต็มไปด้วยความเศร้า เต็มไปด้วยความหมกไหม้ เป็นชีวิตที่มองไม่เห็นว่าแม่งจะดีขึ้นได้ยังไง งานเขียนก็กำลังจะตายไปจากกู พิมพ์หนังสือออกมาก็เป็นหนี้

ร่างของปรารถนา ถือว่าขายได้น้อยที่สุด ได้การตอบรับจากคนอ่านน้อยที่สุด แถมยังติดหนี้โรงพิมพ์ ทั้งที่อีกด้านหนึ่งดูสวยหรูมากเลยนะ โอ้โห ถูกแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น ดัดแปลงเป็นละครเวทีไปแสดงที่กรุงเทพฯ ปารีส โตเกียว แต่เรากลับรู้สึกว่าประเทศนี้มันมีความเย็นชาอะไรบางอย่าง เหมือนเราไม่ได้รับการตอบรับมากพอ รู้สึกว่า (นิ่งคิด) …ไม่มีเราก็ได้ เหมือนเราเป็นสิ่งที่ล่วงผ่านยุคสมัยไปแล้ว นั่นคือช่วงเวลาที่ได้ครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้ คิดถึงตัวตนของเราที่กำลังจะพังทลาย คิดถึงสิ่งที่ล้มเหลวไม่เป็นดั่งใจหวัง ทุกอย่างแม่งมากองรวมกันในช่วงนั้น

ก็เลยปล่อยตัวเละเทะ สำมะเลเทเมา

ก็เอาแต่ใจตัวเอง ทำไมล่ะเรื่องแค่นี้เอง ถ้ากูจะกินจะดื่มทุกวันมันก็เป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยที่กูขอให้กับชีวิตตัวเองไม่ได้เหรอวะ แม่งแทบจะเป็นแอลกอฮอลิคอยู่แล้ว (หัวเราะ) ดื่มทุกวันวันละ 6 ขวดใหญ่ ปล่อยให้มึนตึงไปเรื่อยๆ แล้วก็สูบบุหรี่จัด

ปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นก็น่าจะเป็นผลมาจากช่วงนั้นแหละ แต่ก็ถือว่ามันเป็นแค่สัญญาณเตือน ยังถอยกลับได้ ในขณะที่เพื่อนเราหลายคนต้องแลกด้วยชีวิต ช่วงนี้เพื่อนร่วมรุ่นทยอยตายปีละคนเลย มันเลยทำให้เรากลับมาซีเรียสกับตัวเอง เริ่มศึกษาภาวะของโรคที่กำลังคุกคามเราอยู่ ทบทวนไลฟ์สไตล์ตัวเองว่าเสี่ยงจะก่อให้เกิดโรคอะไรบ้าง สุดท้ายก็หันมาปรับเรื่องอาหารการกิน ทำอาหารมื้อเย็นกินเอง งดน้ำตาล ออกกำลังกาย ส่วนบุหรี่เลิกเด็ดขาดมา 9 เดือนแล้ว แอลกอฮอล์ก็ลดเหลือ 3 วันต่อสัปดาห์ ดื่มพอให้รื่นรมย์ ชีวิตแม่งเปลี่ยนไปเลย

หลังจากปรับวิถีการใช้ชีวิตใหม่ มีความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างที่เห็นได้ชัดๆ

อารมณ์ดี จิตใจแจ่มใส ไม่หมกมุ่น สิ่งที่เราหมกมุ่นมาก่อนหน้านี้เป็นฤทธิ์มาจากการสปอยล์ตัวเองมากเกินไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เราผ่านพ้นการสปอยล์ตัวเองแล้วเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดกับตัวเอง ฟังเสียงตัวเองว่าถ้าจะไปต่อด้วยกันได้อย่างตลอดรอดฝั่ง ก็ต้องทำให้ร่างกายเป็นสถานที่ที่น่าอยู่ ดูแลร่างกาย ดูแลจิตใจตัวเองให้มันอยู่สบาย

นอกจากวิกฤตใหญ่เรื่องสุขภาพร่างกาย สุขภาพจิตล่ะเป็นยังไงบ้าง เพราะดูเหมือนคุณต้องผ่านช่วงเวลายากลำบาก ทั้งเรื่องอาชีพการงาน ชีวิตส่วนตัว ไหนจะบรรยากาศบ้านเมืองที่น่าหดหู่ มีอาการซึมเศร้าเบื่อหน่ายชีวิตบ้างไหม

