“ทุนไม่ใช่เรื่องของความเมตตา มันคือผลประโยชน์ต่างตอบแทน” คุยกับ ‘ปณิศา เอมโอชา’ นักเรียนทุนที่ย้ำว่า โอกาสสำคัญกว่าความเห็นใจ

9 Min
2478 Views
25 Feb 2023

เบื้องหลังของ ‘ปณิศา เอมโอชา’ หรือ ‘โบว์’ อดีตผู้ประกาศและนักข่าวสายเศรษฐกิจที่หลายคนอาจคุ้นหน้ากันอยู่บ้าง คือ การเป็นนักเรียนทุนตั้งแต่ระดับปริญญาตรีมาจนถึงปริญญาโท โดยทุนที่ได้รับมีตั้งแต่ทุนภายในประเทศไปจนถึงทุนของรัฐบาลต่างประเทศ ก่อนจะกลับมาทำงานให้กับสำนักข่าวระดับโลกแห่งหนึ่งซึ่งมีสำนักงานในไทย ทำให้เธอมองว่า ‘ทุน’ สามารถนำไปสู่การพัฒนาคนได้โดยไม่จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของการสังคมสงเคราะห์เพียงอย่างเดียว

ด้วยเหตุนี้ การให้โอกาสและทางเลือกในชีวิตกับผู้คนจึงอาจจะสำคัญกว่าความเห็นใจ และแน่นอน คนที่อยากได้ทุนต้องตอบให้ได้เช่นกันว่า ตัวเองมีจุดแข็งอย่างไรที่ควรจะได้รับโอกาสนั้น และถ้าใครสักคนถูกเรียกว่า ‘นักล่าทุน’ ก็อาจจะต้องยกให้เป็น ‘กรณีศึกษา’ มากกว่าจะประณามกัน

จากการเป็นเด็กทุนตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาโท มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้ขอทุนได้ตลอด

ก่อนจะไปถึงการขอทุน เด็กทุกคนต้องรู้จักตัวเองก่อน เพราะการขอทุนมันเป็นเรื่องเฉพาะตัวมากๆ ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เคล็ดลับนะ แต่หัวใจของการขอทุนมันคือ ‘คุณ’ มีดีอะไร

ทุนที่อาจจะเป็นที่รู้จักและเป็นที่คุ้นเคยมากกว่าสำหรับคนไทย เช่น ทุนของผู้ด้อยโอกาส อันนี้ก็ชัดเจน ว่ามีเงื่อนไขเรื่องการเงินเป็นหลัก แต่ก็มีทุนอื่่น ที่ไม่ใช่การเห็นใจ แต่เป็นทุนที่สนับสนุนด้านโอกาส ถ้าโตๆ กันแล้วก็มีทุนดูงานวิจัยต่างประเทศ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าคนที่ได้ทุนจะต้องขาดแคลนหรือไม่มีเงินเสมอไป

ทุนไม่ใช่แค่เรื่องของความเมตตา เราไม่ได้อยู่ในยุคที่มีแต่ทุนสังคมสงเคราะห์ เราอยู่ใน ‘ทุนนิยม’ เป็นการแลกเปลี่ยนกัน มันคือผลประโยชน์ต่างตอบแทน และการจะมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนอะไรกันได้ เราต้องรู้ตัวเองก่อนว่าเราจะเสนออะไรให้เขา และแน่นอนว่าเราต้องรู้ด้วยว่าทุนเขาต้องการอะไร

ปัจจัยหลักๆ ก็คือดูว่าเราชอบทำอะไร และต้องทำได้ดีด้วย เพราะถ้าชอบอย่างเดียวแล้วทำได้ไม่ดี มันเอามาเป็นเงื่อนไขในการต่อรองไม่ได้ และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องรู้จักตัวเองให้ดีพอ และต้องยอมรับความจริง เพื่อที่ว่าเมื่อถึงวันหนึ่งที่คุณจะต้องขายตัวเอง ก็ต้อง branding ตัวเองเป็นเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง เพื่อขายให้กับผู้ให้ทุน

