ทำความรู้จัก EPR เมื่อความรับผิดชอบของแบรนด์ที่ไม่ได้จบลงบนเชลฟ์สินค้า แต่ต้องคิดเผื่อไปจนหมดอายุการใช้งาน

2 Min
678 Views
10 Jul 2023

Select Paragraph To Read

  • 1 - หลักการ EPR ทางออกที่จะช่วยไม่ให้ผลิตภัณฑ์ต้องกลายเป็นขยะ
  • 2 - ความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ไม่ได้จบลงแค่วางสินค้าบนเชลฟ์
  • 3 - ตัวอย่างจากประเทศมหาอำนาจ
  • 4 - ไม่ได้ผลักภาระให้เอกชน แต่คือความการแสดงความรับผิดชอบของแบรนด์

1 - หลักการ EPR ทางออกที่จะช่วยไม่ให้ผลิตภัณฑ์ต้องกลายเป็นขยะ

ถ้าพูดถึงแบรนด์ที่รับผิดชอบต่อสังคม ภาพในหัวของใครหลายคนคงหมายถึงแบรนด์ที่ใส่ในกระบวนการผลิต และเลือกใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรต่อโลก เมื่อส่งถึงมือผู้บริโภคก็จบลงแค่นั้น

แต่ในวันที่โลกกรีดร้องหนักขึ้นถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทวีคูณเพิ่มเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาขยะล้นโลก สภาพภูมิอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก ปัญหาน้ำแข็งขั้วโลกละลาย และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งช่องโหว่ที่ขาดหายไปคือความรับผิดชอบเมื่อผลิตภัณฑ์กลายเป็น ‘ขยะ’ จนต้องหาหนทางใหม่มาอุดรอยรั่วนี้ ด้วยทางออกที่เรียกว่า ‘หลักการ EPR’

2 - ความรับผิดชอบของผู้ผลิตที่ไม่ได้จบลงแค่วางสินค้าบนเชลฟ์

โดย EPR หรือ Extended Producer Responsibility เป็นการขยายความรับผิดชอบของแบรนด์หรือผู้ผลิตที่ไม่ได้จบลงแค่วางสินค้าบนเชลฟ์ แต่ครอบคลุมไปตลอดทั้งวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ เมื่อผู้บริโภคใช้สินค้าหมดแล้ว หรือสินค้าหมดอายุการใช้งาน ทางผู้ผลิตต้องมีส่วนสำคัญในการจัดการบรรจุภัณฑ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์เหล่านั้น

ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี เช่น เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมารีไซเคิลได้ โดยมีการเก็บรวบรวม หรือรับคืนบรรจุภัณฑ์ที่ใช้แล้ว เพื่อนำกลับมาคัดแยก และเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิล จนได้เป็นบรรจุภัณฑ์ชิ้นใหม่ หรือบรรจุภัณฑ์บางชนิดที่ใช้ซ้ำได้โดยไม่ต้องผ่านการรีไซเคิล ก็สามารถนำมาทำความสะอาดอย่างถูกวิธี และนำกลับไปใช้ได้ทันที

3 - ตัวอย่างจากประเทศมหาอำนาจ

จะเห็นภาพได้ชัดจากในประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของยุโรปอย่างเยอรมนี ที่ตื่นตัวถึงปัญหานี้ และทำ EPR อย่างจริงจัง โดยเป็นประเทศแรกๆ ที่ให้ผู้ผลิตเข้ามาร่วมจัดการขยะบรรจุภัณฑ์ ด้วยการออกสัญลักษณ์ที่ชื่อว่า Green Dot มาประทับตราไว้บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ผลิตได้จ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Producer Responsibility Organization หรือ PRO ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่รวบรวมและจัดการซากบรรจุภัณฑ์นั่นเอง

นอกจากนี้เยอรมนียังใช้ระบบมัดจำคืนเงินแบบ Deposit Refund System หรือ DRS เพื่อให้ผู้บริโภคนำบรรจุภัณฑ์เปล่ามาคืนที่ตู้ RVM (Reverse Vending Machine) หรือคืนให้กับร้านค้าที่ซื้อของไป โดยมีข้อแม้ว่าบรรจุภัณฑ์นั้นต้องสามารถใช้ซ้ำหรือรีไซเคิลได้ โดยสังเกตจากฉลากของบรรจุภัณฑ์ที่จะระบุราคาแยกกันระหว่างราคาเครื่องดื่ม แล้วผู้บริโภคก็จะได้รับเงินค่าบรรจุภัณฑ์คืน ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ใช้บรรจุภัณฑ์แบบหมุนเวียนได้ และนำกลับมาส่งคืนให้ถึงมือผู้ผลิต

4 - ไม่ได้ผลักภาระให้เอกชน แต่คือความการแสดงความรับผิดชอบของแบรนด์

ถึงแม้หลักการ EPR จะเพิ่มกระบวนการให้แก่ผู้ผลิตไปสักหน่อย แต่หลายๆ แบรนด์ก็ไม่ได้มองว่านี่คือการผลักภาระให้ภาคเอกชนแต่อย่างใด เพราะในอีกมุมหนึ่งยิ่งแบรนด์แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ดีขึ้นเท่านั้น และยังเป็นการสร้าง demand หรือความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภคสายกรีน ที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงเป็นเหมือนการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกสองตัวอย่างคุ้มค่า

 

อ้างอิง: