“การแต่งงานไม่มีคำว่า ‘ตลอดไป’ – อย่าไปยึดมั่นถือมั่น” คุยกับ ‘ทนายเมียหลวง’ อนุสรณ์ อะสุระพงษ์ ผู้ผ่านคดีหย่าร้างมาแล้วกว่าพันคดี
จนถึงทุกวันนี้ ‘สถาบันครอบครัว’ ยังคงถูกยกให้เป็นรากฐานที่สำคัญของสังคม แต่องค์ประกอบของการเป็นครอบครัวนั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก จำนวน ‘แม่เลี้ยงเดี่ยว-พ่อเลี้ยงเดี่ยว’ เพิ่มขึ้นพอๆ กับสถิติการหย่าร้าง เช่นเดียวกับดราม่า ‘เมียหลวง vs เมียน้อย’ ที่เป็นประเด็นร้อนแรงในสื่อสังคมออนไลน์อยู่บ่อยๆ อาจสะท้อนได้ว่าคนที่อยู่ใน ‘ครอบครัวพร้อมหน้า’ คงจะไม่ใช่ประชากรส่วนใหญ่ในบ้านเรา
ประเด็นนี้ ‘อนุสรณ์ อะสุระพงษ์’ ผู้สอบตั๋วทนายปี 55 และเนติบัณฑิตสมัยที่ 65 เจ้าของฉายา ‘ทนายเมียหลวง’ ที่ลูกความ (และแฟนคลับ) มอบให้ ย้ำว่าถ้าใครสักคนจะไม่ยอมทนเพื่อคำว่า ‘ครอบครัว’ อีกต่อไป ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องผิดอะไร โดยเขาบอกเล่าประสบการณ์ที่กลั่นมาจากการว่าความ (และให้คำปรึกษา) คดีเกี่ยวกับครอบครัวมาแล้วมากกว่าพันคดีตลอดช่วงสิบปีที่ผ่านมา
อะไรเป็นจุดเริ่มต้นให้คุณทำคดีครอบครัว
พูดตรงๆ ตอนแรกผมโฟกัสไปที่การสอบผู้พิพากษา แต่เนื่องจากเราจบมาค่อนข้างเร็วนิดนึง แล้วต้องรออายุให้ถึง 25 เพื่อจะถึงคุณสมบัติในการสอบ (ผู้พิพากษา) ในช่วงนั้นเราก็ต้องทำงาน เพราะหลักเกณฑ์ของการสอบผู้พิพากษาหรืออัยการจะต้องผ่านงานกฎหมายมาอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งของผม ผมเลือกในการใช้ประสบการณ์ทนายความ แล้วก็เผชิญคดีจริง เวลาเราอ่านคำพิพากษาเรื่องนี้ๆ ในตำราเราก็จะอ๋อเลย แต่พอในชีวิตจริงกว่ามันจะเป็นคำพิพากษาตามที่อ่านที่เรียนมา มันยากมากกว่าข้อเท็จจริงจะมีข้อยุติ ก็เลยอยากเป็นทนายความมากขึ้น
ทีนี้ทำไมถึงมาทำคดีครอบครัว มันเกิดจากเรื่องๆ หนึ่ง น่าจะย้อนไปประมาณปี 56-57 มีผู้หญิงคนหนึ่งที่เขามาปรึกษาและมาว่าจ้าง แล้วมันเป็นเรื่องที่เราต้องทำ เนื่องจากว่าเขาไปหาคนอื่นแล้วไม่มีใครทำให้ เพราะคู่ต่อสู้คือ ‘ผู้พิพากษา’ ซึ่งก็อาจจะมีเส้นสายหลายอย่าง คนก็เลยกลัวกัน ผมก็เลยทำให้ แต่เรื่องนั้นไม่ใช่คดีฟ้องเมียหลวง-เมียน้อยโดยตรง แต่เป็นเรื่องการฟ้องค่าเลี้ยงดูบุตร เขาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ก็เลยฟ้องได้เฉพาะค่าเลี้ยงดูบุตร