การหาว่าตัวเองชอบอะไรอาจจะง่าย แต่จะชี้วัดอย่างไรว่าเราทำสิ่งนั้นได้ดีกว่าคนอื่น

สำหรับโบว์ รู้สึกว่าเราโชคดี เพราะว่าเราเติบโตจากการเป็นเด็กแข่ง แข่งเล่านิทาน แข่งโต้วาที และเงื่อนไขของการเป็นเด็กแข่งมันจะบีบเราเอง คือเราต้องอยากชนะก่อน และก็พยายามจนเอาชนะมาได้ ซึ่งการที่แข่งมาตลอดทั้ง 6 ปี ตอนเรียน ม.ต้น ม.ปลาย เราก็ต้องชอบมันในระดับหนึ่ง ก็เลยได้รู้ว่า เฮ้ย! นี่เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆ เราชอบภาษาอังกฤษ เราชอบพูด เราจับประเด็นได้ดี

แต่เราก็รู้สึกนะว่าเด็กไทยหลายๆ คนไม่มีโอกาสได้ทำกิจกรรมแบบนี้ จากปัจจัยต่างๆ ซึ่งไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะต้องไปแข่ง เพราะเราก็ไม่รู้ว่านักวิทยาศาสตร์ต้องทำยังไงเขาถึงจะรู้ว่าตัวเองอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับตัวตนของเรามันมาจากการแข่ง แล้วทีนี้มันก็เลยใช้หลัก ‘ตัดออก’ ได้ง่ายขึ้น เหมือนเราเขียนแผนภาพวงกลมขึ้นมา อ๋อ ฉันพูดภาษาอังกฤษเก่งนะ ฉันมีทักษะในการพูดที่ดีด้วย แล้วฉันก็มีทักษะในการสรุปความ และเราก็รู้ตัวว่าเราไม่ชอบทำงานออฟฟิศแน่นอน แล้วก็ไม่อยากเป็นเจ้าของกิจการ เพราะว่าเราโตขึ้นมากับการที่พ่อแม่ทำร้านอาหาร แล้วรู้ว่ามันเหนื่อยจริงๆ ซึ่ง ณ วันนั้น อาชีพผู้ประกาศข่าวก็ pop-up ขึ้นมา

วันที่ยังไม่ได้เริ่มเข้ามาเป็นนักข่าว ไม่เข้าใจว่านักข่าวทำงานยังไง เราก็ไร้เดียงสามาก คิดว่าจุดยอดสุดของการอยู่ในวงการข่าวคือการออกหน้าจอ จนวันที่เราได้เข้าไปทำ ซึ่งตอนนั้นยังเรียนไม่จบมหา’ลัยด้วย เพิ่งอยู่ปี 3 แต่ไปแข่งนู่นนี่โน่น ก็เลยได้เข้าไปเป็นผู้ประกาศที่ช่อง Voice TV ทำให้ได้รับรู้ว่า จริงๆ เรากลวงมากเลยนี่นา เรารู้สึกว่าเราอยากทำข่าวที่เราประกาศเองด้วย

แล้วอะไรคือเหตุผลที่คุณตัดสินใจขอทุนไปเรียนต่อ และพอกลับมาได้นำสิ่งที่เรียนไปใช้กับงานปัจจุบันไหม

หลังจากเป็นผู้ประกาศก็จับพลัดจับผลูมาเป็นนักข่าวเศรษฐกิจประมาณ 3 ปี ก็รู้สึกว่าเราไม่มีทางเป็นผู้เชี่ยวชาญได้เท่ากับคนที่จบทางด้านเศรษฐศาสตร์มาหรอก แต่เราจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานบางอย่าง เพราะสิ่งที่นักข่าวทำคือเปรียบเทียบและตรวจสอบข้อมูล เราคุยกับนักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน เขาพูดมาแล้วเรารายงานไปแบบนี้ก็จะต้องมีความรู้ความเข้าใจด้วย แต่ทีนี้การเรียนรู้จากการทำงานอย่างเดียวบางทีมันไม่พอ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงได้อยากไปเรียน Financial Journalism ที่มหาวิทยาลัยที่เขาเชี่ยวชาญด้านนี้

ก็หาข้อมูลเอง แล้วก็ตัดสินใจขอทุนเรียน ป.โท (ทุน Chevening) ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลมาก และมาจากรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เราได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ณ วันที่เราคุยกับเขา ในฐานะนักข่าวเศรษฐกิจเราอยากรู้และเข้าใจสิ่งที่เรารายงานมากกว่านี้ เพราะถ้าเราไม่เข้าใจแล้วรายงานออกไปมันจะเป็นปัญหา เรารู้สึกว่านี่เป็นโอกาสสำคัญ ซึ่งก็ขอบคุณและยินดีที่เขาให้บันไดและให้โอกาสในชีวิตเรา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยังมองว่ามันคือผลประโยชน์ต่างตอบแทน และเราเคารพซึ่งกันและกัน