เรียกว่าเศร้าซึมดีกว่า อาจจะไม่ถึงขนาดซึมเศร้า ไม่ได้ป่วย ไม่ได้กินยาหาหมอ เราคงไม่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรอก เพราะไม่ได้มองเห็นตัวเองในแบบที่อยากตายหรือไม่อยากจะอยู่บนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว เรายังอยากมีชีวิตอยู่ แต่จะมีชีวิตอยู่ยังไงให้มีความสุขด้วย เพราะตอนนี้เรากำลังเจอกับภาวะที่มันซังกะตาย โลกไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราวาดหวังไว้ สภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้นจู่ๆ มันก็พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา เราจะรับมือกับสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอแบบนี้ได้ยังไง มันก็ต้องค่อยๆ ผ่าน

เราเรียนรู้มาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าบางทีชีวิตแม่งมาในรูปแบบค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป บางทีก็มาในรูปแบบที่เรากำลังจะใส่ใจเรื่องหนึ่งอยู่ แล้วจู่ๆ ก็อ้าว แม่งเป็นความดันสูงเฉยเลย ก็ต้องรีบไปดูแลตรงนั้นก่อน ปัญหาหลายอย่างมันไม่ได้จัดลำดับเวลาว่าเรื่องไหนจะมาก่อนหรือหลัง แม่งดาหน้ากันเข้ามาเลย ทำให้คิดได้ว่าเราต้องเลือกว่าจะบริหารเรื่องไหนก่อน จัดลำดับความสำคัญ มันก็เลยกลายเป็นเจตจำนงของการที่จะมีชีวิตอยู่ นั่นคือทำยังไงให้เราเป็นคนที่ดีกว่าเดิมได้ในวันพรุ่งนี้ เพราะถ้าเราไม่เห็นว่ามันสำคัญพอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อถึงวันพรุ่งนี้ ก็คงต้องปล่อยให้แม่งเป็นไป

นิยายเล่มใหม่ โชติชีวิตบรรลัยของแพทริก ชั่ยฯ ที่เพิ่งออกช่วงปลายปีที่ผ่านมา หลังห่างหายไปนาน ผลงานชิ้นนี้มีที่มาที่ไปยังไง ทำไมถึงเขียนออกมาได้ ทั้งที่เพิ่งผ่านพ้นวิกฤตชีวิต

มันเป็นเรื่องเล่าที่มาถูกจังหวะเวลาพอดี ตรงกับช่วงที่เรารู้สึกเบื่อจะเขียนเรื่องของตัวเองแล้ว จนได้เจอกับบุคคลปริศนาคนหนึ่งที่เขาอยากจะเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตของเขาให้ฟัง คล้ายๆ กับ secret love เป็นเรื่องราวชีวิตที่เขาเคยทำเหี้ยห่าระยำตำบอนอะไรมาบ้าง ซึ่งมันมาในเวลาที่เรากำลังเบื่อชีวิตตัวเองอยู่พอดี พอมีชุดเรื่องเล่าใหม่ที่มานำเสนอตัวเองต่อหน้า เราก็อยากคว้ามันไว้

คุณมีเพื่อนมากมาย รู้จักคนหลากหลายวงการ อยากเขียนถึงใครก็ได้ทั้งนั้น ทำไมถึงสนใจเรื่องราวของคนคนนี้่ ตัวละคร แพทริก ชั่ยฯ ซึ่งเป็นไฮโซหนุ่มรูปหล่อ เจ้าชู้เพลย์บอย ประสบการณ์ชีวิตโลดโผน มันมีเสน่ห์ตรงไหน

มันเริ่มต้นจากความสงสัยมากกว่า เหมือนกับทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ในประเทศไทย อยู่ในกรุงเทพฯ เรามักเกิดความสงสัยกับชีวิตที่เราไม่ได้เป็น ชีวิตของเราอยู่ในห้องคอนโดขนาดพอเหมาะ พยายามจะดำเนินชีวิตให้อยู่ได้โดยการเขียนหนังสือ แต่มันก็จะมีชีวิตอีกแบบที่เรามองเข้าไปแล้วก็เกิดความสงสัยขึ้นมา

