คุยกับ ‘มันแกว’ ผ่าน 1 สมอง และ 2 เต้า ในวันที่เราโชว์นมและขับเคลื่อนสังคมไปได้ในเวลาเดียวกัน
“โชว์แต่นมไปเถอะมึงอะ ไม่มีสมอง ไม่ต้องมาออกความคิดเห็นการเมืองหรอก”
“การที่คนหนึ่งกลุ่มแอบอ้างความสงบแล้วมาหาผลประโยชน์ตรงนี้มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง”
“คำว่าศีลธรรมหรือคุณธรรม มันเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ตัดสินคนอื่นไม่ได้”
“เรามองว่าการเมืองแบบจริงใจและตรงไปตรงมาคือสิ่งสำคัญ”
ไม่ว่าคุณจะติดตาม ‘มันแกว’ รุ่งตะวัน ชัยหา เน็ตไอดอลเจ้าของฉายา ‘นมคุณธรรม’ เพราะอะไร แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเน็ตไอดอลสายเซ็กซี่คนนี้สร้างแรงกระเพื่อมใหม่ๆ ในสังคมไทยมาตลอด และใครที่ติดตามอย่างใกล้ชิด คงทราบดีว่าเธอไม่ได้เป็นแค่คอนเทนต์ ครีเอเตอร์สายหวาดเสียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่เธอยังเป็นอีกคนหนึ่งที่ออกมาเรียกร้องและขับเคลื่อนประเด็นทางการเมืองมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา
ในวาระที่เราได้รัฐบาลใหม่ BrandThink เลยชวน ‘มันแกว’ รุ่งตะวัน ชัยหา มาคุยกันเรื่องเหตุบ้านการเมือง ในวันที่อะไรๆ ก็เปลี่ยนไป ว่าเธอมองเห็นความเหมือนหรือแตกต่างอะไรในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา และอยากฝากอะไรไปถึงรัฐบาลใหม่บ้าง
เริ่มสนใจเรื่องการเมืองตั้งแต่ตอนไหน?
จริงๆ ก็สนใจมาตลอด อาจจะไม่ได้ลึกมากนัก แต่ตอนที่เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อ 8-9 ปีก่อน เราก็รู้สึกไม่เห็นด้วยกับหลายฝ่าย หลายคนอาจจะมองว่ามันเป็นเทรนด์ที่ต้องไปเป่านกหวีด แต่เรารู้สึกไม่เห็นด้วย มันเป็นเทรนด์ที่ไม่ค่อยสมควร มันคือการรัฐประหาร การเข้ามายึดอำนาจ
แต่ตอนนั้นเราทำงานบริษัทเอกชนอยู่ ถ้าเราโพสต์สิ่งที่อยู่ในใจของเราออกไป มันต้องแลกกับอะไรบางอย่าง มันมีผลต่องานแน่นอน แต่ตอนนั้นเราก็เลือกที่จะโพสต์ไปประมาณว่า ‘ไม่เอารัฐประหารได้ไหม ไม่โอเคกับตรงนี้’
ตอนนั้นเพจปลิวเลย เพจที่มีผู้ติดตาม 600,000 คน ปลิวไปเลย เพราะโดนรีพอร์ต แล้วก็โดนโจมตีจากคนในหลายวงการ จากคนที่เป็นคนดังในช่วงนั้น ก็จะอัดคลิปมาด่าเรา มันให้ความรู้สึกเหมือนโดนรุมด่าเลยตอนนั้น โดนประมาณว่า “โชว์แต่นมไปเถอะมึงอะ ไม่มีสมอง ไม่ต้องมาออกความคิดเห็นการเมืองหรอก วันๆ ก็โชว์แต่นมไปเถอะ”
ตอนนั้นเรารู้สึกเสียใจมาก เราแค่รู้สึกว่า มันเป็นความคิดของเรา มันเป็นการแสดงความคิดเห็นของเรา เราไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครด้วยซ้ำ แต่มันเหมือนกับคุณมาตัดสินตัวเรา และการแสดงออกของเรา
ไม่ว่าจะเป็น การเอาเรือนร่างมากดทับความคิดเห็นของเรา “อีนี่มันชอบโชว์นม มันต้องขายตัวแน่นอน มันต้องมีเสี่ยเลี้ยงเบื้องหลัง มันต้องมีนักการเมืองเป็นคนดูแล มันมีคนมาบอกให้มันโพสต์” ซึ่งจริงๆ แล้ว เราอยากชวนมานั่งคุยกันด้วยซ้ำ มาแลกเปลี่ยนความคิดกัน มานั่งถกเกี่ยวกับเหตุบ้านการณ์เมือง ว่าเรื่องราวและความคิดเหล่านั้นมันออกมาจากตัวเราจริงๆ แต่หลายคนเหมือนเลือกเอาอคติบังตา เลือกที่จะใช้โซเชียลในการที่จะทำลายเรา เลือกที่จะกดทับคำพูดของเราไว้
แค่อยากสวนกระแส หรือเราแคร์จริงๆ ว่าการเมืองตอนนั้นมันไม่ถูกต้อง
ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ออกไปชุมนุมหรืออะไร แต่ก็พอมองออกว่าอะไรถูกต้อง อะไรไม่ถูกต้อง มันไม่ได้เชิงสวนกระแส แต่เราออกมาพูดในสิ่งที่เราคิดจริงๆ เรารู้ดีว่ามันจะส่งผลกระทบอะไร แต่เราก็เลือกออกมาเพราะเรารู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง
เพราะตอนนั้นหลายคนมองว่า ‘ความสงบ’ จะมาช่วยลดความขัดแย้ง แต่เราคิดว่าความไม่สงบเนี่ยแหละ มันคือประชาธิปไตย มันคือความหลากหลายของความคิด อาจจะไม่ตรงกันบ้าง อาจจะประท้วงกันบ้าง แต่มันก็คือเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือการบังคับให้ทุกคนต้องมาร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว ผ่านวิธีการแบบรัฐประหาร
การทำให้บ้านเมืองสงบมันทำได้หลายแบบ แต่การที่คนหนึ่งกลุ่มแอบอ้างความสงบแล้วมาหาผลประโยชน์ตรงนี้ มันอาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง เรามองมันเหมือนแอปเปิลหนึ่งผล แล้วคนแย่งกันสองฝั่ง แล้วก็มีคนกลางคนหนึ่งมาบอก เดี๋ยวจะแบ่งให้ แต่ว่าก็กัดแอปเปิลไปก่อนแล้ว ฝั่งนี้กัดน้อย ฝั่งนี้กัดมาก ต่างฝ่ายต่างกัดกันไป จนไม่เหลือแอปเปิลให้กับคนทั้งสองฝั่ง ไม่เหลือผลประโยชน์อะไรให้ประชาชน สุดท้าย ‘ความสงบ’ ก็ไม่ได้เหลืออะไรให้เรา
ซึ่งเรารู้สึกว่าเราก็คิดถูกนะ ถ้าวันนั้นเลือกที่จะทำเฉยๆ เลือกจะมีชีวิตของตัวเองต่อไป เราก็คงจะเสียใจ เพราะว่ามันเหมือนกับเราแค่วิ่งตามกระแสสังคม
พอสังคมไปทางไหนเราก็โพสต์ไปทางนั้น เขาเป่านกหวีด เราก็ไปเป่านกหวีด เราเป็นด้อมส้มเราก็เป็นด้อม เขาเชียร์เสื้อแดงเราก็ไปเชียร์เสื้อแดง ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วตัวตนจุดยืนของเรามันอยู่ตรงไหน แล้วเราก็คิดว่าเราไม่ทำให้ใครเดือดร้อน จุดยืนของเรา เราคิดว่าอะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้อง จิตสำนึกน่ะ เรารู้อยู่แล้วทุกคนรู้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราจะทำไม่ทำแค่นั้นเอง
เราจะต้องไม่ทิ้งตัวตน หรือความคิดของเรา ถ้าเราทิ้งอะไรเพื่องานเพื่อเงิน ต้องทิ้งตัวตน หรือจุดยืน เราก็เป็นเหมือนหุ่นเชิดที่ทำเพื่อเงิน สำหรับเรา ตัวตนมันสำคัญ แฟนคลับสำคัญ การที่เราซื่อตรง ตรงไปตรงมา กับคนที่ติดตามเรามันทำให้เราอยู่ได้นาน แล้วเขาก็รักเราอย่างที่เราเป็น