หลังจากที่กลับมาจากอังกฤษ วิธีการคิดของเราเปลี่ยนแปลงไป แน่นอนว่ามันมีอิทธิพลจากการที่เราได้ไปทำงานที่สำนักข่าวต่างประเทศด้วย มันมีหลักหลายๆ อย่างที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงสำหรับสำนักข่าวต่างประเทศที่อยู่ต่างประเทศ สำนักข่าวต่างประเทศที่อยู่ในไทย และสำนักข่าวไทยที่อยู่ในไทย ไม่ได้บอกว่าใครดีกว่าใคร แต่มันต่างกันในทางวัฒนธรรมจริงๆ

แต่ก็มีหลายคนที่เรารู้จักที่ไปเรียนมาหลายๆ วิชา แต่เหมือนตลาดงานบ้านเรามันไม่พอ ไม่มีพื้นที่ให้ได้ทำงานเหมือนอย่างที่ไปเรียนมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของคนรับทุนแล้วล่ะ แต่อีกทางหนึ่งมันก็ไม่สามารถพูดได้ เพราะคนที่ให้ทุนก็อาจจะบอกว่านี่ไง ฉันให้ทุนแล้ว เธอไงต้องเป็นคนเริ่มตลาดงาน ซึ่งมันก็พูดยาก

ในการหาทุนแต่ละปีมักจะมีคนที่ถูกเรียกว่า ‘นักล่าทุน’ เพราะได้รับทุนจากหลายที่บ่อยๆ จนทุนไม่กระจายไปถึงคนที่ควรจะได้จริงๆ คุณคิดอย่างไรกับเรื่องนี้

ไม่คิดเลยค่ะ เพราะมันต้องกลับไปที่คำถามว่านักล่าทุนคนนี้เขาล่าทุนอะไร สมมติว่าเขาเป็นนักล่าทุนแล้วเขาไปล่าทุนกับทุนที่ควรจะสงเคราะห์คนด้อยโอกาสจริงๆ อันนี้ต้องไปถามว่าคนปล่อยทุนปล่อยมาได้ยังไงก่อน นึกออกไหม

ในระดับสากล ทุนมีความหลากหลาย แต่คำถามคือคุณเจอมันหรือเปล่า เพราะมันมีทั้งทุนระดับประเทศ ทุนของรัฐบาล และก็มีทุนที่เอกชนเป็นคนให้ ทุนมูลนิธิ แต่แน่นอนว่าคนที่จะหาเจอต้องมีต้นทุนประมาณหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดคุณต้องมีทักษะภาษาอังกฤษมากพอจะรีเสิร์ชสิ่งนี้ และเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ว่าเขาต้องการอะไร

เมื่อเราเข้าใจว่าทุนการศึกษาไม่ได้มีแค่ในมิติของสังคมสงเคราะห์ คุณจะเข้าใจว่าต้นทุนชีวิตมีอยู่จริง เราไม่เคยบอกว่าเรามายืนอยู่ตรงนี้โดยที่เราไม่มีอะไรมาเลย อันนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เราใช้ทุกต้นทุนชีวิตที่เรามี leverage ทุกการต่อรองของเรา

สิ่งที่เราขัดใจมากเวลามีคนมาถามว่าช่วยให้คำแนะนำหน่อย คือเราน่ะยินดีมากที่จะให้คำแนะนำ แต่ถ้าคุณไม่อ่านเลยแม้แต่หน้าเว็บไซต์ประวัติความเป็นมาของทุนนั้นๆ เราก็พูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าคุณไม่มีทางได้ทุนนั้นแน่นอน เพราะคุณไม่ทำการบ้านเลย