เช่น เวลาเดินอยู่ทองหล่อเห็นคอนโดสร้างใหม่ราคาเริ่มต้น 50 ล้าน เราก็สงสัยว่าคนแบบไหนวะที่แม่งเอาเงิน 50 ล้านมาซื้อคอนโดอยู่ เขาทำอาชีพอะไร มีไลฟ์สไตล์แบบไหน ทำไมถึงมีเงินเยอะจัง พูดง่ายๆ คือมีคนอีกมากมายหลายแบบที่เราไม่รู้จัก คนละคลาส คนละรสนิยม แต่เขาก็อยู่ร่วมในสังคมเดียวกับเรา อย่างข่าวล่าสุดที่ไฟไหม้วิลล่าบนเกาะกูด คนแบบไหนวะที่ไปนอนวิลล่าคืนละ 600,000 ในขณะที่คนอีกแบบหนึ่งต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงตัวเองเพื่อที่จะผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดเดือนละ 20,000

พอเกิดความสงสัยตามประสานักเขียน เราก็ไม่ได้ตั้งท่ามีอคติกับคนที่มีชีวิตไม่เหมือนเรา หรือไม่ได้อยากจะคบหายุ่งเกี่ยวด้วย แต่เราเห็นแล้วยิ่งสนใจ อยากรู้จัก อยากรู้ว่าการมีชีวิตอีกแบบหนึ่งอย่างที่เขาเป็นนั้นมันต้องดีลกับชีวิตยังไง มีเป้าหมายยังไง มีวิธีคิดวิธีทำงานแบบไหนในการจะไปสู่จุดหมายนั้น รวมถึงการกิน เที่ยว ความรัก ความสัมพันธ์ การคบหาผู้หญิงตลอดช่วงชีวิตของเขา เพราะเขาเองก็เป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกับเรา ผ่านอะไรมาไม่ต่างกัน มีประสบการณ์ร่วมต่อเหตุการณ์ต่างๆ ของยุคสมัย

เรื่องราวของเขามันเกิดขึ้นได้กับทุกชนชั้น ไม่ว่าจะรวยจะจน อยู่ในช่วงปากกัดตีนถีบ กำลังสร้างตัวขึ้นมา หรือแม้แต่นอนอยู่บนกองเงินกองทองแล้ว มันก็มีปัญหาของแต่ละคน อยู่ที่ว่าเราจะสนใจฟังมันมากน้อยแค่ไหน พอไม่ได้ตั้งท่ารังเกียจรังงอนตั้งแต่แรก เรื่องราวของเขามันก็เลยน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับเรา

ก่อนหน้านี้เราไม่สามารถที่จะเขียนนิยายของตัวเองได้ ไม่รู้จะทำยังไงต่อดีกับชีวิต พอได้ฟังเรื่องของเขามันเหมือนพบทางออกในชีวิต เราบอกเขาหลังจากที่เขียนเสร็จว่า เรื่องเล่าของเขาช่วยชีวิตเรา พาเราออกไปจากจุดที่ติดชะงักอยู่ด้วยการผจญภัยไปในประสบการณ์ของเขา เพราะฉะนั้นมันจึงมีความหมายกับเรามาก

ชีวิตจริงของไฮโซหนุ่มกับชีวิตของแพทริก ชั่ยฯ ในนิยาย พอเขียนออกมาแล้วเขาแฮปปี้ไหม

ทุกสัปดาห์ที่เรานัดคุยกัน เหมือนเขาก็ได้บำบัดเวลาเล่าถึงประสบการณ์บางอย่างที่เคยทำผิดไว้แล้วไม่ได้ขอโทษ เหมือนเขากำลังสารภาพบาปให้เราฟัง

ถามว่าเขาแฮปปี้ไหม เราว่าครึ่งๆ นะ เพราะหลังจากนิยายถูกพิมพ์ออกมาก็มีบางอย่างที่เขาไม่ค่อยสบายใจ เช่น เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเลวร้ายแบบนั้น ทำไมผมไปสร้างให้เขาดูเหมือนเป็นคนเลวร้าย แต่บางเรื่องเขาก็ชอบ เรื่องที่มันเคยซีเรียสในอดีตพอมันถูกเล่าออกมาในปัจจุบัน ก็กลายเป็นเรื่องขำขัน หายใจหายคอได้ สบายอกสบายใจขึ้น เพราะเวลาที่เขาประสบจริงๆ ในตอนนั้นมันไม่ตลก โคตรซีเรียสเลย ร้องไห้ก็ร้องไห้จริง จะเป็นจะตายก็จะเป็นจะตายจริงๆ แต่พอผ่านมาแล้วย้อนมองกลับไปถึงจะหัวเราะกับมันได้