9 ปีผ่านไป ภาพในวันนั้นกับภาพในวันนี้ คุณรู้สึกว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
หลายๆ อย่างมันอาจจะวนอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ คือความคิดของผู้คน คนรุ่นใหม่กล้าออกมาพูดมากขึ้น คนส่วนใหญ่ไม่เอาแบบเดิมแล้ว ในไม่ช้าก็เร็ว การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ จะเกิดขึ้นแน่นอน ถึงวันนี้คุณจะเอากฎเดิมๆ ระบอบเดิมๆ มากดหัวคนรุ่นใหม่ แต่คุณห้ามความคิดเขาไม่ได้หรอก สักวันหนึ่งคุณต้องล่มสลาย เพราะว่าความคิดของคนรุ่นใหม่มันไม่หยุดอยู่แค่นี้แน่นอน
ซึ่งถึงแม้หลายภาพมันจะเหมือนที่เราคิดไว้ แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกสะใจที่เราถูกต้อง แต่เรารู้สึกเศร้าใจมากกว่า ว่าทำไมที่ผ่านมาเราถึงยอมให้เขาปู้ยี่ปู้ยำเรา ทำไมเราถึงยอมให้เขากระทำชำเราได้ขนาดนี้
บางคนอาจจะคิดว่าใครเป็นรัฐบาลเราก็ยังต้องก้มหน้าทำงานต่อไปหรือเปล่า
เราก็เข้าใจ ใครจะเป็นรัฐบาลมันก็ต้องทำมาหากิน มันก็เป็นเรื่องปกติ แต่อยากให้มองว่า การทำมาหากินน่ะมันก็เกี่ยวกับการเมืองไม่ใช่เหรอ การเมืองมันคือทุกอย่าง คุณหนีไม่พ้นหรอก
คุณออกจากบ้านมาขึ้นรถมันก็คือการเมือง คมนาคมน่ะมันก็เป็นผลพวงจากการเมือง
ขึ้นรถเมล์ ขึ้นแท็กซี่ ขึ้นรถไฟฟ้า ขึ้นรถทัวร์ ขึ้นรถไฟ หรือเดินบนฟุตบาท ทุกอย่างมันเกี่ยวกับการเมืองหมดเลย
ลูกคุณไปโรงเรียน นั่นก็คือการศึกษานั่นก็คือการเมือง คุณทำมาหากินจนแก่ จ่ายภาษีมาทั้งชีวิต แล้วสวัสดิการคุณได้ไม่กี่ร้อย นั่นก็การเมือง การเมืองน่ะมันส่งผลต่อชีวิตเราตั้งแต่เกิดจนแก่เลย
ดังนั้นถ้าเราไม่สนใจมัน สิ่งที่ไม่ดีมันก็จะส่งต่อสู่ลูกหลานของเรา ความลำบากที่เราเจอ ลูกหลานเราก็ต้องเจอในอนาคต คุณอยากให้ลูกของคุณโตมาแล้วมีชีวิตอยู่ในสภาพสังคมแบบนี้เหรอ ดังนั้น คำถามที่บอกว่าคุณเป็นแค่คนตัวเล็กๆ คุณจะเปลี่ยนอะไรได้เหรอ
ส่วนตัว เราก็คิดนะว่าเราโพสต์อะไรแบบนี้มันอาจจะเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก โพสต์ไป สว. เขาก็ไม่เปลี่ยนไป จุดเล็กๆ อย่างเราก็คงไม่สามารถไปเปลี่ยนโครงสร้างอะไรได้ แต่เรารู้สึกว่าถ้ารวมพลังกันเยอะๆ มันก็อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ อาจไม่ใช่วันนี้ อาจเป็น 10 ปี แต่ก็คงมีสักวันที่มันจะเปลี่ยนแปลง
ในฐานะที่ได้รับฉายาว่า ‘นมคุณธรรม’ คุณคิดว่านักการเมืองที่ดี ต้องเปี่ยมล้นไปด้วยคุณธรรมหรือเปล่า
คำว่าศีลธรรมหรือคุณธรรม มันเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ตัดสินคนอื่นไม่ได้ การที่เอาตัวเองเป็นจุดตั้งว่าคนอื่นดีคนอื่นไม่ดีแบบที่ตัวเองมองอย่างนี้มันไม่ได้
