คุยกับ ‘ท็อป-ระวี พิริยะพงศ์ศักดิ์’ ผู้กำกับ ‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ หนังถ่ายทอดชีวิตของนักมวยไทยที่ชีวิตเลือกอะไรไม่ได้นอกจากเลือกที่จะสู้
ครั้งแรกกับการก้าวมาสู่เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เต็มตัวของ ‘ท็อป-ระวี พิริยะพงศ์ศักดิ์’ ผู้ที่คลุกคลีอยู่ในวงการสื่อมาหลายปีและมักนำเสนอประเด็นทางสังคมหรือความเหลื่อมล้ำที่คนส่วนใหญ่มักมองข้ามผ่านงานวิดีโอสารคดี
คราวนี้เขาเลือกนำเสนอเรื่องราวชีวิตของนักมวยไทยในอีกแง่มุมหนึ่งมาถ่ายทอด ผ่านเส้นทางชีวิตจริงของ 4 นักสู้ทั้งในสังเวียนและนอกสังเวียนว่าแท้จริงแล้วชีวิตนักมวยไทย โดยเฉพาะนักมวยที่ไม่มีแต้มต่ออาจมีอะไรมากกว่าที่เราคิด เพราะชีวิตพวกเขาต่างแขวนไว้บนโชคชะตาที่จะพาชีวิตรุ่งโรจน์หรือจบลงแบบใดนั้น คำตอบอยู่บนผืนผ้าใบขนาด 7 เมตร ตัดสินกันเพียงช่วงเวลาสุดท้ายของระฆังยกที่ 5 ที่มีเพียงหมัดและหัวใจเป็นอาวุธ
BrandThink จึงอยากชวนมาทำความรู้จักผู้กำกับไฟแรงคนนี้กันให้มากขึ้น ผ่านบทสนทนาด้านล่างนี้
ก่อนหน้าที่จะมาทำภาพยนตร์ คุณเคยทำงานด้านไหน หรือมีผลงานอะไรบ้าง
ก่อนหน้านั้นเรามีผลงานเกี่ยวกับ Documentary online อยู่ที่ BrandThink มาประมาณ 5 ปี
รูปแบบการทำงานมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
สำหรับเรา จริงๆ แล้วสไตล์มีความคล้ายคลึงกันอยู่ เพราะด้วยสิ่งที่เราอยากเล่ามันเหมือนกัน คือประเด็นเรื่องทางสังคม แต่ส่วนที่ต่างกันคงเป็นเรื่องระยะเวลาของงาน
แล้วประเด็นทางสังคมที่ว่านี้ คุณสนใจเรื่องอะไรบ้าง
หลักๆ แล้วเราสนใจเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ความไม่แฟร์อะไรบางอย่างในสังคม แล้วด้วยความที่เราเคยไปอยู่ต่างประเทศมา พอกลับมาไทยทำให้เราเห็นชัดถึงความแตกต่าง โดยบางเรื่องที่สังคมไทยส่วนใหญ่โอเค จริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่จะไม่ควรโอเค ยกตัวอย่างเรื่องที่เราเคยทำสารคดีคนไร้บ้านที่เหมือนเราเห็นกันจนชิน จนไม่รู้สึกอะไรแล้ว เราเลยยิ่งอยากหยิบมาเล่า หรืออย่างเรื่องกัญชาที่มีเรื่องของรัฐที่พยายามผูกขาดอะไรบางอย่าง ซึ่งหลักๆ มันคือการพูดถึงมนุษย์ พูดถึงระบบ ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้
อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณเข้าสู่วงการภาพยนตร์
เราชอบภาพยนตร์อยู่แล้วไง เพราะด้วยความที่เราชอบดูหนังตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็เรียนสายทำหนังด้วย เลยรู้สึกว่าเป้าหมายหลักคือเราอยากทำหนังที่เอาคนดูให้อยู่ และให้น่าติดตาม แต่พอก้าวมาเป็นผู้กำกับแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นเป้าหมายแท้ๆ แต่ตอนนี้เรากลับไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