เราพูดตั้งแต่แรกแล้วว่าเรามองทุนเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน ถ้าเขาเป็นนักล่าทุนแล้วได้ทุนมาเยอะจริงๆ คุณควรจะไปศึกษาเขาด้วยซ้ำว่าเขามีอะไรดี ทำไมหลายๆ ที่ถึงให้ทุนเขา หรือถ้าคุณรู้สึกว่าการได้ทุนของเขามันควรถูกตั้งคำถามมากๆ ก็ต้องไปถามคนให้ทุน แต่ถ้ามันเป็นทุนที่เปิดให้ทุกคนเข้าไปแข่ง คุณไม่สามารถบอกว่าคนนี้แข่งได้ คนนี้แข่งไม่ได้ ไม่งั้นคุณก็ต้องมีเงื่อนไขออกมาเลย เช่น ทุนอังกฤษบอกว่าถ้าคุณได้ทุนของรัฐบาลอังกฤษมาก่อนแล้ว ภายใน 5 ปีคุณจะสมัครทุนนี้ไม่ได้ คุณก็ต้องเขียนเงื่อนไขมาให้ชัด ไม่ใช่ไปบอกคนว่าห้ามแข่ง

ชีวิตที่มีแต่การแข่งขันไม่ทำให้รู้สึกเครียดบ้างหรือ?

มันก็เครียด แต่ส่วนหนึ่งเราก็ชอบไง สำหรับเรา การแข่งทำให้เราเจอตัวเอง แต่ก็ยอมรับว่าการเป็นคนที่แข่งมาตลอดตั้งแต่เด็กจนโต สุดท้ายแล้วก็พบว่า ‘การไม่แข่งดีที่สุด’ เพราะทุกครั้งที่เราแข่งกับตัวเองหรือแข่งกับใคร มันอาจจะสะท้อนว่าเรากำลังแสวงหาการยอมรับจากสังคมภายนอก เราอยากชนะ เพราะถ้าเราชนะปุ๊บ พ่อแม่ก็จะดีใจกับเรา เราอยากชนะเพราะสังคมจะยกย่องเรา ถ้าเราชนะแล้วเพื่อนร่วมงานจะยินดีกับเรา หรือคู่แข่งจะมองเห็นเรา

และวันหนึ่งเราอาจจะรู้สึกว่าความสำเร็จที่ทำมาทั้งหลายแหล่มันเป็นแค่เครื่องประดับและมันเปราะบางมาก ก็เลยคิดว่า โอเค สุดท้ายแล้วก็คงต้องกลับมาถามตัวเองว่าทำไปเพื่ออะไร ไม่ได้ถามเฉยๆ ด้วยนะ ถามเพื่อหาคำตอบ เพราะจะได้รู้ และหาทางเยียวยาตัวเองไปให้ได้ ซึ่งนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครเลิกทะเยอทะยานนะคะ แค่เรารู้สึกว่าคนเราควรจะรู้จักตัวเอง รู้จักเป้าหมายของตัวเองว่าอยากจะทำอะไร ถ้ายังหาไม่เจอก็ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ หาไป แต่ถ้าทำไปแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ก็พยายามหาทางออกให้ได้

มีคำแนะนำเกี่ยวกับการขอทุนที่อยากส่งต่อให้รุ่นน้องหรือคนอื่นๆ ที่สนใจเรื่องนี้ไหม

เราคิดว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้ครูแนะแนวสำคัญมากๆ คือสำคัญมากกว่าและมีหน้าที่มากกว่าการบอกเด็กว่าข้อสอบ GAT-PAT ทำยังไง เช่น คุณได้เปิดโอกาสให้เด็กดูว่ามันมีอาชีพแบบนี้อยู่ มีคณะแบบนี้อยู่ อย่างเช่น คุณชอบด้านกฎหมาย ด้านนิติฯ นอกจากประเทศไทยแล้วยังมีที่นี่อีกนะ มีทุนนี้สำหรับ ป.ตรี มีทุนนี้สำหรับ ป.โท เรารู้สึกว่ามันต้องทำให้กว้างขึ้น เพราะว่าหลายๆ อย่างก็ตัดโอกาสเด็กจริงๆ หรือทำให้เรามารู้ช้าไป แต่อย่างเราเป็นคนที่เติบโตมาจากการหาเอาเองมากกว่า ทำเองตั้งแต่ต้น แต่ก็ได้รับความช่วยเหลือจากครูอาจารย์ในการเขียนจดหมายรับรองอะไรแบบนี้