มันต้องมีตัวชี้วัดที่จับต้องได้และมองเห็นเป็นรูปธรรม ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย เราก็อาจไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินเขา เพราะเอาจริง ตัวคุณเองมีคุณธรรมแค่ไหน คุณเป็นใครที่เอาความรู้สึกตัวเองไปเป็นมาตรฐานวัดคนอื่นว่าตัวเองดีสูงส่ง แล้วคนอื่นต่ำตม ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่เขาได้รับ ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้มีที่มาอย่างชอบธรรมเลยด้วยซ้ำ เพราะอย่างเราเอง ถึงแม้จะมีคนเรียกว่า ‘นมคุณธรรม’ แต่มันก็เป็นสิ่งที่แฟนคลับตั้งให้ มันเริ่มต้นจากที่เราไม่รีวิวครีมไม่รีวิวอาหารเสริมอะไรต่างๆ ที่ตัวเองไม่ได้ใช้ ตัวเองไม่ได้กินจริงๆ มันเริ่มมาจากตรงนั้น ซึ่งเราไม่ได้คิดว่าเหมาะสมกับคำนี้เลยด้วยซ้ำ
ในฐานะมนุษย์ แค่ใช้ชีวิตเป็นคนคนหนึ่งที่ไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นก็ไม่ได้หมายความว่าตัวเองจะมีคุณธรรม ก็คือไม่เบียดเบียนคนอื่นแล้วก็อยู่ในสิ่งที่ถูกต้อง คือไม่ต้องไปเบียดเบียนแล้วก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เราก็เป็นคนปกติธรรมดาทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้สูงส่งอะไรเลย
แล้วการเมืองที่ดีของคุณเป็นแบบไหน
เรามองว่าการเมืองแบบจริงใจและตรงไปตรงมาคือสิ่งสำคัญ ถ้าคุณผิดพลาดคุณก็ต้องบอกประชาชนว่าคุณผิด บอกกันมาเลยว่าคุณคิดอย่างไร ไม่ต้องการตลาดเยอะเลย เป็นการออกมาพูดความจริง ว่าเราทำอะไร คิดอะไร และให้ความสำคัญกับสิ่งไหน
เราไม่ได้มองว่ามันคือความใสซื่อ หรือตามเกมไม่ทัน แต่ความจริงใจคือการเติบโตในระยะยาว คือการคงอยู่ตลอดไป เราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จตอนนี้ แต่มันคือตัวตนที่เราจะยืนยง ซึ่งรวมถึงตัวเราเองด้วย ถ้าเราซื่อตรงต่อตัวเองซื่อตรงต่อคนอื่น เราก็จะยังเป็นเราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
แล้วสังคมไทยจำเป็นต้องขับเคลื่อนด้วยคุณธรรมและศีลธรรมไหม หรือคำพวกนี้มันกลายเป็นปัญหาหลักของบ้านเรา
เป็นปัญหามาก เพราะว่าศีลธรรมอันดีงามมันทำให้ทุกอย่างมันงงไปหมด อันนี้มันขัดศีลธรรม แต่อันนี้มันไม่ขัดศีลธรรม แล้วคุณจะไปวัดเรื่องศีลธรรมจากอะไร อย่างเราเอาของมาจิ้มตัวเองแบบนี้ คนก็บอกว่ามันผิดศีลธรรม ไปจิ้มตัวเองมันดูน่าเกลียด น่าอาย การช่วยตัวเองมันรับไม่ได้ เราก็ไม่เข้าใจ เราไม่ได้เอาไปจิ้มคนอื่น เวลาเราเอาศีลธรรมไปเป็นมาตรฐานวัดอะไรมันจะคลุมเครือ แล้วหลายอย่างมันก็ไม่เมกเซนส์
ซึ่งเราก็โดนโจมตีเรื่องนี้มาโดยตลอด “เป็นผู้หญิงร่าน เป็นผู้หญิงที่เปิดเผยมากเกินไป เป็นผู้หญิงที่พูดเรื่องเซ็กส์ได้อย่างน่าไม่อาย ผู้หญิงหน้าด้านไม่มีศีลธรรมไม่ควรอยู่ในประเทศไทย” ก็โดนมาหมดแล้ว
เขาบอกว่าเซ็กส์มันเป็นเรื่องน่าอาย แต่กลับบ้านไป คุณก็มีอะไรกันปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา คุณแค่ขี้อาย แต่เราไม่อาย ดังนั้นมันไม่ใช่คนดีกับคนไม่ดี มันเป็นเรื่องที่บางคนพูดกับบางคนไม่พูดเท่านั้น เราไม่ได้มีสิทธิ์ไปตัดสินอะไรใคร