พออธิบายได้ไหม ทำไมถึงเกิดความรู้สึกนั้น
อาจจะเป็นเพราะเพิ่งเริ่มมั้ง เพิ่งเริ่มเข้ามาเป็นผู้กำกับ รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอยู่เลย ยังไม่รู้สึกว่าเป้าหมายมันสำเร็จแล้ว เราแค่อยากทำ แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่า การเป็นผู้กำกับดีกว่าอาชีพอื่นๆ ในสังคม
แล้วการที่คุณอยากทำภาพยนตร์แล้วได้ทำ คุณรู้สึกดีไหม หรือตอบโจทย์แง่ไหนบ้าง
เราอุตส่าห์เรียนมา ก็อยากทำงาน อยากใช้เวลากับสิ่งนี้ เหมือนที่เขาเคยพูดๆ กันว่าเอาความฝันมาเป็นงาน มันก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนทำงานอยู่ หมายถึงมักจะมีคำถามที่ว่าทำงานตรงนี้หนื่อยไหม เราก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยอะไร เพราะเป็นสิ่งที่เราอยากทำอยู่แล้ว ไม่ได้รู้สึกยาก หรือรู้สึกว่ามีอุปสรรคอะไร แค่อยากทำแล้วก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ คล้ายๆ กับเรากำลังวิ่งอยู่
ว่าด้วยภาพยนตร์ ทำไมถึงต้องชื่อเรื่อง ‘5th Round สังเวียนมวยรอง’
แบ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษ ภาษาไทยนะ เพราะตั้งแต่ตอนเริ่มโปรเจกต์นี้คือ ตั้งมาจากมวยไทยเป็นกีฬาต่อสู้ประเภทเดียวที่มี 5 ยก แล้วตอนนั้นเรารู้สึกว่าอยากหยิบกิมมิกความเป็น 5 ยกมานำเสนอเรื่องราว เลยกลายเป็นชื่อภาษาอังกฤษ
ส่วนชื่อไทยตรงตามความหมายของมวยไทย คนที่เป็นมวยรองก็คือคนที่เสียเปรียบในการชก แล้วเรารู้สึกว่าแต่คนละคนที่อยู่ในเรื่องเป็นคนที่เสียเปรียบ ไม่ได้ถูกมองว่าชนะ ในอีกแง่หนึ่งเรารู้สึกว่า นักมวยไทยทุกคนเป็นมวยรองของสังคมอยู่แล้ว พวกเขาเกิดมา ไม่มีแต้มต่ออะไร พวกเขาต้องเจอ ต้องสู้ โดยแทบจะไม่มีทางชนะ
เปรียบชีวิตคนเราเหมือนกับการขึ้นชกในแต่ละยก?
ใช่ๆ จุดประกายมาจากตรงนี้ด้วย เพราะในแต่ละยกมีความแตกต่างในการชกที่ไม่เหมือนกัน เลยเปรียบเทียบ 5th Round กับนักมวยที่อยู่ในเรื่อง ค่อยๆ เล่าไล่ลำดับเรื่องราวของนักมวยทั้ง 4 คนแล้วมีบทสรุปส่งท้าย เหมือนกับเป็นยกตัดสิน แม้นักมวยจะชกดีหรือไม่ดีมาก็ตาม ยังไงมาจบที่ยกสุดท้าย ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เหมือนกับชีวิต
ถ้าอย่างนั้นสำหรับคุณ ยกที่ 5 มีความพิเศษอย่างไร
จริงๆ มันมีความหมายที่หลากหลายเหมือนกันสำหรับเรา เรามองว่านักมวยประมาณ 99 เปอร์เซ็นต์ เขาจะคิดว่ายกที่ 5 เป็นยกตัดสินใช่ไหม เขาไม่ได้นึกถึงว่าชีวิตต่อจากนั้นจะเป็นยังไงต่อ ซึ่งส่วนใหญ่นักมวยจะแขวนนวมกันตอนอายุ 30 เราเลยคิดว่ามันพิเศษตรงที่อยากตั้งคำถาม ว่าหลังจากยกที่ 5 จริงๆ ชีวิตพวกเขายังไม่ได้จบลงนะ