ตัวละคร แพทริก ชั่ยฯ ดูเป็นคนเจ้าชู้ ฟันไม่เลือก เปลี่ยนสาวไม่ซ้ำหน้า จนบางครั้งอาจชวนให้รู้สึกว่าทำเหมือนผู้หญิงเป็นเพียงแค่ซับเจ็คต์หนึ่ง ไม่กลัวโดนทัวร์ลงเหรอ

กลัวดิ (หัวเราะ) แต่ไม่ว่ายังไงเราก็จะยืนอยู่ข้างเรื่องเล่าของเรา เพราะมันเป็นเรื่องที่ควรได้รับการบันทึกไว้

วงการสตรีนิยมหรือเฟมินิสต์ในยุคปัจจุบันก็ผ่านการต่อสู้และมีพัฒนาการของแต่ละยุคสมัยมา สิ่งที่ผมพยายามจะเล่าในนิยายนั้นก็เติบโตมาพร้อมกับขบวนการของคนกลุ่มนี้ เรียกว่า awareness หรือตระหนักรู้ถึงการมีตัวตนของเพศหญิงในสังคมอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในนิยายก็จะมีการสอดแทรกสิ่งเหล่านี้อยู่

ตัวตนของ แพทริก ชั่ยฯ จะเป็นตัวตนไม่ได้เลยถ้าไม่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อน นิยายเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องของเสือผู้หญิง ลูกคนรวยที่แม่งฟันดะ ไม่ยี่หระกับผู้หญิงและความรักที่ผ่านมา แต่จริงๆ ถ้ามองในด้านกลับก็จะเห็นว่าคาแรคเตอร์ของผู้หญิงแต่ละคนในนิยายเรื่องนี้ ฉายบุคลิกภาพของผู้หญิงในแต่ละยุคสมัยออกมาอย่างชัดเจน เช่น ตัวละคร ‘โรส’ ที่เป็นนางแบบและนักธุรกิจค้าข้าวในยุค 90 ก็จะเห็นว่านี่คือการเคลื่อนที่ของผู้หญิงในสังคมที่กำลังก้าวขึ้นมาสู่ยุค Working woman เล่าผ่านบุคลิกของโรสที่ไว้ผมทรงบ๊อบสั้นแบบ เดมี มัวร์ ที่กำลังได้รับความนิยมในขณะนั้น ตัวละครผู้หญิงคนอื่นๆ ในนิยายก็เป็นภาพตัวแทนของแต่ละยุคสมัยด้วยเหมือนกัน

เมสเสจอันหนึ่งที่ผมใส่เข้าไปในเรื่องก็คือ ไม่ว่าจะเพศชายหรือหญิง เราต่างเผชิญชะตากรรมเหมือนๆ กัน เราร่วมสร้างบาดแผลให้กันและกันตอนที่เรายังอินโนเซนต์ เราสูญเสียความบริสุทธิ์ สูญเสียพรหมจรรย์ให้แก่กันเพื่อจะได้เรียนรู้และเติบโตขึ้นมาเป็นเราอย่างทุกวันนี้ ในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ก็ทำให้เราได้บทเรียน มีพบมีพราก พบกันใหม่พรากกันใหม่ เจอคนใหม่ที่ดูเหมือนจะใช่แต่เดี๋ยวก็พรากจากกันอีก นิยายเรื่องนี้จึงเป็นเหมือนบทเรียนชีวิตที่ตัวละครพยายามจะผลัดตัว ผลัดขน ผลัดวัยออกไปจากคนที่เขาเคยเป็น เพื่อจะเติบโตขึ้นไปเป็นคนอีกแบบหนึ่ง

จุดเด่นอย่างหนึ่งของนิยายเรื่องนี้คือฉากอีโรติก จะสำนวนภาษา การเลือกใช้ถ้อยคำพรรณนาทำคนอ่านซี้ดปากกันเป็นแถว เพราะแรง ตรง ดิบเถื่อน มีความงดงามและความอัปลักษณ์ผสมปนเปกันไป คุณมีมุมมองต่อฉากเซ็กส์ในนิยายเรื่องนี้อย่างไร