อย่างเรื่องโสเภณี เรารู้สึกว่าโสเภณีคือกลุ่มอาชีพที่มีอยู่จริงไม่ใช่ผีที่พูดถึงแล้วตรวจสอบไม่เจอ เพราะฉะนั้นถ้ามีอยู่จริง ก็ต้องมีการดูแลให้เรียบร้อย เรื่องสวัสดิการ เรื่องการตรวจเลือด หรือเรื่องเกี่ยวกับสุขอนามัยต่างๆ
ควรที่จะเปิดกว่านี้เพราะว่ามันมีจริง ไม่ใช่ผีที่ตรวจสอบไม่ได้แล้วไม่มีจริง ที่ไปถึงแล้วไม่มีการขายตัวเลยนะ คือ เราหลอกใคร หลอกตัวเองเหรอ จริงๆ แล้วมันมีโสเภณี หรือว่าอะไรที่เกี่ยวกับสถานบริการกลางคืนอะไรพวกนี้น่ะค่ะ มันควรที่จะเอาขึ้นมาพูดเพราะว่าเราต้องยอมรับว่ามีอยู่จริง
กล้าออกมาพูดสนับสนุน แต่ถ้าเป็นคนใกล้ตัวคุณเอง คุณก็ไม่อยากให้เขาทำอาชีพนี้หรือเปล่า
เราต้องมองว่ามันคืองาน ถ้าเรามองว่ามันเป็นงานแล้วมันก็จบ ซึ่งเอาจริง มันก็เกี่ยวกับการเมืองหมดเลยนะ เรามองว่าอาจจะมีบางคนที่ชอบทำอาชีพนี้ หรืออย่างที่เราชอบความเซ็กซี่ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีคนที่ไม่ชอบแต่ต้องมาทำ ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นโสเภณี
ซึ่งเราเชื่อว่าถ้าการเมืองดี หากคนเขามีลู่ทางในอาชีพอื่นได้จริงๆ อาชีพของคนกลุ่มนี้อาจจะน้อยลงก็ได้
เพราะหลายคนที่เลือกทำเพราะว่าเงินต่อชั่วโมงมันได้เยอะ เพราะถ้าคุณทำงานบริการทั่วไป วันหนึ่งมันได้ไม่กี่ร้อย หลายคนก็เลือกที่จะหันมาทำงานนี้ ดังนั้นถ้าทุกอย่างรายรับรายจ่ายมันพอดีกันกับการทำงานของคน อาชีพพวกนี้ก็จะน้อยลงไปเอง
เรารู้สึกว่าเรื่องพวกนี้มันไม่ควรจะปิด หรือเอาศีลธรรมอันดีงามไปครอบ ยิ่งครอบยิ่งเละเทะ มันมีจริงแต่เราทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นไม่พูดกัน ทำเป็นอาย จริงๆ แล้วคนรอบตัวคุณก็เคยไปใช้บริการนะ ต่อให้คุณไม่ใช้บริการ แต่คนรอบตัวหรือว่าอีกหลายๆ คนที่คุณรู้จักเขาก็อาจจะเคย
พอมันเกิดขึ้นจริงแล้วเราจะแก้ไขทำยังไงให้มันดีขึ้น เราจะทำยังไงได้บ้างที่จะทำให้ผู้หญิงเหล่านี้ไม่โดนทำร้าย ไม่ตกไปอยู่ในกระบวนการค้ามนุษย์ หรือหาผู้เยาว์มาค้าประเวณี เราต้องยอมรับความจริงก่อน การแก้ปัญหามันก็จะตามมา
เราต้องยอมรับความจริง ยอมรับความจริงมันไม่ใช่การหมกมุ่น มันคือการพร้อมที่จะแก้ไข และปรับปรุงให้มันดีขึ้น เราว่าการที่แอบทำทุกวัน แต่ไม่ยอมรับความจริง แบบนี้ดูหมกมุ่นมากกว่าด้วยซ้ำ
อยากฝากอะไรถึงนายกรัฐมนตรีคนใหม่บ้าง (ณ เวลาที่สัมภาษณ์ยังไม่รู้ผลว่าเป็นใคร)
อยากให้รัฐบาลใหม่ มองทุกอย่างด้วยความเป็นจริง อยู่บนความจริง แล้วก็ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา ไม่ต้องมีดีลลับ เอาดีลที่ประชาชนได้ผลประโยชน์เป็นหลัก มองถึงประเทศเป็นหลัก อยากให้ประเทศเราเติบโตไปพร้อมๆ กับการเมืองที่ดี