แล้วเคยย้อนมองกลับไปมองยกที่ 5 ของตัวเองบ้างไหม
จริงๆ มันก็เหมือนชีวิตของคนเราทุกคน อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่า 5th Round เป็นหนังยาวเรื่องแรกที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด แต่ชีวิตคนเราไม่มีจุดสิ้นสุด จนกว่าเราจะตาย ยังคงมีอะไรให้เราทำไปเรื่อยๆ
‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ พูดถึงมวยไทย คุณอินกับมวยมาก่อนไหม
เราไม่อินกับมวยไทยมาก แต่เหมือนที่เราบอกว่าอยากทำหนังที่เกี่ยวข้องกับสังคม จริงๆ ตอนแรกก็มีหลายโปรเจกต์ที่จะทำ แต่เราเริ่มจากสนใจมวยเด็ก ยิ่งพอไปรีเสิร์ช ยิ่งพบว่ามีประเด็นหลายเรื่องที่เราอยากเล่าเรื่องความเหลื่อมล้ำ การกดทับของสังคม ชีวิตผู้คนที่ไม่มีทางเลือก ซึ่งมวยไทยทุกคนโดนเรื่องเหล่านี้
พอลงไปรีเสิร์ชเรื่อยๆ ทำให้อินกับเรื่องมวยไทยขึ้นไหม
เราอินกับชีวิตพวกเขามากกว่า คือเราว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังชีวิตมากกว่าหนังมวยไทย เหมือนเป็นหนังการเติบโตของคน โดยมีมวยไทยเป็นเบื้องหลังชีวิต ที่ทำให้คนดูเข้าใจประเด็นที่ต้องการสื่อสารง่ายขึ้น และชัดเจนมากที่สุด คือเรื่องของความเป็นนักสู้ของคนที่ไม่มีทางเลือก
แล้วทำไมถึงเลือกเล่าเรื่องมวย ในรูปแบบของ Real Footage
การนำมาเล่าแบบนี้มันได้ความจริงอะไรบางอย่าง แล้วยิ่งความเป็นนักมวยไทย ไม่ได้เป็นคนที่ออกกล้องบ่อยๆ ทำให้ได้ความธรรมชาติของคน เราปล่อยให้เขาใช้ชีวิต ขณะที่เราก็ไม่ได้ตามติดตลอดเป็นปี แต่จะเข้าไปเก็บโมเมนต์หรือสถานการณ์สำคัญๆ ในชีวิตของพวกเขาเอาไว้
มุมมองหรือความเชื่อต่อมวยไทย ก่อนที่จะลงมาคลุกคลีหรือทำความรู้จักอย่างลึกซึ้ง เป็นอย่างไร
เราว่าเหมือนคนไทยทุกคนเคยเห็นมวยไทยแบบผ่านๆ กันมา อย่างของเราไม่ได้เคยดูมวยไทย แต่จําได้ว่าตอนเด็กๆ ไปตัดผมร้านบาร์เบอร์ คนตัดผมแม่งก็เปิด แต่ก็ไม่รู้รายละเอียดเชิงลึก อาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงในเชิงความเชื่อ แต่ทำให้เห็นมุมมองมากขึ้นจากการลงไปทำความเข้าใจ จากที่ก่อนหน้านี้เราอาจจะมีมุมมองอีกอย่าง ในแง่ที่เราเข้าใจบริบทของสังคมไทยด้วย
ความรู้สึกในวันที่ถ่ายทำภาพยนตร์เสร็จสิ้นเป็นอย่างไร
สำหรับเรามันยังไม่จบ จนกว่าจะถึงวันฉาย เพราะตลอดการถ่ายทำเราไม่รู้สึกว่ามันยาก หรือกลัวว่าจะไม่ถึงปลายทางเลย เพราะเอาจริงๆ นะ มันไม่มีเวลามานั่งคิดอะไรพวกนี้เลย ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเราไม่มีโมเมนต์ความรู้สึกนั้น เราคิดแต่ว่าจะทำยังไงให้มันเสร็จมากกว่า ไม่ได้ท้อ หรือกลัวกับอุปสรรค แต่กลับเอนจอยมากกว่า สนุกในการแก้ไข