คือมันเป็นเรื่องที่ผู้พิพากษาท่านหนึ่งได้เสียกับเธอ แล้วตอนที่เขาเจอกันก็เป็นตอนที่ผู้พิพากษาท่านนั้นกำลังเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา ซึ่งเงินเดือนไม่สูง ส่วนฝ่ายหญิงที่บ้านมีตังค์ มีธุรกิจ ฝ่ายชายเข้ามาแล้วก็รักกัน ผ่านมาสัก 3-4-5 ปี ฐานะทางสังคมของผู้หญิงเริ่มเปลี่ยน คือธุรกิจมันดร็อป ผู้ชายก็เริ่มตีตัวออกหาก ประกอบกับผู้ชายได้ตำแหน่งงานที่โตขึ้น และฝ่ายชายก็เอาเงินของผู้หญิงไปจำนวนเยอะมากพอสมควร โดยวิธีการก็คือให้ด้วยความรักนั่นแหละ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นว่าผู้หญิงนี่ค่อนข้างที่จะโดนรังแก แล้วยิ่งผู้ชายมีความรู้ มีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้น ก็เหมือนเหยียบผู้หญิงเพื่อส่งตัวเองให้ถึงฝั่งแล้วทิ้งเขาไป มันก็เป็นเรื่องแรกเลยที่ทำให้เรามาทำคดีครอบครัว
หลังจากนั้นได้รับฉายา ‘ทนายเมียหลวง’ มาได้อย่างไร
ไม่แน่ใจว่ามาจากที่ไหน แต่น่าจะ FC ตั้งให้ และก็น่าจะเป็นการเล่าปากต่อปากมากกว่า คือเราก็ทำคดีด้านนี้ค่อนข้างจะเยอะ คนก็คงมองเห็นในด้านนี้ และสิ่งที่เรายึดมาตลอดคือเราจะทำคดีเฉพาะเมียหลวง ไม่ใช่ว่าวันนี้เราเป็นทนายเมียหลวงแล้วพรุ่งนี้ก็เป็นทนายเมียน้อยเพื่อหาทางชนะเมียหลวง แบบนั้นผมไม่เอาเลย ผมยึดว่าถ้าหลวงถูกก็ตามนี้ แต่ถ้าพยานหลักฐานของหลวงไม่พอก็ไม่สั่งฟ้อง หรือดูแล้วเมียน้อยน่าจะเป็นเหยื่อก็ให้คุยกัน หาทางออกให้ แต่ถ้าเมียน้อยค่อนข้างชัดเจนจริงๆ และมีพยานหลักฐานเพียงพอ อันนี้ฟ้องให้แน่นอน
ผมมองว่าการตั้งตัวเป็นทีมเมียหลวง-ทีมเมียน้อย ความรู้สึกคนมันเหมือนกับมีทีมหนึ่งที่ถูก กับทีมหนึ่งที่ผิด แต่ว่าเมียหลวงบางคนมีทะเบียนสมรส แต่สามีอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ อาการหนักพอสมควร มันก็มีนะ แต่มันเป็นเรื่องของคนสองคน โดยที่ไม่สามารถจะใช้บรรทัดฐานของครอบครัวอื่นมาบอกได้ว่าต้องเดินตามกรอบนี้ สุดท้ายก็ต้องดูว่าตัวเราเองมีความสุขไหม
ปลายทางของคดีครอบครัวส่วนใหญ่ที่คุณทำจบลงที่ตรงไหน
คดีครอบครัวเท่าที่ผมทำ ประมาณร้อยละ 20 จบที่กลับมาเหมือนเดิม ร้อยละ 80 ‘แยก’ คือใจคนเปลี่ยน วันนี้ผู้ชายคนนี้รักเรามากนะ อยู่กันมายี่สิบปี แต่วันนี้เขาเจอสิ่งใหม่ มันท้าทายกว่า ชีวิตมันเปลี่ยน อายุเยอะขึ้น เคมีในร่างกายเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน สถานะเปลี่ยน สถานที่อยู่เปลี่ยน หน้าที่ เงิน ร่างกายของเราเปลี่ยน ร่างกายคู่ของเราก็เปลี่ยน มันทำให้เปลี่ยนไปหมด มันก็ยากที่จะกลับมา มันต้องยอมรับความจริง แล้วเราต้องเลือก
อารมณ์ของเมียหลวงนะ เรารักเขา รักเขามาก แต่เขาไปแล้ว ใจเขาไปแล้ว เรายังอยู่ที่เดิม เราควรกลับมาคิดว่าเราจะอยู่ที่เดิมรอไหม ในเมื่อสุดท้ายเขาไม่กลับมาแล้ว วันหนึ่งคนเรามันเสียใจก็เสียใจจริง ในวันที่ประสบปัญหามันเสียใจมาก เคว้งมาก มันฟูมฟายเสียใจทุกอย่างนะ แต่สิ่งที่จะช่วยเราได้มากที่สุดคือเวลา เวลาจะเยียวยาทุกอย่างของมันเอง
สมัยนี้มันต้องอยู่กับความเป็นจริง และไปตามวิวัฒนาการของโลกใบนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว ย้อนกลับไปยุคปู่ย่าตายายของเรา อาจจะเป็นระบบผัวเดียวเมียเดียว ผู้หญิงอยู่กับบ้าน ทำงานบ้าน ผู้ชายไปทำงานข้างนอก ผู้หญิงมีลูกหัวปีท้ายปีไป ไม่ได้คุมกำเนิด แล้วผู้หญิงก็ต้องรอผู้ชายเลี้ยง แต่สมัยนี้มันไม่ใช่ ผู้หญิงหลายๆ คนทำงานดีกว่า ผู้หญิงหลายคนมีเงินเดือนสูงกว่า ผู้ชายหลายคนยังติดเล่น ติดการพนัน การดื่มสุรา ติดเพื่อนอยู่ แต่ผู้หญิงรับผิดชอบครอบครัวได้ดีกว่า เราต้องยอมรับกันว่ามันเป็นแบบนี้ การมีผัวเดียวเมียเดียว ถ้าดีควรจะมี แต่ถ้าไม่ดีก็ต้องไป
มีลูกความหลายๆ คน หรือมีหลายๆ เคสที่มาปรึกษาเราแล้วก็หย่าร้างไป สุดท้ายแล้วเขาก็อาจจะได้ชาวต่างชาติ ได้สามีใหม่ที่ดีขึ้น เขาก็ขอบคุณเรานะ แล้วเขาก็บอกเลยว่า ‘ไม่กลับไปที่เดิม’ มันก็เป็นจังหวะของชีวิต คนเราควรโฟกัสว่าเรามีความสุขตรงไหน ถ้าตรงนี้ไม่ดีก็ต้องเดินหนีจากตรงนั้น แล้วถ้าอยู่ตรงนั้นต่อไปแล้วไม่ดีขึ้น มันต้องคิดและขยับขยายที่จะหาความสุข
การแต่งงานไม่มีคำว่า ‘ตลอดไป’ ต้องใช้คำว่า ‘ทุกอย่างไม่มีคำว่าตลอดไป’ ทุกอย่างต้องจบ ขนาดชีวิตของเรายังจบเลย วันนี้เราพึงพอใจในรูปร่างหน้าตาเรามากเลย ผมหล่อมากในช่วงนี้ อายุผมในช่วงนี้ผมกำลังดังมากเลย แต่วันหนึ่งมันไม่ใช่วันนี้ มันมีการเปลี่ยนแปลง มันมีคำว่า ‘กลับมาสู่ที่เดิม’ เหมือนกันทุกคน อย่าไปยึดติด อย่าไปยึดมั่นถือมั่น เอาตัวเองวันนี้มีความสุข พอแล้ว
ทำไมคดีครอบครัวส่วนใหญ่คนไม่ค่อยพูดถึงสามี และแบ่งแค่ทีมเมียหลวง-เมียน้อย
ต้องถามความแมนของผู้ชายแต่ละคนครับว่าท่านเห็นผู้หญิงเป็นสิ่งของ เห็นเป็นที่รองรับอารมณ์หรือไม่ ความสุขที่แท้จริงของท่านคืออะไร การแอบมีเมียน้อยมันมีความตื่นเต้น มันเป็นเกม เป็นความสนุก วันนี้ท่านสนุก แต่ลึกๆ ท่านรู้ว่าตัวเองทำผิด หรือถ้าไม่สังหรณ์ใจว่าทำความผิดก็จะทำความผิดตลอดไป แต่ว่าคนที่ได้รับผลกระทบคือภรรยาของท่าน ลูกของท่าน แล้วทีนี้วันหนึ่งที่ท่านไม่มีใครจริงๆ มาถึง วันนั้นแหละท่านจะเข้าใจเองว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปมันไม่สนุกเลย มันทุกข์มาก
เวลามีคดีความฟ้องร้องกัน ผู้ชายเดินหนี ปล่อยผู้หญิงสองคนทะเลาะกัน ผู้ชายไม่รับผิดชอบอะไรเลย นี่คือเรื่องที่น่าเกลียดมากในสังคม แล้วผู้หญิงก็จะพยายามเอาชนะกันเพื่อแย่งผู้ชายคนนี้ไป ซึ่งบางทีคนที่เป็นเมียน้อยในวันนี้ แย่งได้ เขาสลัดเมียหลวงทิ้ง คุณกลายเป็นเมียหลวงเสียเอง ต้องถามว่าคุณมีความสุขไหม แน่นอนว่าคุณอาจจะครอบครองเขาได้ในวันนี้ แต่วันหน้าคุณก็ต้องกลัวว่าคนอื่นจะใช้พฤติการณ์แบบคุณแย่งไป หรือคุณอาจต้องกลัวกระทั่งว่าคนที่เคยเป็นเมียหลวงจะกลับมา เพราะบางทีผู้ชายเขามาแต่งงานกับเรา คิดว่าสนุก แต่งกับเรามีความสุข ผ่านไปปีเดียว สุดท้ายแล้วนิสัย หรือในวงเล็บ ‘สันดาน’ ของเขาออกมา เขาก็ต้องกลับไปหาคนเดิม คนที่เข้าใจเขามากกว่า
สำหรับผม ถ้าความผิดมี 100 เปอร์เซ็นต์ ผู้ชายผิด 75 ผู้หญิงผิด 25 เพราะเหตุว่าผู้ชายนี่รู้แน่นอนว่าตัวเองมีเมีย มีลูก มีครอบครัว มีทะเบียนสมรส มีอะไรมาเรียบร้อย ส่วนผู้หญิงที่เป็นน้อยอาจจะก้ำกึ่ง อาจจะบอกว่าไม่รู้ หรือรู้แต่หนูก็เผลอไป หรือโดนหลอก ซึ่งผมต้องถามกลับว่า การที่เราจะมีผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นสามี หลักของวิญญูชนคนทั่วไป การจะครองคู่กับคนคนหนึ่งมันต้องมีการศึกษารายละเอียดกันพอสมควร ไม่ว่าจะฐานะทางสังคม การศึกษา การผ่านชีวิตมา เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ประวัติอาชญากรรม และสิ่งที่สำคัญคือทะเบียนสมรส มันเป็นสิ่งที่ต้องตรวจ
ทีนี้ถ้าคนในสังคมบอกแต่ว่าฉันโดนหลอก ฉันโดนหลอก แล้วแบบนี้อีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่บ้านแล้วมีลูก กับอีกฝ่ายหนึ่งที่อ้างว่าตัวเองโดนหลอกอย่างเดียวแล้วก็ชนะคดี หรือทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บโดยที่ตัวเองไม่ต้องรับผิดอะไรเลยอย่างนี้มันฟังได้หรือไม่ ผมเชื่อว่าคนทุกคน ก่อนจะมีครอบครัว ก่อนจะมีสามี ต้องมีการคิดการไตร่ตรองพอสมควรในระดับหนึ่ง ไม่ใช่อ้างว่าไม่รู้อย่างเดียว เพราะมันยากที่จะไม่รู้ครับ
จากประสบการณ์ที่ทำคดีครอบครัวมานาน อะไรเป็นประเด็นให้คนเปลี่ยนไปมากที่สุด
เงิน! สิ่งที่หนีไม่ได้คือเงิน ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันมากี่ปี จากที่ไม่มี ทุกวันนี้ก็ยังไม่มี พอไปเจอฝ่ายตรงข้ามมี แล้วผู้หญิงสมัยนี้คือสายเปย์ ฝ่ายนี้ก็ต้องรับกรรม เขาก็ทิ้งครอบครัวไปเพราะเงิน กับอีกประเภทหนึ่ง อยู่ด้วยกันมาแล้วเริ่มมีฐานะ เริ่มรวยขึ้น มีเงิน มีความคิด เขาก็หนีจากเราไป เพราะเขาโตได้ เขาบินได้แล้ว เขาก็ทิ้งเรา เพราะเขาไปกับเงิน เงินเป็นปัจจัยหลักร้อยละ 80 เลยที่ทำให้มีปัญหาครอบครัว
คือผู้หญิงที่เลี้ยงตัวเองได้จะตัดสินใจในคดีครอบครัวไม่นานเท่าไหร่ แต่ถ้าผู้หญิงที่ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเลี้ยงตัวเองได้ อันนี้ค่อนข้างหนัก เพราะบางคนแต่งไปอยู่ในบ้านของสามี ไปอยู่ในระบบกงสี เขาเลี้ยงดูหมดทุกอย่าง แต่พอวันหนึ่ง เขามีเงิน เขามีคนใหม่ ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย ถึงจะเป็นซ้อใหญ่ แต่ถ้าออกไปคือมีปัญหาแน่ๆ ในส่วนของลูก ถึงจังหวะหนึ่ง เด็กอายุสักสิบกว่าๆ เขาอาจจะไม่สนใจเท่าไหร่เรื่องพ่อแม่ เขาสนใจว่าใครจะส่งเขาเรียน ใครจะส่งเขาไปอนาคตได้มากกว่า ก็ค่อนข้างจะต้องคิดเยอะสำหรับคนที่ยืนได้ไม่แข็งแรง
ดังนั้นเวลาที่มีงานทำก็ควรจะทำงาน ผู้หญิงเราต้องทำงาน ถึงแม้บางคนจะบอกว่าลาออกมาเลี้ยงลูกนะ แต่ในความเป็นจริง ถ้าวันหนึ่งเขาไม่ชอบเราแล้วเขาก็จะบอกเลยว่าเธอไม่ช่วยฉันทำอะไร สุดท้ายเขาก็จะเฉดเราออกไป จริงๆ เราควรจะทำงาน สมมติว่าทำงานได้เงิน เดือนละ 20,000 จ้างแม่บ้าน 15,000 ก็ยอมเถอะ ทำงานให้ได้สองหมื่นเพื่อจ้างแม่บ้านหมื่นห้ามาเลี้ยงดูลูก ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า
อีกอย่างที่อยากจะฝากคือเราอย่าไปหวังพึ่งคนอื่นเลยครับ สุดท้าย อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน อันนี้เรื่องจริง! วันนี้เขาดูแลเรา เขาให้เรา เปย์ทุกอย่างเลย แต่ถ้าวันไหนที่เคมีเขาเปลี่ยน ความคิดเปลี่ยน จากที่เราเคยได้กลับกลายเป็นต้องแบ่ง พอมีหลายคนมันต้องแบ่งครับ แต่พอเราไม่ได้เหมือนเดิม เราโวยวาย สุดท้ายเราจะกลายเป็นตัวปัญหาครับ เขาอาจจะตัดเราก็ได้ อันนี้เจอเยอะ
พอมีชื่อเสียงในฐานะ ‘ทนายเมียหลวง’ มีคดีหรือมีคนมาปรึกษาเพิ่มขึ้นไหม และในคดีที่สังคมจับตามอง ได้เข้าไปดูความเห็นในสื่อโซเชียลหรือไม่