เราเคยมองทุนประเทศไทยนะ มันเคยเป็นรางวัลที่น่าสนใจในวันที่เรายังเด็กอยู่ แต่เมื่อถึงวันที่เรามีทรัพยากรมากขึ้น เราเจออะไรมากขึ้น ได้เห็นโลกกว้างมากขึ้น เราไม่ได้มองทุนประเทศไทยเลย เพราะรู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ของเรา และในวันที่เราขอทุน เราไม่มีอำนาจจะไปบอกเขาหรอกว่า เธอๆ สนใจประเด็นนี้สิ มันยากไป เหนื่อยไป เราไปหาทุนที่เขาสนใจประเด็นนี้ตั้งแต่แรกและเขาให้ทุนเลยดีกว่า

เราไม่คิดว่ามีแค่ทุนชีฟนิ่ง (Chevening) ที่ให้ความสนใจในสายศิลปศาสตร์หรือสังคมศาสตร์ อีราสมุส (ERASMUS) ก็สนใจ รวมถึงฟูลไบรต์ (Fullbright) ของสหรัฐอเมริกา หรือทุนของออสเตรเลียเองก็มี

แล้วมันก็มีหลายกรณีที่คนได้ทุนตั้งแต่ยังค่อนข้างเด็ก แต่ภาระทุนมันผูกพันตัวหนักมาก อันนี้เราพูดในฐานะคนรับทุนนะ ในวันที่เราจรดปากกาเซ็นสัญญาไปแล้วก็คือตามนั้น เราทำอะไรไม่ได้มากแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าใครจะขอทุนอะไรก็ต้องดูว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรของภาครัฐ ของเอกชน หรือมีอะไรที่จะเป็นเงื่อนไขในชีวิตเรา ก็เลยบอกไม่ได้หรอกว่าการได้ทุนการศึกษาคือประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตนี้จะไม่ผิดพลาดอะไรแล้ว เพราะวันหนึ่งเราอาจจะรู้สึกว่ารู้งี้เลือกทุนที่ให้เงินน้อยกว่าแล้วมีภาระผูกพันน้อยกว่าดีกว่า อย่ามองแค่เงินอย่างเดียว

คุณเคยเจอสภาวะแบบนั้นไหม วันที่ทุนกลายเป็นภาระ ถ้าเคยแล้วผ่านมันมาอย่างไร

ก็มี suffer เหมือนกัน แต่กรณีของเราคือ suffer กับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้ว เราว่านั่นเป็นบ่อเกิดทุกข์แล้วนะ เพราะรู้สึกว่า เฮ้ย ทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นกับชีวิตเราวะ มันไม่ได้สิวะ เรารู้สึกพ่ายแพ้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ เราก็ยอมรับความจริงไป น้ำตาไหลไป กินข้าวไม่ลง จิตตกไปเหมือนกัน สุดท้ายแล้วทางที่จะออกจากความทุกข์นั้นก็คือยอมรับว่านี่คือเงื่อนไขที่มีอยู่ในชีวิต นี่คือ New Normal ฉันทำอะไรกับสิ่งนี้ได้บ้าง แล้วหาทางออกจากตรงนั้น แต่ก็ต้องไปคุยกับหมอด้วยเหมือนกัน

โดยปกติแล้วมหาวิทยาลัยน่าจะมีระบบช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษานักเรียนต่างชาติด้วย

เราไม่รู้ประเทศอื่น แต่เราพูดได้ว่าอังกฤษมีระบบสาธารณสุขของเขา NHS (National Health Service) ที่เป็นต้นแบบของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทย ทางมหา’ลัยก็มี Student Care Center ที่เราสามารถติดต่อได้ รวมถึง NHS ที่เราไปลงทะเบียนไว้เหมือนกับอนามัยใกล้บ้าน แต่ด้วยความที่มันเป็นถ้วนหน้า มันช้า ก็อาจจะไม่ได้คุยกับหมอจริงๆ เพราะว่าคนเยอะมาก แต่ก็จะมีบริการหลายๆ บริการที่สามารถโทรไปได้ โทรฟรี แต่ว่าต่อสายอาจจะนานนิดนึง แล้วก็จะได้คุยกับคนที่เขาเทรนมา แต่เขาจะไม่สามารถให้คำแนะนำเรื่องกินยาได้นะ เขาแค่รับฟังเราเฉยๆ

เราเคยทำแบบนั้นครั้งนึงแล้วเรารู้สึกว่ามันดีนะ คือเราไม่รู้ว่าเขาเลือกมาด้วยเหตุผลนี้หรือเปล่า แต่เสียงคนที่ฟังเรานุ่มมาก จำได้จนถึงวันนี้ เป็นผู้หญิงน่าจะวัยกลางคน แล้วเขาก็รับฟังเรา ซึ่งวันนั้นเราก็โทรไปประมาณตี 1 ด้วย เพราะเพื่อนแนะนำมา เราก็รู้สึกว่าน่าจะลองโทรไปคุยดู

แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไปจ่ายเงินหาหมอเองนะคะ เพราะหลายที่ต้องรอแล้วมันช้า และมันมีวันที่เรารู้สึกว่าไม่ไหว เราพอจะมีกำลังทรัพย์ ก็เลยจ่ายเงินดีกว่า แต่ที่อังกฤษมีบริการให้โทรไปขอคำปรึกษาอีกหลายเรื่อง มีเยอะมาก เคยต้องรอนานมากเพื่อจะถามเรื่องภาษี รอ 30 นาที ได้คุย 5 นาที แต่จบเรื่องเลย

เคยคิดเปรียบเทียบทุนต่างประเทศกับกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาในไทยบ้างไหม

จริงๆ เราเคยทำข่าวเรื่องนี้ คือระบบกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษามันมีความเป็นรัฐสวัสดิการ ซึ่งการคิดระบบขึ้นมามีหลายแบบ คืออาจจะไม่ให้ฟรีทั้งหมด ให้แค่บางส่วน แต่บางที่ก็ให้เรียนฟรีไปเลย ถามว่าเงินมาจากไหน ก็คือมาจากภาษี ทีนี้ของไทยเงินตั้งต้นกองทุน กยศ. มันเป็นกองทุนหมุนเวียน และจะต้องดำเนินการต่อไปด้วยตัวของมันเองได้ เพราะฉะนั้นเวลาคนไม่คืนเงิน แล้วเงินมันรันด้วยตัวเองไม่ได้ ก็จะเดือดร้อน ต้นมันเป็นแบบนี้ ผลมันก็เลยเป็นแบบนี้

แต่ในหลายๆ ประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษเอง หรือออสเตรเลีย นโยบายการศึกษามันเชื่อมโยงกับระบบการหักภาษี ซึ่งเขามีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี เพราะฉะนั้นอย่างอังกฤษเอง คุณกู้หนี้มา เขาก็หักไปเลย เมื่อถึงวันที่คุณเงินเดือนถึงเกณฑ์ที่รัฐบาลบอกว่าเงินเดือนประมาณนี้คุณจะต้องจ่ายคืนได้แล้ว ซึ่งก็แล้วแต่ว่าจะจ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ เขาก็หักไปเลยรายเดือน จบ

ส่วนของไทยก็ต้องถามว่า คุณอยากให้ กยศ. เป็นเงินกองทุนอยู่ หรืออยากจะเอาเงินภาษีของประชาชนมาทำให้มันเป็นระบบแบบอังกฤษหรือออสเตรเลีย หรือจะเรียนฟรีแบบสแกนดิเนเวียไปเลย คือต้องถามว่าคนในสังคมจะเอาแบบไหน แต่ประเด็นคือเราเก็บภาษีได้น้อย เศรษฐกิจก็ไม่ได้เติบโตมาก และรายได้หลักของประเทศจริงๆ มันคือภาษี ถ้ารายได้น้อย ก็ใช้จ่ายได้น้อย มันก็ตอบคำถามว่าทำไมที่ไทยทำอะไรๆ ก็ไม่ได้ ทำอะไรๆ ก็ไม่ดีไปหมด เพราะเราไม่มีเงินไปซัพพอร์ต หรือที่มีบางครั้งใช้ได้ดีแล้วหรือยัง

แต่เราเป็นนักข่าว มันไม่ใช่ความเชี่ยวชาญของเราที่จะไปบอกว่าต้องทำยังไงถึงจะเก็บภาษีให้ได้มากขึ้น จะต้องเก็บจากภาษีเงินได้บุคคล หรือจะต้องเก็บจากอะไร อันนี้ไม่ใช่คำถามที่นักข่าวจะเป็นคนตอบ แต่เป็นคำถามที่รัฐบาลต้องตอบ นักข่าวเป็นคนตั้งคำถาม เปรียบเทียบข้อมูล หรือคุยกับนักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน ส่วนหน้าที่ของรัฐบาลคือต้องไปคำนวณมา ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหรือการคำนวณภาษีก็ต้องเข้ามาช่วยกันรับเรื่องนี้ไป