เซ็กส์มันจะสนุกไม่ได้ถ้าเราไม่สร้างความสัมพันธ์ที่ทำให้เกิดเซ็กส์ที่สนุก ถ้าคุณมองว่าฉากเซ็กส์ในนิยายเรื่องนี้ดี นั่นก็เพราะว่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่เราสร้างมันสนุก ก็เลยทำให้เซ็กส์มีรสชาติ

ตั้งแต่นิยายเล่มแรกๆ เราเขียนฉากเซ็กส์มาตลอด สำหรับเรามันคือการเขียนตอบสนองคนอ่านด้วยการเข้าไปนั่งอยู่ในฉากนั้น เพื่อให้คนอ่านได้รับรู้ว่าเวลาที่ตัวละครเงี่ยนมันเงี่ยนยังไง แต่ฉากเซ็กส์ของเราก็มีพัฒนาการของมัน ช่วงหลังๆ ฉากเซ็กส์ของเรากลายเป็นสิ่งที่บอกนัยความหมายแบบอื่น เราเขียนถึงฉากเซ็กส์ที่ไม่รื่นรมย์แล้ว เริ่มจะเป็นสิ่งที่น่าหดหู่ มันคือบทสนทนาของคนคู่หนึ่งที่ไม่อาจพูดได้ในชีวิตประจำวัน แต่มาเปิดเผยในฉากร่วมรักแทน เพราะฉะนั้นเซ็กส์ในเรื่องเล่าของเรายุคหลังมันไม่ใช่การตอบสนองอารมณ์ทางเพศอย่างตอนที่เริ่มเขียนใหม่ๆ

สมัยก่อนเวลาเราเขียนฉากเซ็กส์ คนอ่านต้องเตรียมทิชชูเลยนะ (หัวเราะ) แม่งเร้าอารมณ์ ต้องชักว่าว ต้องสำเร็จความใคร่ แต่ช่วงห้าหกปีหลังเราไม่ได้เขียนแบบนั้นแล้ว ฉากเซ็กส์ของเรามีแต่ความหดหู่ อย่างใน ร่างของปรารถนา คือบรรยายแบบน้ำอสุจิหยดอยู่ตามพื้น ต้องหาทิชชูมาเช็ด ใครเขาเขียนกันแบบนี้วะ มันน่ารื่นรมย์ตรงไหน จริงๆ แล้วเราว่าเซ็กส์แม่งไม่มีอะไรน่ารื่นรมย์หรอก มันเป็นเรื่องตลก เราเขียนมันออกมาให้ดูตลก ทุลักทุเล เก้ๆ กังๆ เพราะในความเป็นจริงเซ็กส์มันเป็นแบบนั้นเว้ย แต่ไม่รู้ทำไมเวลามันถูกสร้างขึ้นมาส่วนใหญ่มักเต็มไปด้วยความรัญจวน ทุกอย่างดูสมูทไปหมด ลื่นไหลอย่างกับเพลงฟิวชั่นแจ๊ส แต่ฉากเซ็กส์ในนิยายของเรามักเต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยเงื่อนไข เต็มไปด้วยความประดักประเดิด

ฉากเซ็กส์ใน โชติชีวิตบรรลัยของแพทริก ชั่ยฯ มันก็โผล่ขึ้นมาเพื่อบอกบางอย่าง บอกความสัมพันธ์แบบที่ไม่ใช่แค่คนเอากัน แต่มันต้องบอกนิสัยของตัวละคร บอกพื้นภูมิของตัวละครแต่ละคนที่แตกต่างกัน บอกความไม่ถนัดจัดเจน บอกขนบธรรมเนียมประเพณีที่แต่ละคนแบกกันมา

มีประโยคหนึ่งที่คุณบรรยายว่า ‘มีบางคืนผมทำได้ถึงห้าครั้ง เหือดจนไม่มีอะไรจะออก เป็นแต่การงัดกระตุกเสียดขัดแบบปวดหน่วง’ อ่านแล้วรู้สึกอึดอัดทรมาน ทำไมถึงเลือกคำพวกนี้มาบรรยายฉากร่วมรัก