จริงๆ ไม่ค่อยดูสื่อโซเชียลเท่าไหร่ เวลาออกข่าวก็ออกข่าวไปตามคดี ก็ดูบ้าง แต่ดูเยอะไม่ได้ จะเครียดเอง เราให้ข้อมูลก็คือจบ พูดแล้วก็จบไป ทีนี้สิ่งที่เป็นข่าวในคดีที่คนสนใจเยอะ เป็นสิ่งที่สังคมจับตามอง บางคนอาจจะมีอารมณ์ร่วมว่าต้องชนะนะ ต้องเรียกเท่านั้นเท่านี้นะ ต้องอย่างนั้นสิ ต้องอย่างนี้สิ เราทำให้ไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าเราเป็นนักกฎหมาย เราต้องอยู่กับพยานหลักฐานและข้อกฎหมายที่จะซัพพอร์ตว่ามันใช้ได้หรือไม่
ยกตัวอย่างเช่นถ้าย้อนกลับไป มีคดีของคุณจอยที่แม่ผัวพาบุกงานแต่งสามีกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่ชัยนาท เกิดขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ตอนนั้นกระแสสังคมก็สนใจ เป็นเรื่องที่ดังพอสมควรที่แม่สามีเข้าไปร่วมด้วย เหมือนให้ท้ายลูกสะใภ้ แล้วลูกสะใภ้ก็ไปโชว์ทะเบียนสมรส สังคมในตอนนั้นบอกว่าต้องฟ้องเลย เรียก 5 ล้าน 10 ล้าน แต่เราฟ้องตามความเป็นจริง ฟ้องไปที่ประมาณ 300,000 บาท สุดท้ายศาลท่านก็ตัดสินให้ที่ 200,000 ซึ่งก็ไม่ได้เกินจากความคาดหมายของเรา นี่คือเรื่องหนึ่งที่เราอยากจะบอก คือสิ่งที่กฎหมายมองกับสิ่งที่ประชาชนมองไม่เหมือนกัน
เวลาศาลมอง ศาลว่ากันเฉพาะพยานหลักฐานที่วางอยู่บนโต๊ะ หรือว่าอยู่ในสำนวนเท่านั้น ศาลจะไม่ไปจับข่าวนั้นนี้มา หรือแม้กระทั่งศาลนั่งดูข่าวเอง แต่ศาลจะเอาเรื่องนอกเหนือจากสำนวนมาไม่ได้ ถ้าเราที่เป็นทนายไม่ได้นำไป โจทก์ไม่ได้นำพยานหลักฐานนี้ไปเสนอ ศาลไม่สามารถหยิบตรงนั้นมาลงได้ ศาลก็คือบุคคลหนึ่งที่จะตรวจพยานหลักฐานสำนวนไปจนหมดแล้วก็จะบอกว่า ‘ใคร’ ในคดีแพ่ง ที่มีน้ำหนักมากกว่า ถ้าพยานของโจทก์มีน้ำหนักมากกว่า รับฟังได้ โจทก์ก็ชนะไป ถ้าหากฟังไม่ได้ ก็ยกฟ้องไป มีแค่นั้นเอง
แล้วตัวเลขในเรื่องค่าเสียหายที่เป็นค่าทดแทน ตามมาตรา 1525 บอกเลยว่าเป็นดุลยพินิจของศาลโดยเฉพาะ เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใบเสร็จ พอไม่มีใบเสร็จปั๊บ ศาลต้องใช้ดุลยพินิจอย่างเดียวเลยในการจะคำนวณว่าคนนี้ฐานะทางสังคมเขาเป็นยังไง การศึกษาเขาเป็นยังไง สภาพครอบครัวเขาเป็นยังไง เขามีการแต่งงานไหม ฝ่ายตรงข้ามทำให้เขาเสียหายขนาดไหน เพียงใด อย่างนี้ครับ