แล้วมีความกลัว หรือความคิดบ้างไหมว่าเรื่องราวมันอาจไม่เป็นไปอย่างที่คาดหวังไว้
เราไม่ได้กลัว เพราะค่อนข้างมีอิสระในการทำงานแบบเต็มที่ เลยไม่ได้รู้สึกกดดันอะไรมากนัก แล้วเราก็มีภาพในหัวอยู่แล้วตอนก่อนที่จะไป มีการเขียนสคริปต์คร่าวๆ ก่อน ว่าอยากเล่าเรื่องอะไร แต่พอไปลงมือทำจริงๆ แน่นอนไม่ได้เหมือนกับที่เราคิดเอาไว้เลย (ยิ้ม)
ถ้ามองย้อนกลับไป พอเรื่องราวไม่ได้เป็นแบบที่คิด คุณคิดว่ามันดีหรือไม่ดี
จริงๆ จังหวะแรกก็รู้สึกช็อกประมาณหนึ่ง เออ เนี่ยมันคือความยากแหละ ที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พอถ่ายทำไปเรื่อยๆ เราเริ่มปรับตัวได้ เลยมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ ดีกว่าที่คิดด้วยซ้ำ เพราะหนังเรื่องนี้มันเล่าชีวิต แล้วชีวิตคนแม่งกำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ บางอย่างที่เกิดขึ้นในหนัง มันเขียนบทให้ไม่ได้
ตอนตามติดชีวิตของนักชก คุณได้คาดการณ์ไหมว่าการชกแต่ละครั้งจะต้องแพ้หรือชนะ
มีคาดการณ์ไว้ แต่ผิดหมดเลยไง พอถ่ายไปสักคน สักไฟต์หนึ่ง เรารู้เลยว่ามันควบคุมอะไรไม่ได้เลย แล้วพอไม่ได้เป็นแบบที่เราคิด ก็ยิ่งแบบยังไงต่อ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเสียศูนย์ แค่ต้องทำ ต้องปรับต่อไป คิดหาวิธีไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีเวลามานั่งคิดว่าทำไมถึงแพ้ ถึงชนะ หรือไม่เป็นแบบที่เราคิด
สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการขึ้นแท่นมาเป็นผู้กำกับ และได้ทำภาพยนตร์เรื่องนี้
พอหนังมีไลน์บางอย่างที่เราต้องนึกถึงจรรยาบรรณสื่อ เพราะหนังเล่าเรื่องของชีวิตคน ซึ่งเป็นคนจริงๆ มีตัวตน เรื่องบางเรื่องถ้าเราเล่าออกมามันอาจจะเป็นการทำร้ายเขา สิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ คือเรียนรู้ความเป็นมนุษย์ ที่มีทั้งความคิด ความรู้สึก ใน ‘5th Round สังเวียนมวยรอง’ เราก็อยากถ่ายทอดอารมณ์ของนักมวยออกมาให้ได้มากที่สุด
สุดท้าย คิดว่าผู้ชมจะได้รับอะไรจากการดู ‘5th Round สังเวียนมวยรอง’
กลับมาเรื่องชีวิตของนักมวยที่เรารู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาควรได้รับการมองเห็น อยากให้มีสวัสดิการ หรืออะไรมารองรับพวกเขา ได้รับการดูแลมากขึ้น เพราะมีนักมวยหลายคนเลย ตอนที่เรากำลังจะเลือกเขาแต่จู่ๆ ก็ดันเลิกชก อีกอย่างมันเหมือนเป็นการพูดแทนคนไทยทุกคน ไม่ใช่แค่วงการมวยไทย เหมือนเป็นการให้กำลังใจว่าเขาต้องสู้กับอะไร ให้ชีวิตเดินต่อไปได้