ก็มันเจ็บจริงไหมล่ะ (หัวเราะ) ถ้าคุณไปเอาใครมันก็เจ็บแบบนั้นแหละ

เวลาเรามีอะไรกับใครและได้สัมผัสกันมันเป็นสิ่งที่มีค่ากับเรามาก มันเป็นประสบการณ์ที่เราอยากเก็บมันไว้ทุกรายละเอียด ก็เป็นสมบัติของเราอะ ไม่ว่าจะเป็นการดูด ตอด ขมิบ จิก ข่วน เราก็อยากกลืนกินไปกับมันเพื่อที่จะสามารถอธิบายผัสสะนั้นออกมา

ในโลกของพวกผู้ชายที่ชอบกินไปเรื่อย เจ้าชู้ ไม่รู้จักพอ แดกเสร็จเดี๋ยวก็ไปหาแดกอย่างอื่นต่อ เบื่อแล้วเก่าแล้วก็ไปหาของใหม่ มันคือสิ่งที่สามารถจะ represent ผัสสะของผู้ชายพวกนั้นออกมาได้ ขณะที่อีกเพศหนึ่งก็อาจมองว่าไม่ใช่สารัตถะสำคัญของชีวิต สาระสำคัญของชีวิตคือการได้อยู่ด้วยกัน นั่งหายใจไปเปล่าๆ ด้วยกัน โรแมนติกจะตาย แต่ไม่ว่ายังไงมันก็จะมีความกระหายของผัสสะที่แล่นไหลอยู่ในตัวมนุษย์เหมือนกันแหละ ไม่ว่าจะผู้ชายหรือผู้หญิง

ทำไมถึงใช้คำว่า ‘โชติชีวิตบรรลัย’ เป็นชื่อเรื่อง มีเมสเสจอะไรที่คุณอยากจะสื่อ

ตัวละคร แพทริก ชั่ยฯ คือผู้ชายที่คนหนุ่มด้วยกันใฝ่ฝันอยากจะเป็น ทั้งรูปหล่อ พ่อรวย ควงผู้หญิงเยอะแยะมากมาย มีชีวิตที่โชติช่วง อยู่ในสถานะที่ใครๆ ก็ต้องมอง

แต่ภายใต้หน้าฉากที่ดูดีมันมีความบรรลัยฉิบหายวายป่วงอยู่เบื้องหลัง มันมีบาดแผลเหวอะหวะอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างก็เจอกันไม่มากก็น้อย แต่เราเลือกที่จะวางตัวยังไง หน้าฉากดูดี ใครจะรู้ว่าหลังฉากอาจเน่าเหม็นก็ได้ เราว่ามันเป็นช่วงเวลาของชีวิตคนคนหนึ่งตั้งแต่เกิดจนเกือบตาย ในงานวรรณกรรมต่างประเทศมีคำแบบนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็น Life’s time, Life and Death ช่วงเวลาที่โชติช่วงแม่งก็ดีสุดๆ ช่วงที่ฉิบหายแม่งก็บรรลัยสุดๆ ซึ่งชีวิตมนุษย์คนหนึ่งมันประกอบขึ้นมาจากสิ่งเหล่านี้

เราก็คิดว่าจะตั้งชื่อนิยายแบบไหนดี ชีวิตและความตายของแพทริก ชั่ยฯ แม่งก็จื๊ดจืด เลยลองสร้างผสมคำใหม่ขึ้นมา จะใช้คำว่าช่วงชีวิตก็ไม่ใช่ จะใช้คำว่าโชติช่วงชัชวาลบรรลือ บรรลืออะไรล่ะ ก็เป็นบรรลัยเลยดีกว่า ประมาณว่าเวลาโชติช่วงแม่งก็ลุกไหม้เผาผลาญ บทจะบรรลัยก็มอดไหม้อย่างรวดเร็ว อะไรอย่างนี้ สุดท้ายเลยมาลงตัวที่ โชติชีวิตบรรลัยของแพทริก ชั่ยฯ

กลับมาที่ชีวิตส่วนตัว ปีนี้อายุ 47 คุณรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาบ้างไหม

การมีอายุมากขึ้นมันมหัศจรรย์เสมอเนอะ ตอนนี้เราอายุ 47 แล้ว ถามว่าเหงาไหม ก็เหงาแหละ แต่มันไม่ได้เหงาแบบเดิมอีกแล้ว ไม่ได้เหงาเหมือนตอนอายุ 25 หรือ 30 ตอนนี้เหงาแบบพึงพอใจ สบายแล้ว

ทุกครั้งที่ผ่านช่วงวิกฤตมาก็จะพบว่า เราหันกลับไปมองมันด้วยสายตาอีกแบบหนึ่ง ตอนนี้เรารอที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อจะได้มองด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน พออายุ 50 เราอยากย้อนกลับมามองตัวเองว่าตอนอายุ 47 เราเจอกับปัญหาอะไร ผ่านมันมาได้ยังไง และเรารับมือกับชีวิตช่วงนั้นได้ดีแค่ไหน

ช่วงเบิร์นเอาท์ หมดไฟ คุณมีวิธีประคับประคองตัวเองออกมาจากจุดนั้นอย่างไร

เวลาเจอวิกฤตเราก็ต้องกลายมาเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นคือสนใจคนอื่นน้อยลง แล้วหันมาดูแลตัวเองอย่างจริงจังขึ้น ก็ทำอาหาร ออกกำลังกาย เล่นเฟซบุ๊คให้น้อยลง รีบเข้ารีบออก (หัวเราะ) อย่าไปฟังเสียงอะไรในนั้นมาก มันเป็นเรื่องของการมีช่วงเวลาที่จริงจังกับตัวเอง แค่จัดการให้จริงจังกับตัวเองมากขึ้นมันก็จะผ่านไปได้เร็วขึ้น ไม่ใช่พอเจอวิกฤตแล้วหันไปมองคนอื่นว่าชีวิตใครสุขสบาย หรือพยายามจะหนีไปจากวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น แต่เราต้องคิดว่าจะดูแลตัวเองยังไงให้ดีขึ้นกว่าเดิม

เคยได้ยินคนวัยเดียวกับคุณพูดว่า ยิ่งแก่ตัวยิ่งไม่อยากออกไปคบหาสมาคมกับคนอื่น อยากอยู่คนเดียวมากขึ้น คุณว่าจริงไหม

ทุกวันนี้ก็มีคนชวนตลอดเวลามีงานที่นั่นที่นี่ เดี๋ยวจัดงานบุ๊คแฟร์ เดี๋ยวชวนไปปรากฏตัวที่บูธ ช่วงหลังตั้งแต่ก่อนโควิด เราก็เริ่มปฏิเสธ พอโควิดมาก็ไม่ได้ออกไปไหนเลย ไม่ได้กลัวว่าจะติดหรือไม่ติดเชื้อนะ แต่มันไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นแล้ว เราเลือกได้ว่าจะไปหรือไม่ไป ซึ่งส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไม่ไป เราไม่อยากออกจากบ้านแค่นั้นเอง

เบื่อคนเหรอ

เบื่อคนแต่ก็ชอบอยู่แวดล้อมคนนะ คุยอยู่ข้างๆ ก็พอ เจอกันแค่พอดีๆ

บางทีมันมาในรูปแบบงานเปิดตัวหนังสือ เราไม่ได้อยากไปเปิดตัวหนังสือหรอก แต่อยากไปเจอเพื่อน ดื่มกันนิดหน่อยแล้วก็กลับ อย่างคอร์สสอนเขียนหนังสือ บรรยายวรรณกรรม อันนี้เราก็ปฏิเสธไปเยอะ เพราะช่วงหลังเริ่มรู้สึกว่าเราไม่มีความรู้พอที่จะแบ่งปันอะไรให้กับใครได้ขนาดนั้น การไปบอกเล่าประสบการณ์ให้กับคนที่กำลังเริ่มหัดเขียนหรือนักเขียนใหม่ เรารู้สึกว่าประสบการณ์เราอาจไม่จำเป็นสำหรับเขาแล้ว เราไม่มีอะไรจะแบ่งปัน ไม่คิดว่าประสบการณ์ของเรามันมีประโยชน์ต่อคนรุ่นหลังแล้ว แม้แต่การสัมภาษณ์แบบนี้ด้วย เอาจริงๆ เราก็เลือกนะ ไม่ใช่ทุกที่ที่ติดต่อมาแล้วจะให้สัมภาษณ์หมด ใครอยากฟังเราวะ เราอาจจะเป็นคนที่แม่งตกยุคสมัยไปแล้ว เป็นชีวิตอีกแบบ เป็นประสบการณ์อีกแบบที่อาจจะใช้ไม่ได้จริงกับโลกปัจจุบันนี้แล้ว

ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาเตรียมที่จะเฟดเอาท์ออกไป เอาตัวเองออกไปจากสังคม ไม่ใช่แค่ตัวตนของเรา การเขียนหนังสือของเราด้วย มันเป็นช่วงที่คลื่นลูกใหม่ก็เข้ามา เราเรียนรู้มานานตั้งแต่เข้ามาในแวดวงวรรณกรรม สมัยนั้นเราก็เป็นคลื่นลูกใหม่ เสียงดังด้วย คลื่นลูกใหม่อย่างกูนี่แหละจะซัดแม่งให้เกลี้ยงเลย มาถึงวันนี้ก็เรียนรู้ว่าไม่ต้องมีใครมาซัดกู เดี๋ยวกูเฟดออกไปเอง (หัวเราะ) ทุกวันนี้เป็นเรื่องของการให้พื้นที่กับคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความสามารถ ต้องยอมรับจริงๆ ว่าทุกยุคสมัยสร้างคนที่เก่งกว่าเรา สร้างคนที่มีหัวจิตหัวใจมากกว่าเราเสมอ บางทีการอยู่นานๆ มันก็ทำให้รู้สึกหวงตำแหน่งแห่งที่เหมือนกัน เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะค่อยๆ เฟดออกไป

มันถึงขนาดต้องเฟดตัวเองออกไปเลยเหรอ ไม่เร็วไปใช่ไหมในวัย 47

โลกเดี๋ยวนี้มันไวนะ อายุเฉลี่ยของคนที่เสียชีวิตไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อายุขัยคนสมัยก่อนอยู่ที่ 80-90 ปี เดี๋ยวนี้ 50-60 ปี ก็แทบไม่อยู่กันแล้ว ระยะเวลาของการรอคอยใครสักคนในสมัยก่อน มันรอกันด้วยระบบการส่งโทรเลข เขียนจดหมาย แต่ปัจจุบันแค่ส่งข้อความไปแล้วเขาไม่อ่าน มันก็ยาวนานเหมือนรกโลกันต์แล้ว

เคยมีช่วงจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของชีวิตไหม

เคยถามตัวเองเหมือนกันว่านี่เราเจอจุดสูงสุดในชีวิตแล้วหรือยังวะ ผ่านมันมาแล้วหรือยัง หรือมันยังมาไม่ถึง เดี๋ยวมีมาอีกระลอก

นี่แหละคือชีวิต เราไม่รู้หรอกว่าช่วงไหนคือจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด ช่วงไหนเคยสูงเคยต่ำ มันมีอยู่แล้ว แต่ไม่แน่ใจว่ามันต่ำสุดหรือสูงสุดแล้วหรือยัง และมันยังคุ้มค่าพอไหมที่จะทำให้เราอยู่รอจนถึงวันนั้น

แล้วทุกวันนี้ยังมีสิ่งใดที่คุณรอคอยอยู่ไหม มีเป้าหมายอะไรที่ยังทำให้คุณทะเยอทะยานอยากจะไปให้ถึง

ออกไปจากตัวเอง ออกไปจากที่นี่ เรารู้สึกว่าเราคงจะมีชีวิตชีวามากถ้าได้ไปต่างประเทศ ได้ไปแบบเรสซิเดนต์ที่ไหนสักระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็อาจเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ ได้ทำกิจกรรม ได้ไปมีปฏิสัมพันธ์กับโลกอื่นที่ไม่ใช่โลกในแบบที่เราคุ้นเคยอย่างตรงนี้ บางทีมันอาจจะเป็นอากาศใหม่ๆ ที่เราอยากหายใจกับมัน

ถามว่ายังมีความหวังอะไรที่เรารอคอยอยู่ไหม จริงๆ ก็คิดว่าการที่นิยายเราได้แปลเป็นภาษาอื่นแล้วมันจะไปมีชีวิตใหม่ในต่างประเทศ เราก็เฝ้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อเหมือนกันว่าคนอ่านที่นั่นเขาจะตอบรับ จะพูดถึงหนังสือเรายังไง เรายังเฝ้าฝันถึงการไปเป็นคนอื่น ไปเป็นสิ่งอื่น ไปเป็นเรื่องเล่าอื่นในสถานที่อื่น นี่ไม่ได้ออกไปไหนมา 2 ปีแล้ว อยู่ติดที่นานๆ เราก็จินตนาการตลอดว่าการไปมีชีวิตอื่นมันจะสุขารมณ์แค่ไหน นี่คือสิ่งที่เราเฝ้ารออยู่