ส่วนเรื่องจำนวนคดีที่เข้ามาในปริมาณที่เราคนเดียวไม่สามารถที่จะทำได้ทุกเรื่อง แต่ปริมาณการสื่อสารกับสังคมมันเยอะขึ้นแน่นอน คนก็เลยค่อนข้างที่จะใช้กฎหมายเยอะขึ้น และข้อดีของการปรึกษาคือบางคนมาปรึกษาแล้วเขาก็ได้ข้อมูลไปก่อนว่าสิ่งที่เขามีอยู่ ถ้าเขาอยากจะฟ้อง ความคุ้มค่า หรือพยานหลักฐาน มันพอหรือยัง และการฟ้องจะได้อะไรกลับมา มันคือการให้ความรู้มากกว่าที่จะมุ่งเน้นว่าต้องจ้างเรานะ ต้องเป็นคดีนะ ต้องฟ้องกันนะ บางคนอาจจะอยากฟ้อง แต่สุดท้ายแล้วปลายอุโมงค์เขาได้อะไรจากตรงนี้ เขาก็อาจจะไม่ฟ้องแล้วก็ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะถ่ายทอดให้เขามากกว่า
บางคนไปจ้างนักสืบมาเป็นแสน พอเอาพยานหลักฐานมากองใส่หน้าเรา เราตรวจแล้ว ใช้ไม่ได้เลย โยนลงถังขยะหมดเลย มันต้องชัดเจนจริงๆ เนื่องจากว่าเรื่องสิทธิเมียหลวง สิทธิอันชอบธรรมในการที่คุณมีทะเบียนสมรสและสามารถฟ้องได้ คนเป็นเมียหลวงรู้ แต่อย่าลืมไปว่าเมียน้อยก็รู้ ชู้ก็รู้ สามีก็รู้ มันทำให้การหาพยานหลักฐานมันยากขึ้นไปอีก ยากมาก การนัดเจอสมัยก่อนมันค่อนข้างที่จะยาก แต่สมัยนี้เขามีแชตลับที่เขาลบได้ อะไรโน่นนี่ ก็ทำให้เขาระวังตัวกันมากขึ้น
คดีครอบครัวควรจะเป็น ‘เรื่องส่วนตัว’ แต่คดีของคนดังๆ มักจะกลายเป็นข่าวและเป็น ‘ประเด็นสาธารณะ’ เรื่องนี้มีผลดี-ผลเสียอย่างไร เพราะน่าจะกระทบสมาชิกในครอบครัวแน่ๆ
เราต้องเข้าใจว่าสิ่งที่กลายเป็นข่าว มันปฏิเสธไม่ได้ว่าจะต้องมีผลกระทบต่อครอบครัวทั้งสองฝ่าย เพราะคดีมันเกิดจากคนประมาณ 2 คนที่กระทำผิดแน่นอน หรือเข้าข่ายว่ากระทำความผิด และมีบุคคลที่เป็นผู้ได้รับความเสียหาย ทีนี้พอเรื่องมันแดงก็จะมีคนอื่นเข้ามารับทราบด้วย ยิ่งเรื่องที่เป็นข่าวแล้วสังคมรู้ และสังคมรู้ว่ามันเป็นเรื่องผิดศีลธรรม สังคมตามแน่นอน มันจะมีเมียหลวงหรือมีคนที่เคยถูกกระทำแบบนี้แล้วเขาไม่สามารถเอาคืนได้ อารมณ์ที่เขาเสพข่าว อารมณ์ที่เขาเข้ามาในเรื่องนี้ เขาจะอินเหมือนตัวเขาเล่นเอง ทีนี้เขาก็จะไปไล่ล่า ไปตาม ไปคุกคาม เราคนทำคดีก็ไม่สามารถจะไปควบคุมบุคคลอื่นได้ เราอาจจะมีมุมมองว่าเราสอนสังคม แต่ในทางกลับกัน มันอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการจุดประกายให้คนอีกกลุ่มหนึ่งเขาใช้ความคิดของเขามาตัดสิน
สิ่งที่มันกระทบครอบครัวของแต่ละฝ่าย เราไม่สามารถปฏิเสธได้เลย แต่ครอบครัวของเมียหลวง ผมเชื่อว่าในครอบครัวเขาคงรู้เรื่องนี้กันนานแล้วว่าสามีมีเมียน้อยนะ ครอบครัวมันพัง ส่งผลถึงลูก ส่งผลถึงพ่อตาแม่ยาย ลุงป้าน้าอา ญาติๆ เขาคงเตรียมใจกันมาได้ในระดับหนึ่งก่อนจะเป็นข่าว แต่ในครอบครัวของมือที่สาม หรือบางทีพูดตรงๆ ก็คือเมียน้อย เขาอาจจะยังตั้งตัวไม่ทัน บางคนอาจจะบอกว่าลูกฉันเป็นคนดีอยู่ อาจจะไม่ได้รับรู้พฤติกรรมของลูก บางทีก็อาจจะเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์ครอบครัวของมือที่สามมากกว่า ก็อาจจะรับเต็มๆ แล้วตั้งหลักไม่ทัน แต่บางทีครอบครัวมือที่สามเขาอาจจะรู้มาตั้งแต่แรก อันนี้เขาก็ต้องตั้งรับได้อยู่แล้ว
ส่วนที่ตกแก่ลูกๆ คือเด็กยังเป็นผ้าขาว บางทีเขาก็รับไม่ได้ แม้กระทั่งลูกเมียหลวงในบางคดีที่เราเจอมา ผมเห็นลูกเขาอาการค่อนข้างเปลี่ยน เพราะอารมณ์แม่ก็ค่อนข้างเปลี่ยน หลายเคสที่คุยกับลูกความแล้วเราได้ความสนิทมาเราก็จะแนะนำให้เขาพบจิตแพทย์ ลูกบางคนอาจรับพฤติกรรมของพ่อที่ไปมีเมียน้อยไม่ได้ จากที่เคยเป็นผู้หญิง กลายเป็นเกลียดผู้ชายไปเลยก็มี หรือลูกชายบางคนในช่วงที่กำลังจะเป็นวัยรุ่นแล้วพ่อเขาเป็นไอดอลก็กลายเป็นซึมเศร้าหรือเปลี่ยนสถานะทางเพศ หรือกลายเป็นเกลียดไปเลยก็มี มันส่งผลมากๆ
ซึ่งเด็กบางคนที่ไม่สนใจก็มี เพราะเขามีเพื่อน ก็อยู่กับเพื่อน พ่อแม่จะมีปัญหาก็อีกเรื่อง ไม่เกี่ยวกับเขา อย่างนี้ก็ถือว่าดีนะ แต่บางคนที่เขาไปกับแม่ตลอด ไปกับพ่อตลอด แต่วันหนึ่งความฝันเขามันพังทลายไป อันนี้เขาไม่สามารถที่จะตั้งสติรับพฤติกรรมแบบนั้นได้ มันทำให้เขาพังก็มี ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ไปกระทบเขา แต่เราก็ไม่สามารถที่จะไปควบคุมได้
ทำคดีหย่าร้างมามาก มีผลต่อมุมมองเรื่องการมีครอบครัวของตัวเองไหม
ผมมองว่าการที่เราจะอยู่กับใครคนหนึ่ง มันเป็นเรื่องของการตกลงระหว่างคู่ของเรา ถ้าตกลงกันได้ก็จะอยู่กันได้ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็อยู่กันไม่ได้ โดยมันไม่สามารถที่จะเอาครอบครัวอื่นมาเป็นบรรทัดฐาน เราอาจเห็นครอบครัวอื่นเขาดูแฮปปี้นะ เขาออกงานสังคม เขาเป็นคุณนายนะ แต่ในความเป็นจริงคือสามีเขาอาจจะมีเมียน้อยเยอะมาก เขาก็ออกงานสังคมแต่อดทนเอาก็มี
เราทำคดีครอบครัวมาเยอะ เราเห็นคนรวย เราเห็นคนจน เราเห็นคนหน้าตาดี คนหล่อ คนสวย เราเห็นคนอาชีพดีๆ เราเห็นหมด แต่เราเห็นทุกคนก็มีปัญหา มันทำให้เรากลับมาคิดว่า สุดท้ายแล้วคนเราสิ่งที่ต้องรักมากที่สุดคือรักตัวเอง